บทที่ 7 วีรบุรุษผู้ช่วยเหลือสาวงาม (1)
มู่ฉางถิงโบกมือให้แก่ฟู่ซีเฟิง บอกให้เขาไปก่อน ฟู่ซีเฟิงกลับรั้งเขาไว้ด้วยสีหน้าบูดบึ้ง ความหมายคือบอกเขาว่าอย่าได้เข้าไปยุ่งกับเรื่องที่ไม่ใช่เรื่องของตนเอง แต่มู่ฉางถิงไหนเลยจะยอมฟัง จึงทำท่าทีขึงขังอย่างคนโมโหมองไปที่เขา
ฟู่ซีเฟิงไม่สามารถรั้งเขาไว้ได้ ทำได้แค่วิ่งหนีไปอย่างว่องไว้แล้ว
เรื่องนี้จะต้องกลายเป็นเรื่องใหญ่ร้ายแรง ไม่เช่นนั้นหลินเจี้ยนคงไม่ปล่อยเขาไปง่ายๆ...
มู่ฉางถิงถอยหลังไปสองสามก้าว ถ่มน้ำลายใส่มือซ้ายและขวา ลูบมันอย่างลวกๆ วิ่งพุ่งเข้าไปที่ประตูแล้ววตะโกนเสียงดัง!
ครั้งนี้เขาใช้พลังแรงกายทั้งหมด เพียงเพื่อที่จะได้ยินเสียง ‘ปัง’ เสียงประตูล้มลงกระแทกพื้น!
มู่ฉางถิงทิ้งตัวลงบนประตูที่เขาพุ่งเข้าชน ใบหน้าขมุกขมอมเพราะฝุ่นที่ฟุ้งกระจาย คร่ำครวญด้วยความเจ็บปวดพร้อมกับเงยหน้ามองไปยังคนสองคน
สีหน้าของหลินเจี้ยนดำสนิทราวกับสามารถบิดเอาน้ำหมึกออกมาได้ แต่สิงอวี้เซิงชะงักงันราวกับทั้งร่างกายถูกกดไว้
สถานการณ์ดูน่าอับอายและแปลกประหลาด มู่ฉางถิงยิ้มอย่างคนขอโทษ “ท่านอาจารย์!ต้องขออภัยท่านจริงๆ!ข้ากำลังไล่ตามหมาป่าตัวหนึ่ง เห็นได้ชัดเจนว่าเจ้าสัตว์ตัวน้อยนั้นวิ่งเข้าไปในห้องของท่าน ข้าวิ่งไล่ตามมันเร็วเกินไป ทำให้เสียหลักแล้ว”
มองเห็นมุมปากของหลินเจี้ยนกระตุก โกรธจนชี้นิ้วไปที่เขา กายสั่นไม่หยุด มู่ฉางถิงใบหน้าเปื้อนรอยยิ้ม “ท่านวางใจได้ ประตูนี้ข้าจะต้องซ่อมมันแน่นอน!ข้าจะยังช่วยท่านยึดมันให้แน่น!ไม่ให้ผลักแล้วเลยอย่างแน่นอน!”
หลินเจี้ยนคร้านจะเสียเวลาพูดคุยกับเขา กระทืบเหยียบลงบนขาข้างหนึ่งของเขารุนแรงด้วยความโมโห จากนั้นก็ใช้มือข้างหนึ่งบิดเข้าที่หูของมู่ฉางถิงแล้วลากออกไป ก่นด่าสาปแช่ง “เจ้าสารเลวน้อย!วันนี้ข้าไม่จัดการเจ้า วันหน้าเจ้าก็คงอับอายฟ้าดินแล้ว!”
มู่ฉางถิงร้องโอดครวญด้วยความเจ็บปวด ด้านหน้าร้องขอความเมตตา แต่ด้านหลังกลับโบกมือเป็นสัญญาณ เป็นนัยว่าให้สิงอวี้เซิงที่กำลังมึนงงอยู่ รีบหนีออกไป
ห้องโถงใหญ่วังเสินเล่อ ผู้คนทั้งภายนอกและภายในล้วนเกาะกลุ่มเป็นวงกลม ล้วนแต่กำลังพูดคุยกันด้วยน้ำเสียงกระซิบกระซาบ
หลินเจี้ยนยกแส้ยาวขึ้นแล้วสะฟาดลงบนพื้นดัง ‘เปรี้ยง’ เสียงนั้นดังสนั่นราวกับฟ้าร้อง ผู้คนที่ได้ยินล้วนแต่ใจกระตุกไปตามๆ กัน
หลินเจี้ยนชี้นิ้วไปยังเขาแล้วก่นด่า “จนถึงตอนนี้เจ้าดื้อรั้นยิ่งนัก!ในวันนี้ก็ไม่เห็นข้าในสายตาแล้ว ในภายหน้าคงจะไม่เคารพเซียนจวินมากกว่านี้หรือ!ศิษย์ทำชั่ว อาจารย์สอนผิด!ดี!ให้ข้าได้สั่งสอนเจ้าว่าการเคารพอาจารย์ที่แท้จริงนั้นเป็นอย่างไร!เพื่อไม่ให้ขายขี้หน้ายามเจ้าก้าวเท้าออกไปจากวังเสินเล่อ ให้ขายหน้าวังเสินเล่อของพวกเรา!”
เมื่อน้ำเสียงหยุดลง ก็มีเสียง ‘เปรี้ยะ’ กระทบลงบนตัวมู่ฉางถิงอย่างรุนแรง!
มู่ฉางถิงถูกถีบจนม้วนตัวไปข้างหน้า ในตอนนี้ใบหน้าของเขาไม่ได้แต้มไปด้วยรอยยิ้มอีกต่อไป ทำได้เพียงเม้มริมฝีปากแน่น สีหน้าท่าทางกลิ่นอายแข็งกร้าว นัยน์ตาเป็นประกาย ดูภาคภูมิใจยิ่งนัก
หลินเจี้ยนเห็นท่าทางไร้ความเสียใจของเขา ยิ่งโกรธกริ้วหนัก แส้เส้นที่สองกำลังจะฟาดลงไป แขนก็ถูกดึงไปกอดไว้ทันที
ฟู่ซีเฟิงรีบกล่าว “ท่านอาจารย์ช้าก่อน!ฉางถิงไม่ได้ตั้งใจวิ่งพุ่งชนท่านอาจารย์!ขอท่านอาจารย์โปรดเมตตาด้วย!”
หลินเจี้ยนในตอนนี้ไม่ว่าคำพูดของใครก็ไม่สามารถผ่านเข้าไปได้ ผลักคนออกไป กล่าวด้วยความโมโห “ไสหัวออกไป!เจ้าเด็กนี่เดิมทีไม่รู้วิธีกลับใจ!ผู้ใดร้องขอเมตตาข้าจะลงโทษร่วมไปด้วย!”
ลงแส้ที่สอง...
ลงแส้ที่สาม...
ลงแส้ที่สี่...
เสียงหวดของแส้เส้นยาวที่กระทบผิวเนื้อดังกึกก้องอยู่ในใจของทุกคนที่อยู่ในบริเวณนั้นเนิ่นนาน
แผ่นหลังของมู่ฉางถิงถูกแส้ฟาดจนราวกับมีเลือดไหลซึมออกมาจากบาดแผล สีหน้าของเขาซีดเผือด ร่างกายกำลังจะร่วงล้ม หากไม่ใช่เพราะหมัดที่กำแน่น เกรงว่าคงจะสลบไปนานแล้ว
หลินเจี้ยนลงแส้ไปทั้งหมดยี่สิบครั้ง เหนื่อยจนไม่สามารถหายใจได้จึงละมือ
หลินเจี้ยนโยนแส้ที่เปรอะไปด้วยคราบเลือด ประกาศอย่างเย็นชา "มู่ฉางถิงถูกกักบริเวณสามวัน!ผู้ใดก็ห้ามให้ยาแก่เขา ห้ามส่งอาหาร ปล่อยให้เขาสำนึกผิดอยู่กับรูปนั้นของผู้อาวุโสก่อตั้งสำนัก!"
ฝูงชนสลายหายไปยามใด มู่ฉางถิงไม่รู้แล้ว
ทั้งสองหูมีเสียงคำรามก้อง ราวกับโลกทั้งใบกำลังหมุน เปลือกตาค่อยๆ ปิดลงอย่างเหนื่อยล้า ท้ายที่สุดก็ไม่สามารถกำมือได้ต่อไปแล้ว มู่ฉางถิงล้มลงอย่างไร้เรี่ยวแรง
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าใด มีเสียงหอบเบาๆ พัดผ่านเข้ามาในหู
เสื้อผ้าที่ขาดวิ่นของมู่ฉางถิงค่อยๆ ถูกปลดเปลื้องออก นิ้วที่เย็นเยียบของคนผู้นั้นจุ่มลงไปในขี้ผึ้ง ทาลงที่บาดแผลของเขาอย่างระมัดระวัง แต่ถึงอย่างนั้น มู่ฉางถิงที่ยังหมดสติอยู่ในความฝันก็ยังคงร้องครวญครางออกมาด้วยความเจ็บปวด
หลังจากที่นอนหลับไปอย่างสะลึมสะลือจนผ่านไปครึ่งคืน เขาก็ราวกับมีไข้แล้ว ลมหายใจร้อนนัก ทั้งร่างกายล้วนรู้สึกไม่สบายตัว
คิ้วของมู่ฉางถิงขมวดแน่น แต่ไม่นาน หน้าผากของเขาก็ถูกสิ่งของบางอย่างที่เย็นเยียบปกคลุม สบายยิ่งนัก มู่ฉางถิงหายใจสม่ำเสมอ อดไม่ได้ที่จะคว้ามันเอาไว้ วางไว้บนใบหน้าที่ร้อนผ่าวของเขา ดูเหมือนว่าเช่นนี้จะทำให้อุณหภูมิลดลงเล็กน้อย
แต่ดูเหมือนสิ่งที่เย็นเยียบนั้นไม่ฟังคำสั่งเอาเสียเลย เมื่อถูกเขาคว้าเอาไว้ก็สั่นระริก คิดอยากจะถอยชักกลับ
มู่ฉางถิงพึมพำอย่างไม่พอใจ "อย่าขยับ..."
สิ่งที่เย็นเยียบนั้นหยุดจะงัก ในที่สุดก็สงบลง คิ้วที่ขมวดแน่นของมู่ฉางถิงจึงค่อยๆ ผ่อนคลายออก
แสงแรกในยามเช้าตรู่สาดส่องเข้ามาอย่างนุ่มนวลผ่านทางหน้าต่างบานสูงของห้องโถงใหญ่วังเสินเล่อ ได้ยินเสียงนกน้อยร้องเจื้อยแจ้ว เสียงระฆังแรกยามเช้าดังขึ้นชัดเจนจากหอกลอง เสียงแล้วเสียงเล่า เสียงที่ใสกังวานดูเหมือนจะเขย่าขวัญและชำระจิตวิญญาณของผู้คนได้
สิงอวี้เซิงค่อยๆ ชักมือตนเองที่โดนมู่ฉางถิงยึดไว้แน่นกลับอย่างระมัดระวัง ขยับแขนที่เกิดอาการชาจากการรักษาท่าทางคงเดิมไว้เป็นเวลานาน นำเสื้อคลุมของมู่ฉางถิงคลุมลงบนร่างกายเขา หลังจากทำเหล่านี้เสร็จเรียบร้อย เขานั่งหย่อนขาลงกับพื้นจ้องมองใบหน้าที่ซีดเซียวของเด็กหนุ่มอย่างเงียบอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงยืดกายยืนขึ้น เดินออกไปที่ประตูอย่างแผ่วเบา
มู่ฉางถิงตื่นขึ้นมาพร้อมกับกลิ่นโจ๊กที่มีเนื้อสับผสมอยู่ เขาขยับกายเล็กน้อย แต่ก็ต้องกัดฟันด้วยความเจ็บปวดจากบาดแผลที่อยู่ด้านหลัง
มือขาวเรียวคู่หนึ่งประคองเขาไว้อย่างเบามือในเวลานี้ มู่ฉางถิงเงยศีรษะ มองเห็นใบหน้างดงามเกินไปเล็กน้อยของสิงอวี้เซิง ยังคงมีท่าทางเยือกเย็นเช่นเดิม แต่อาจเป็นเพราะแสงแดดอ่อนยามเช้าพาดผ่าน หว่างคิ้วของเขาจึงดูนุ่มนวลขึ้นมาก
"ขอบคุณ" มู่ฉางถิงลุกขึ้นนั่งภายใต้การช่วยเหลือของเขา
สิงอวี้เซิงเม้มริมฝีปากตนเอง กล่าวเสียงแผ่ว "ควรเป็นข้าที่ขอบคุณเจ้า"
"แท้จริงแล้วการได้ยินคำว่าขอบคุณจากเจ้าสองคำนี้ ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย" สติสัมปะชัญญะของมู่ฉางถิงดีขึ้นเล็กน้อย เพียงแต่ใบหน้าของเขายังคงซีดเซียวเช่นเดิม ดวงตาที่โค้งราวกับจันทร์เสี้ยวของเขาหลุบลงแล้วค่อยๆ คลี่ยิ้ม "เจ้ามาดูแลข้า ไม่กลัวทำให้เจ้าบ้าหลินนั่นโมโหอีกหรือ?หากว่าเขาลงโทษเจ้าด้วยจะทำเช่นไรเล่า?"