บทที่ 83 หมูป่ายังหันมายิ้ม
“ถ้าได้ไปกินที่ร้าน 'หล่าวโหมว' ก็เยี่ยมเลย”
หลัวไป่ต้าวอธิษฐานขึ้น
ร้าน 'หล่าวโหมว' ที่เขาหมายถึงคือร้านอาหารมอสโก ร้านอาหารตะวันตกที่เปิดมาตั้งแต่ปี 1954 ซึ่งเป็นร้านที่คนในปักกิ่งหลายคนต่างฝันถึง อยากมีโอกาสเข้าไปกินสักครั้ง
ว่ากันว่าการตกแต่งภายในของร้านมอสโกนั้นมีกลิ่นอายแบบ "พี่ใหญ่"(รัสเซีย) อุปกรณ์ในครัวล้วนล้ำสมัยเกือบทั้งหมดเป็นระบบไฟฟ้า เช่น มีตู้เย็นขนาดใหญ่เจ็ดตู้ เตาไฟฟ้าขนาดใหญ่สองเตา รวมถึงเครื่องชงกาแฟ เตาอบขนม และเตาทอดหลากชนิด
เครื่องใช้บนโต๊ะอาหารที่ใช้ในร้านมอสโก นอกจากเครื่องเคลือบจากเมืองจิ่งเต๋อเจิ้นแล้ว อุปกรณ์อื่น ๆ ทั้งหมดมาจาก "พี่ใหญ่" เช่นแก้วน้ำและแก้วคริสตัลกว่าหมื่นชิ้น
โจวอี้หมินนึกถึงเรื่องตลกที่เคยได้ยินเกี่ยวกับช้อนของร้านมอสโกในยุคหลัง
เล่ากันว่าช้อนในร้านทำจากเงินแท้ และมีคนเคยแอบหยิบช้อนกลับบ้าน ทำให้ร้านมอสโกปวดหัวมาก จนต้องเปลี่ยนช้อนเป็นช้อนเหล็กแทน
ช่วงเปิดร้านใหม่ ๆ ร้านอาหารมอสโกให้บริการเฉพาะกลุ่มคนบางกลุ่มเท่านั้น ส่วนมากเป็นผู้เชี่ยวชาญจาก "พี่ใหญ่" และแขกต่างชาติ
ในยุคนั้น คนธรรมดาที่อยากจะเข้าไปกินข้าวที่ร้านนี้ต้องมีบัตรเชิญเข้าร้าน บัตรเชิญเข้าร้านนี้ก็คือใบเสร็จจากร้านอาหารมอสโกนั่นเอง
แม้เวลาจะผ่านมาหลายปีแล้ว แต่ผู้คนยังคงให้ความสนใจในร้านมอสโกอยู่เสมอ ทุกวันนี้ยังคงมีแถวยาวเหยียดรอบร้าน
ถ้าคนธรรมดาได้เข้าไปกินร้านมอสโกสักครั้ง ก็สามารถนำมาอวดได้เป็นเดือน ๆ
โดยเฉพาะหลัวไป่ต้าวที่เป็นพวกชอบเที่ยวเตร่ สำหรับเขา การได้ไปกินที่ร้านมอสโกนั้นเป็นสิ่งที่ยั่วยวนใจมาก คนหนุ่มในเมืองหลวงที่ชอบแสดงตัวเรียกว่า "หว่านจู่" (คนหนุ่มสาวที่ชอบใช้ชีวิตอย่างหรูหราในเมืองหลวง)การได้ไปกินที่ร้านมอสโกไม่ได้เป็นแค่การกินข้าว แต่เป็นการแสดงถึงสถานะทางสังคม
สำหรับพวกเขา การไปกินอาหารตะวันตกที่ "มอสโก" นั้นถือเป็นกิจกรรมที่มีเกียรติ มันไม่ได้เป็นเพียงแค่งานเลี้ยงอาหารธรรมดา แต่เสมือนกับเป็นพิธีการที่มีความหมายมากกว่าแค่การทานมื้ออาหาร
“ร้านมอสโก ไว้คราวหน้าก็แล้วกัน” โจวอี้หมินตอบ
จริง ๆ แล้ว เขาไม่ได้สนใจร้านมอสโกเท่าไหร่นัก
ในฐานะคนที่มาจากยุคหลัง ร้านอาหารที่มีสไตล์ต่างประเทศเขาเคยเห็นมาหมดแล้ว อาหารตะวันตกก็เคยกินมามากมาย
สำหรับเขา ร้านมอสโกในตอนนี้ก็ดูคล้าย ๆ กับร้านฟาสต์ฟู้ดอย่างเคเอฟซีหรือแมคโดนัลด์ในยุคหลัง ที่ในช่วงแรกมีคนแห่กันไปกินเพราะคิดว่าเป็นของหรูหราและพิเศษมาก แต่จริง ๆ แล้วมันก็เป็นแค่ฟาสต์ฟู้ดธรรมดา
หลังจากนั้น โจวอี้หมินพาพวกเขาไปกินที่ร้านอาหารจีนชื่อดังร้านหนึ่ง
ร้านอาหารที่มีชื่อเสียงที่สุดก็คือร้านฟงเจ๋อหยวน ซึ่งเคยให้บริการแขกต่างชาติมากมาย และมีชื่อเสียงเป็นที่ยอมรับ
เมื่อพูดถึงร้านอาหารในเมืองหลวง ก็ต้องพูดถึง “ปาต้าลั่ว” “ปาต้าถัง” “ปาต้าฉุน” และ “ปาต้าจวี้” แน่นอนว่าหลายร้านได้ปิดตัวลงแล้วเนื่องจากเหตุผลต่าง ๆ
โจวอี้หมินสั่งอาหารหลายอย่าง
ไม่เพียงแค่โจวต้าจง แต่หลัวไป่ต้าวและหลี่โหยวเต๋อก็แทบไม่เคยกินอาหารหรูหราแบบนี้มาก่อน
อาหารหลายจานถูกกินจนเกลี้ยงแทบไม่เหลืออะไร แม้แต่ซุปก็แทบจะถูกเลียจนหมด
“ชีวิตแบบนี้มันช่างสบายจริง ๆ!”
หลัวไป่ต้าวลูบท้องของเขา รู้สึกว่าชีวิตครั้งนี้คุ้มค่ากับท้องของเขาเป็นครั้งแรก
ปัจจุบันเขาและหลี่โหยวเต๋อทำงานร่วมกับ "เพื่อน" ที่ทรงอิทธิพลของโจวอี้หมิน ได้เงินมากพอสมควร อนาคตการมากินร้านอาหารแบบนี้เดือนละครั้งคงไม่ใช่ปัญหา
...
หัวหน้าหลี่กลับบ้านพร้อมกับกล้วยแน่นอนว่าทำให้คนในบ้านตกตะลึง
“อี้หมินเก่งจริง ๆ นะ! ผลไม้แบบนี้ ในภาคเหนือไม่ค่อยมีให้เห็นหรอก”
“ไม่ใช่แค่ไม่ค่อยมีหรอก ตั้งแต่ฉันเกิดมาก็เคยเห็นแค่สองครั้งเท่านั้นเอง”
หัวหน้าหลี่บอกกับคนในบ้านว่า “อีกสองวัน อี้หมินจะมาทานข้าวที่บ้านเรา”
“งั้นเราต้องเตรียมตัวให้ดี ๆ เลยนะ”
สะใภ้ของหัวหน้าหลี่ แม้จะไม่เคยเจอกับโจวอี้หมินมาก่อน แต่ก็รู้สึกซาบซึ้งใจอย่างมาก เพราะนมที่ลูกของเธอดื่มอยู่ตอนนี้ก็เป็นของที่โจวอี้หมินจัดหามาให้
“เดี๋ยวฉันจะไปต่อแถวซื้อเป็ดย่างมาสักตัว”
ในบ้านมีไก่แก่ตัวหนึ่งที่พวกเขาคิดจะฆ่าในช่วงนี้เพื่อตุ๋นให้สะใภ้ที่เพิ่งคลอดบุตร
“งั้นไปซื้อเนื้อหมูมาเพิ่มหน่อยเถอะ!”
ทุกคนในบ้านต่างช่วยกันคิดเมนู
พวกเขาให้ความสำคัญกับการที่โจวอี้หมินจะมาทานข้าวที่บ้านมาก
หลังจากทานข้าวเสร็จ โจวต้าจงกลับไปที่โรงงานเหล็กเรียบร้อย ไม่เหมือนกับโจวอี้หมินที่หากไม่มีภารกิจหรือการส่งงานเขาก็จะไม่ไปที่โรงงาน
ส่วนโจวอี้หมิน เขากลับบ้านเพื่อนอนพัก เนื่องจากเมื่อคืนเขานอนไม่ค่อยพอ
ในขณะที่เขากำลังเคลิ้ม ๆ ก็ได้ยินเสียงมีคนเคาะประตูบ้าน
“อี้หมิน อี้หมิน! คนจากหมู่บ้านโจวมาหานาย”
โจวอี้หมินลืมตาขึ้นมาและพยายามทำให้สมองปลอดโปร่ง สักพักก็จำได้ว่าเป็นเสียงของหลี่โหยวเต๋อ เขาจึงลุกขึ้นไปเปิดประตู
“คนจากหมู่บ้านโจวเหรอ?”
“ใช่ พวกเขารออยู่ข้างนอก ยังไม่ได้เข้ามา” หลี่โหยวเต๋อตอบ
โจวอี้หมินรู้สึกแปลกใจ คนจากหมู่บ้านโจวเจียมาหาเขาในเวลานี้ทำไม? แล้วใครกันแน่? เขาเดินออกไปข้างนอกและเห็นว่าเป็นโจวต้าฝูและหนุ่มอีกสี่คนจากหมู่บ้าน
“ต้าฝู มาหางานทำอีกแล้วเหรอ?” โจวอี้หมินถามพร้อมยิ้ม
ความฝันของโจวต้าฝูในการเข้ามาทำงานในเมืองนั้นไม่ใช่ความลับในหมู่บ้านโจว
“ลุงสิบหก พวกเราไปล่าสัตว์ในภูเขามาได้ครับ ลองดูนี่สิ...” โจวต้าฝูชี้ไปที่กระสอบสองใบที่อยู่ด้านหลัง หนึ่งในนั้นยังมีเลือดซึมออกมา
โอ้โห! ถ้าอยู่ในยุคหลัง คนเห็นคงคิดว่านี่เป็นคดีฆ่าหั่นศพแน่ ๆ!
อีกกระสอบหนึ่งยังขยับได้ ของข้างในนั้นยังไม่ตาย
“ขอฉันดูหน่อยว่าคืออะไร”
โจวอี้หมินเดาว่าโจวต้าฝูคงถูกกระตุ้นโดยความสำเร็จของโจวต้าจงที่ได้เข้ามาทำงานในโรงงาน เขาจึงไม่ยอมแพ้และพาพวกพ้องแอบเข้าไปล่าสัตว์ในภูเขา หวังจะเอาเงินมาซื้อเส้นสายเพื่อเข้าทำงาน
“เป็นหมูป่าตัวหนึ่งกับไก่ป่าอีกสองสามตัว”
โจวอี้หมินเปิดดูก็พบว่าหมูป่าตายสนิทแล้ว ขนาดไม่ใหญ่มาก น่าจะหนักไม่ถึง 100 จิน น่าจะยังไม่โตเต็มวัย ส่วนไก่ป่าทั้ง 5 ตัวนั้นยังมีชีวิตและดิ้นไปมา
แต่ทำไมเจ้าโจวต้าฝูถึงดูท่าเดินแปลกๆ?
โจวอี้หมินสังเกตว่าขาของโจวต้าฝูน่าจะเจ็บ
“ขาเป็นอะไร? ถูกหมูป่าวิ่งชนเหรอ?” โจวอี้หมินถาม
โจวต้าฝูทำหน้าเขินและไม่ตอบอะไร
เพื่อน ๆ ของเขาหัวเราะเยาะทันที “เขาขาพลิกตอนวิ่งหนีเองน่ะ หมูป่าไม่ได้ไล่ตามเขาด้วยซ้ำ”
โจวต้าฝูเหมือนโดนเหยียบหาง เขาโมโหและพูดว่า “ตอนแรกมันพุ่งเข้ามาหาฉันไม่ใช่เหรอ?”
“อย่ามาอวดตัวเลย หมูป่าไม่เคยชายตามองนายด้วยซ้ำ”
“ใช่! ตอนที่นายล้ม หมูป่ายังหันมายิ้มเลย”
โจวอี้หมินได้แต่พูดไม่ออก
พวกนายเป็นแบบนี้แล้วยังกล้าเข้าป่าไปล่าสัตว์อีกเหรอ?
โจวอี้หมินจับไก่ป่าตัวหนึ่งแล้วพูดว่า “พวกนายรออยู่ตรงนี้ก่อนนะ ต้าฝูเข้ามากับฉัน”
โจวต้าฝูไม่เข้าใจแต่ก็เชื่อฟัง เดินกระโผลกกระเผลกตามโจวอี้หมินเข้าไป
“ลุงหนิวอยู่บ้านไหม?”
“อี้หมิน มีอะไรเหรอ?” ลุงหนิวที่กำลังถือสมุนไพรอยู่หันมามองโจวอี้หมินที่ถือไก่ป่าอยู่ในมือ
“เด็กคนนี้ขาพลิก เลยอยากให้ลุงช่วยดูให้หน่อยครับ”
จากนั้นโจวอี้หมินก็ยื่นไก่ป่าให้คุณป้าหนิวที่อยู่ข้าง ๆ “คุณป้าครับ ไก่ป่าตัวนี้เอาเป็นค่ารักษานะครับ”
“โอ้โห! อี้หมินเธอนี่เกรงใจเกินไปแล้ว แค่ดูขาให้หน่อยเอง ลุงหนิวทำเป็นประจำอยู่แล้ว” คุณป้าหนิวกล่าวอย่างดีใจ
โจวต้าฝูพึ่งเข้าใจว่าแท้จริงแล้วลุงสิบหกของเขาพามาที่นี่เพื่อช่วยรักษาขาให้เขานั่นเอง
(จบบท)