บทที่ 755 มือสังหารที่เหมาะสมที่สุด
แม้ว่าหวงอวี้จะอยู่เพียงแค่ระดับปฐมภูมิขั้นกลาง แต่เขากลับแสดงความมั่นใจออกมาอย่างมากไม่ได้เห็นผู้ท้าชิงคนอื่นๆอยู่ในสายตาเลย
คำพูดของเขากลายเป็นชนวนที่จุดความไม่พอใจของทุกคน รวมถึงผู้ฝึกตนระดับเปลี่ยนจิตที่กำลังชมอยู่ด้วย
ผู้คนต่างหันไปมองชายชรานามสกุลกู่ เพราะที่นี่เป็นเขตของเขา และกฎเกณฑ์ทั้งหมดก็กำหนดโดยเขา การจะเปลี่ยนการต่อสู้ให้เป็นการประลองแบบผสมก็ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของเขา
อย่างไรก็ตาม ชายชราไม่สนใจเรื่องนั้นมากนัก เขายิ้มกว้างก่อนจะพูดว่า
“ในเมื่อสหายหวงอวี้ต้องการเช่นนั้น ข้าก็จะตามใจเจ้า แต่ถ้าเจ้าแพ้ เจ้าจะต้องมอบรางวัลให้ผู้ท้าชิงคนอื่นๆคนละหนึ่งส่วน”
รางวัลที่ว่าคือผลึกวิญญาณระดับกลาง 10 ก้อน
แปดคนก็เท่ากับ 80 ก้อน ซึ่งถือว่าเป็นจำนวนไม่น้อย!
“ไม่มีปัญหา” หวงอวี้ยังคงแสดงความมั่นใจอย่างมาก ราวกับว่าเรื่องเงินไม่ใช่สิ่งที่เขาใส่ใจ
แต่ยิ่งเขาแสดงออกเช่นนี้คนอื่นๆกลับยิ่งไม่มั่นใจในตัวเองมากขึ้น
ในที่สุดมีคนที่ไม่รู้จักเขาดีพอเริ่มถามหลัวซาซาว่า
“สหายหลัว คนผู้นี้เป็นศิษย์สำนักใดกัน?”
“เขาน่ะหรือ?” หลัวซาซาปิดปากหัวเราะ
“เขาก็แค่ผู้ฝึกตนเร่ร่อน”
“ผู้ฝึกตนเร่ร่อน? ผู้ฝึกตนเร่ร่อนจะมีท่าทางมั่นใจเช่นนี้ได้อย่างไร?”
“ฮ่าฮ่า รอดูผลการประลองก่อน ข้าจะบอกว่าทำไม”
ทันทีที่คำพูดจบลง พื้นที่ด้านล่างซึ่งเป็นภูเขาและแม่น้ำก็กระจัดกระจายไปด้วยผลึกและฝุ่นควัน การโจมตีรุนแรงหลากหลายรูปแบบเกิดขึ้นพร้อมกันแทบจะในทันที
ไม่ว่าจะเป็นเงาร่างลึกลับที่ปรากฏและหายไปอย่างรวดเร็ว คลื่นพลังจิตที่แข็งแกร่งจนไม่อาจต้านทานได้ สายฟ้าฟาดที่แม่นยำ หรือดาบบินที่คมกริบจนสามารถตัดทุกสิ่ง่ง
เฉินโม่มองด้วยความตกใจ
ผู้ฝึกตนคนใดในสนาม ต่างก็แข็งแกร่งกว่าเขามาก หากเขาต้องต่อสู้กับพวกเขา เขาคงต้องใช้ วิชาสลายร่างเทพมารพร้อมกับยันต์ห้าธาตุหลบหนี เพื่อหลบหนีออกมาได้อย่างปลอดภัย
แต่ในขณะที่การโจมตีรุนแรงเกิดขึ้น หวงอวี้กลับเคลื่อนไหวอย่างใจเย็น
ร่างของเขาหายวับไปในพริบตาและในทันใดนั้น เขาก็แยกร่างออกเป็นพันๆร่างปรากฏอยู่ด้านหลังผู้ฝึกตนระดับปฐมภูมิทุกคน
เหล่าผู้ที่กำลังร่ายคาถายืนอยู่กับที่โดยไม่มีโอกาสตอบโต้ ก็ถูกคมดาบจี้เข้าที่แผ่นหลัง เพียงการออกแรงเล็กน้อยดาบนั้นก็สามารถเจาะทะลุทะลวงทำลายพลังปฐมภูมิได้
ส่วนผู้ที่เคลื่อนไหวได้ว่องไวเหมือน ร่างแยกของหวงอวี้ก็ตามติดเหมือนเงา ไม่ว่าพวกเขาจะหลบหนีอย่างไรสุดท้ายก็ไม่อาจหลุดพ้นจากการตามล่า
เป้าหมายที่ทุกคนโจมตีหายไปอย่างไร้ร่องรอย แต่กลับปรากฏตัวขึ้นอยู่ข้างหลังพวกเขาเอง การประลองครั้งนี้ดูเหมือนจะถูกกำหนดผลลัพธ์ไว้ตั้งแต่ต้น
ผู้ฝึกตนที่กำลังชมการประลองก็เข้าใจแล้วในที่สุด
ด้วยพลังวิเศษของหวงอวี้ ทำให้ไม่ว่าจะเผชิญหน้ากับคู่ต่อสู้เพียงคนเดียวหรือแปดคนก็ไม่มีความแตกต่าง
เขาสามารถแยกร่างเป็นพันๆร่างได้ ทำให้เขารับมือกับศัตรูหลายคนพร้อมกันได้อย่างสบาย
แทนที่จะบอกว่าเขาหยิ่งผยอง ควรจะบอกว่าเขาเข้าใจจุดแข็งของตนเองอย่างดีและใช้ประโยชน์จากการประลองแบบผสมเพื่อจัดการศัตรูให้เร็วที่สุด ป้องกันไม่ให้เสียพลังไปกับการประลองหลายรอบ
การต่อสู้ในสนามใกล้สิ้นสุดลงแล้ว
ชัยชนะของหวงอวี้ดูเหมือนจะเป็นที่แน่นอน
ในขณะนั้นเอง หลัวซาซาที่ยืนอยู่ในกลุ่มผู้ชมก็ยิ้มและอธิบายว่า
“หวงอวี้เป็นผู้ฝึกตนเร่ร่อนก็จริง แต่เขาได้รับการถ่ายทอดวิชาจาก เซียนต้าเฉียนซึ่งไม่ใช่จากแค่เขตลับทั่วไปในจงโจว แต่มันเป็นการถ่ายทอดวิชาเต็มรูปแบบ”
เซียนต้าเฉียน?
แทบไม่มีใครเคยได้ยินชื่อนี้
แต่ทุกคนรู้ดีว่าผู้ที่ได้รับสมญาว่า "เซียน" พลังของพวกเขาย่อมอยู่เหนือจินตนาการ
การได้รับการถ่ายทอดเต็มรูปแบบจากเซียนนั้น เป็นสิ่งที่หาได้ยากยิ่ง
จึงไม่แปลกใจเลยที่หวงอวี้จะมีวิชาที่แข็งแกร่งเช่นนี้!
ในทวีปจงโจว โอกาสทางการฝึกตนไม่เคยขาดแคลน นอกจากผู้ที่มีพรสวรรค์โดดเด่นอย่าง หลูหุ่ยมิงที่ฟันฝ่าผ่านอุปสรรคด้วยตนเองแล้ว ผู้ฝึกตนธรรมดาก็สามารถหาวิธีได้รับการถ่ายทอดจากเขตลับต่างๆเพื่อเดินบนเส้นทางการฝึกตนที่แข็งแกร่งขึ้น
การประลองจบลงแล้ว
หวงอวี้คนเดียวชนะผู้ฝึกตนระดับปฐมภูมิขั้นสูงทั้งหลาย
จากที่ควรจะเป็นการประลองอันน่าตื่นเต้น กลับกลายเป็นการแสดงเดี่ยวของเขาและนับตั้งแต่วันนี้ ผู้ฝึกตนที่ได้รับการถ่ายทอดเต็มรูปแบบจากเซียนต้าเฉียนคนนี้จะกลายเป็นที่รู้จักอย่างแน่นอน ในไม่ช้าเขาจะกลายเป็นเป้าหมายของหลายๆสำนักที่จะแย่งชิงตัวไป
หวงอวี้ได้รับผลึกวิญญาณระดับกลาง 80 ก้อน จากนั้นก็กระโดดกลับขึ้นมาที่แท่นชมการประลอง
หลัวซาซากระโดดเข้าหาหวงอวี้ด้วยความดีใจ
"หวงอวี้ หวงอวี้ เจ้าชนะอีกแล้วนะ!"
“โชคช่วยน่ะ”
“ท่านพ่อของข้าบอกว่าจะรับเจ้าเป็นศิษย์เลยนะ”
หวงอวี้ยิ้มแหยๆ
"ท่านบอกว่าไม่รับศิษย์แล้วนี่?"
“ฮ่าฮ่า จะรับแค่เจ้าเท่านั้นแหละ”
“อย่าล้อข้าเล่นเลย สหายหลัว ข้าชอบใช้ชีวิตอิสระ ท่านคงไม่สนใจข้าที่มีพลังแค่นี้หรอก”
“ไม่หรอก” หลัวซาซาพูดอู้อี้ในลำคอ แต่นางก็ไม่ได้เซ้าซี้อีกต่อไป
เหล่าผู้ฝึกตนระดับเปลี่ยนจิตคนอื่นๆก็เข้ามาแสดงความยินดีด้วย แม้แต่คนระดับสูงก็ไม่สามารถละเลยการแสดงความยินดีได้ แต่เพราะฐานะของพวกเขา พวกเขาจึงแสดงออกเพียงเล็กน้อย
ไม่นานนักการประลองรอบที่สองก็เริ่มขึ้น ผู้ฝึกตนระดับเปลี่ยนจิตแปดคนลงไปในสนาม
หลังจากนั้นเฉินโม่ไม่ได้สนใจการประลองอีกต่อไป
สายตาของเขาจับจ้องอยู่ที่หวงอวี้เป็นระยะๆ
แน่นอนว่า หวงอวี้เองก็สังเกตเห็นเฉินโม่เช่นกัน เมื่อเหล่าผู้ฝึกตนที่มาแสดงความยินดีเบนความสนใจไปที่การประลอง หวงอวี้จึงหันไปถามเฉินโม่ว่า
“เจ้ามีเรื่องอะไรหรือ?”
เฉินโม่พยักหน้า
“ขอคุยเป็นการส่วนตัวได้ไหม?”
หวงอวี้มองเฉินโม่จากหัวจรดเท้า
แม้จะเป็นระดับปฐมภูมิเหมือนกัน แต่ระดับของเฉินโม่ต่ำกว่าเขามาก
แต่สำหรับหวงอวี้ เขาคิดว่าอย่างน้อยชายคนนี้ก็รู้จักตัวเองดีพอที่ไม่ลงไปประลอง ไม่เช่นนั้นผลลัพธ์คงจะดูย่ำแย่กว่านี้
“มีธุระอะไรหรือ? พูดที่นี่ไม่ได้หรือ?”
ความทะนงตนของหวงอวี้แทบจะถูกเขียนบนใบหน้า
“ข้าเป็นคนจากแคว้นผิงตูโจว ข้ามีข้อเสนอธุรกิจอยากจะคุยกับเจ้า ไม่รู้ว่าสหายหวงอวี้สนใจหรือไม่?”
ผิงตูโจว?
เมื่อหวงอวี้ได้ยินชื่อนี้ เขาก็ขมวดคิ้ว
แคว้นธรรมดาๆจะมีอะไรมาน่าสนใจ?
“เจ้าเป็นแม่ทัพที่นั่นหรือ?”
เฉินโม่พยักหน้า
“ว่ามา ธุรกิจอะไร?”
“ที่นี่ไม่สะดวก คุยกันเป็นการส่วนตัวได้หรือไม่?”
เฉินโม่ไม่สามารถพูดเรื่องการฆ่าคนในสถานที่เช่นนี้ได้ แต่เมื่อเห็นความสามารถของหวงอวี้ ความคิดแรกที่ผุดขึ้นในหัวคือคนอย่างเขานี่เหมาะมากที่จะเป็นมือสังหาร!
ส่งหวงอวี้ไปก่อความวุ่นวายที่แคว้นผิงตูโจวคงจะเหมาะมาก
ยิ่งไปกว่านั้นด้วยความแข็งแกร่งของหวงอวี้ แม้จะรวมพลังแม่ทัพทุกคนในแคว้นผิงตูโจวเข้าด้วยกัน ก็คงไม่สามารถรับมือได้
แน่นอน ยกเว้นจางเจี๋ยที่มีชีวิตอยู่มานานกว่าแปดพันปี
“ถ้าไม่พูดก็ช่างเถอะ”
เมื่อเฉินโม่เห็นท่าทีของหวงอวี้ เขาจึงหยิบสุราที่หมักด้วย ข้าวหยกสวรรค์ ซึ่งเป็นพืชวิญญาณที่ผ่านการดัดแปลงออกมาจากแหวนเก็บของแล้วโยนให้หวงอวี้
“ข้าเป็นนักปลูกพืชวิญญาณ ปลูกข้าวไว้มากมาย เชิญเจ้ามาเยี่ยมข้าที่แคว้นผิงตูโจวได้เสมอ”
หวงอวี้ขมวดคิ้ว แต่ก็รับสุรานั้นมา
กลิ่นหอมอันแปลกประหลาดของสุราลอยออกมาทันที
ไม่ใช่แค่หวงอวี้เท่านั้นที่ได้กลิ่น แต่ผู้ฝึกตนรอบๆต่างก็หันมามอง
ทันใดนั้นหวงอวี้ก็เก็บขวดสุราใส่ลงในแหวนเก็บของอย่างรวดเร็ว
(จบบท)