บทที่ 9 อยู่ร่วมกัน (1)
มู่ฉางถิงถูกกักบริเวณให้สำนึกผิดไม่ถึงสามวันก็ถูกปล่อยตัวออกมาแล้ว ไม่ใช่หลินเจี้ยนแสดงความเมตตายิ่งใหญ่อะไร แต่กลับเป็นผู้นำเสวียนเยวี่ยจวินเสิ่นอี้ของวังเสินเล่อที่ลึกลับซับซ้อนต้องการเรียกรวมทุกคนมาว่ากล่าวอบรม
มู่ฉางถิงเข้าร่วมสำนักชิงเฟิงมาเป็นเวลานานแล้ว แต่เห็นได้ว่าจำนวนครั้งที่เขาเข้าไปพบกับเสิ่นอี้นั้นสามารถนับครบได้ด้วยสามนิ้ว
เสิ่นอี้ผู้นั้น รูปร่างผอมบาง ผอมราวกับว่าหากโดนลมพัดผ่านก็อาจจะยืนต้านไม่ไหวได้ แต่ถ้าหากให้ฟู่ซีเฟิงเป็นคนกล่าว ก็คงเป็นเหมือนรูปลักษณ์ของเทพเซียนในเทพนิยาย
เพียงแต่เขาไม่ใช่คนชอบพูดเท่าใดนัก และยังไม่ชอบยุ่งเกี่ยวกับเรื่องของวังเสินเล่อ ไม่เช่นนั้นที่นี่คงไม่ยอมให้หลินเจี้ยนกระทำการชั่วร้ายป่าเถื่อน
ในขณะนี้มือของเขาถือแส้ที่ใช้ลงมือ พยายามปรือตายืนอยู่ที่กลางห้องโถงใหญ่ หากไม่ใช่เพราะเขากระพริบตาบ้างเป็นครั้งคราว มู่ฉางถิงก็คงสงสัยว่าเขากำลังจะหลับแล้ว
อาจารย์เจียงหย่วนฉินกล่าวเสียงดัง “ระยะนี้มีกรณีคนหายเกิดขึ้นมากมาย ก่อให้เกิดความโกลาหลในเจียงหู คนเหล่านี้ออกไปสอบรับราชการ ออกไปค้าขายซื้อของ ออกไปพบมิตรสหาย สถานที่ที่จะไปล้วนแต่ไม่เหมือนกัน แต่สิ่งเดียวที่พวกเขามีเหมือนกันก็คือเดินทางผ่านเมืองตานเฟิง พวกเราสงสัยว่าเมืองตานเฟิงอาจจะมีสิ่งชั่วร้ายอยู่ ภายใต้คำแนะนำของปรมาจารย์สำนักเซียนจวิน โดยท่านอาจารย์เสวียนเยวี่ยจวินและอาจารย์ของพวกเราทั้งสามได้นำศิษย์แห่งวังเสินเล่อไปตรวจสอบล่วงหน้าแล้ว”
ทันทีที่ได้ยินคำนี้ ฝูงชนก็เริ่มรู้สึกกระวนกระวายใจทันที
"พวกเราฝากตัวเข้าไปศิษย์สำนักชิงซิน จวบจนวันนี้ ได้เรียนเพียงพื้นฐานของจิตใจและวิชากระบี่ เผชิญหน้ากับวิญญาณร้ายก็ไร้เรี่ยวแรงต่อสู้ เรื่องอันตรายเช่นนี้ เหตุใดจึงไม่ส่งศิษย์ขั้นสูงยอดฝีมือไปก่อนเล่า?"
“ถูกต้อง!เรื่องร้ายแรงเช่นนี้ทำไมจึงจะส่งพวกเราไป?”
“ใช่ ชีวิตของศิษย์ขั้นล่างไม่ใช่ชีวิตหรือ?”
เจียงหย่วนฉินขมวดคิ้วพลางกล่าว “เงียบ!”
เขากวาดสายตามองไปรอบๆ รอให้เสียงพูดคุยค่อยๆ เงียบลง จึงพูดต่อ “ทุกคนวางใจ!การไปเมืองตานเฟิงในครั้งนี้ยึดเอาความสมัครใจของตนเป็นหลัก จะไม่มีการบังคับพวกเจ้า”
มู่ฉางถิงรุดกายออกไป ทำความเคารพ กล่าวอย่างนอบน้อม “เสวียนเยวี่ยจวิน ท่านอาจารย์ทั้งสาม ศิษย์มู่ฉางถิงสมัครใจไป”
เขาเพิ่งถูกหลินเจี้ยนลงมือจนเห็นเนื้อปริออกมา มีชื่อเสียงกลายเป็น ‘ต้นลม’ คนหลายคนล้วนแต่จำเขาได้ สถานการณ์คึกคักขึ้นมา น้ำเสียงฝูงชนยังไม่ทันหายไป ก็มีคนหนึ่งก้าวออกมาจากกลุ่มคน ฟู่ซีเฟิงที่เงาไม่เคยห่างกายมู่ฉางถิงค้อมกายทำความเคารพ กล่าว “ศิษย์ฟู่ซีเฟิงสมัครใจไป”
เจียงหย่วนฉินจำพวกเขาได้ ยิ้มแล้วเอ่ย “ยังมีผู้ใดสมัครใจอีกหรือไม่?”
เสียงยังไม่ทันหายไป สิงอวี้เซิงก้าวไปยืนข้างกายพวกเขาอย่างเงียบๆ เอ่ย “ศิษย์สิงอวี้เซิงสมัครใจไป”
มู่ฉางถิงอดไม่ได้ที่จะแอบชำเลืองมองเขา ไหนเลยจะรู้ว่าเมื่อมองไปทางนั้นแล้ว จะสบตากับนัยน์ตาสีน้ำหมึกล้ำลึกของสิงอวี้เซิงพอดี
มู่ฉางถิงไม่รู้สึกอับอายเลยแม้แต่น้อยที่โดนจับได้ ขมวดคิ้ว เงยหน้ายิ้มมองไปทางสิงอวี้เซิง
มุมปากของสิงอวี้เซิงขยับเล็กน้อย จากนั้นจึงมีสีหน้ารำคาญ หันหน้าไปอีกทางในทันใด คิ้วเรียวขมวดเข้าหากัน เหลือเพียงใบหน้าด้านข้างที่เย็นชา
มู่ฉางถิงเกาแก้มด้วยความสงสัย หรือเขาไม่ชอบที่ข้ายิ้มให้เขากัน?ข้ายิ้มได้น่าเกลียดมากเชียวหรือ?
มีพวกเขาทั้งสามเป็นตัวอย่าง ศิษย์ที่มักจะแสดงตัวโดดเด่นก็ยืนขึ้นทีละคน
เจียงหย่วนฉินพอใจเป็นอย่างมาก หันหน้าไปคุยกับเสิ่นอี้ “รายงานเสวียนเยวี่ยจวิน ทั้งหมดมีสิบสองคน”
เสิ่นอี้พยักหน้า ในที่สุดก็เอ่ยปากกล่าวว่า “เพียงพอแล้ว”
ถึงอย่างไรแล้วก็เป็นเรื่องที่อันตราย ได้ไม่คุ้มเสีย เจียงหย่วนฉินได้กล่าวอะไรอีกเล็กน้อยที่ต้องระมัดระวังเพื่อรอเวลา จึงได้ให้พวกเขากลับไปเตรียมสัมภาระของตนเอง
ขณะเดินออกไปพร้อมกับกลุ่มคน มู่ฉางถิงยิ้มมองไปยังฟู่ซีเฟิง “ข้าไม่คิดว่าเจ้าจะไปด้วย”
ฟู่ซีเฟิงชำเลืองมองไปทางเขา พูดเสียงเบา “สามเดือนให้หลังจะมีการประลองทดสอบวิชาเซียน ในช่วงเวลาหัวเลี้ยวหัวต่อเช่นนี้ ผู้นำเซียนจวินตั้งใจเป็นพิเศษ จากในทั้งหมดสิบสองวังศิษย์ขั้นล่างของวังเสินเล่อ เหล่านี้จะต้องเข้ารวมการประลองทดสอบวิชาเซียนด้วย” เขากระแอมไอหนึ่งเสียง กล่าวว่า “สำนักชิงซินเองก็ใช่ว่าจะไม่มีคนแล้ว เหตุใดจึงมีเพียงศิษย์ขั้นล่างได้รับอนุญาตให้เข้าร่วม?หรือว่าอยากจะส่งให้พวกเราไปตายกันหมด?ข้าพูดเช่นนี้ เจ้าเข้าใจแล้วหรือไม่?”
การประลองทดสอบวิชาเซียนนั้นคือการทดสอบ ครั้งนี้จึงไม่ใช่ครั้งแรกที่มีการทดสอบ
มู่ฉางถิงได้ยินดังนั้นก็ตกตะลึง ส่ายหัวแล้วถอนหายใจกล่าวว่า “เจ้านี่นะ แท้จริงก็ไม่ไร้ประโยชน์ ข้านั้นคิดไปเองว่า...”
ฟู่ซีเฟิงเสริมประโยคให้เขา “คิดว่าข้าเหมือนกันกับเจ้า กระทำตามใจตน กล้าหาญและมีน้ำใจ?”
มู่ฉางถิงเห็นเขาหยอกล้อตนเอง ทำตาโตจ้องเขา ฟู่ซีเฟิงอดไม่ได้จึงหลุดยิ้ม แม้แต่ประกายในดวงตาก็ยังอ่อนโยนลง
การได้เป็นตัวของตัวเองจริงๆ ต่อหน้าคนหนึ่ง ไม่ต้องกังวลว่าเขาจะทำร้ายตน ปฏิเสธตน แท้จริงแล้วเป็นความสุขที่แสนล้ำค้าอย่างหนึ่ง
ศิษย์ของวังเสินเล่อนั้นยังพลังวิญญณต่ำ และยังไม่สามารถเหินกระบี่ได้
ที่ตั้งของเมืองตานเฟิงนั้นค่อนข้างห่างไกล กลุ่มคนเร่งขี่ม้าเป็นเวลาสามวันสามคืนจึงจะถึง
ถนนหนทางเต็มไปด้วยฝุ่นละออง เมื่อถึงที่เมืองตานเฟิงแล้วสภาพอากาศกลับไม่เป็นใจ ฟ้าร้องคำรามกึกก้อง ประกายฟ้าแลบพาดผ่านท้องนภา ฝนห่าใหญ่ก็ตกลงมาในพริบตา
มีผู้คนในเมืองไม่มากนัก ส่วนที่สัญจรไปมาก็ถือร่มก้าวอย่างรวดเร็ว
พวกเขาผูกม้าไว้เรียบร้อย หลบฝนอยู่ที่โรงน้ำชาริมถนน
อนุชนนั่งแยกเป็นสองคนสามคน มีความสงสัยในทุกเรื่องใหม่หลังจากลงมาจากภูเขา พูดคุยกันด้วยเสียงเบา
มู่ฉางถิงเช็ดน้ำออกจากใบหน้า สีหน้าดูซีดเซียวอยู่บ้างเล็กน้อย
บาดแผลของเขายังไม่สมานตัวดี และยังมีการเดินทางเช่นนี้ ขนาดมนุษย์ที่ตีจากเหล็กยังทนไม่ได้ ฟู่ซีเฟิงประคองให้เขานั่งลง มองไปทางเขาด้วยสายตาห่วงใยเล็กน้อย มู่ฉางถิงยิ้มให้เขาอย่างอ่อนแรง “ไม่เป็นไร พักครู่หนึ่งก็ดีขึ้น”
ในขณะนี้ เสียงฝีเท้าที่วุ่นวายด้านนอกดังขึ้น สตรีสองนางก็ก้าวเข้ามา
ปัดเช็ดหยดน้ำที่อยู่บนร่างกาย ขยับปลายนิ้วเรียวขาว เผยให้เห็นใบหน้างดงามด้านหลังร่มกระดาษสีเขียว สตรีเจียงหนานนั้นมีความอ่อนโยนและงดงามอย่างชัดเจน
โรงน้ำชาเงียบลงไปครู่หนึ่ง หลินเจี้ยนทำถ้วยชาร้อนร่วงลงพื้นอย่างสูญเสียท่าทางไปชั่วขณะ กระโดดโหยงยืนขึ้นด้วยท่าทางตื่นตระหนก
สาวรับใช้ที่ร่วมทางมาด้วยเห็นเหตุการณ์เช่นนี้จนเคยชินแล้ว จึงอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมาเบาๆ