บทที่ 33 ความจริง (ตอนที่ 1)
“ฉันกับเซี่ยเหมยเป็นเพื่อนร่วมมหาวิทยาลัย พวกเราเคยพักอยู่ในห้องพักเดียวกัน ตอนนั้นฐานะทางบ้านของฉันไม่ค่อยดี การหาอาหารกินครบสามมื้อยังเป็นปัญหา”
“เซี่ยเหมยมาจากครอบครัวที่ร่ำรวย และเธอเป็นคนที่มีน้ำใจมาก มักจะช่วยเหลือฉันเสมอ เธอจะพาฉันไปทานอาหารดีๆ หลายมื้อในแต่ละเดือน และยังให้เสื้อผ้าของเธอกับฉันด้วย”
“เมื่อเวลาผ่านไป เราสนิทกันเหมือนพี่น้องและกลายเป็นเพื่อนสนิทกัน เราเรียนจบจากมหาวิทยาลัยปักกิ่ง คณะจิตวิทยา”
“หลังเรียนจบ เธอยังช่วยหางานให้ฉัน ในฐานะเพื่อนสนิท เธอทำทุกอย่างเพื่อฉันจริงๆ ฉันเคยบอกกับเธอหลายครั้งว่า ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ฉันยอมสละชีวิตเพื่อช่วยเธอได้”
“ทุกครั้งที่ฉันพูดแบบนั้น เธอก็จะหัวเราะและพูดว่า ‘ยุคนี้แล้ว ยังจะเล่นบทวีรบุรุษอยู่ได้ พวกเราเป็นเพื่อนกันตราบจนชีวิตจะหาไม่’”
“แต่ฉันกลับจำคำพูดของตัวเองไว้ในใจอย่างลึกซึ้ง”
“หลังจากเรียนจบไปห้าปี เซี่ยเหมยก็แต่งงานกับหม่าเซิ่งหนาน พร้อมสินสอดที่มากมาย แต่ในตอนนั้นฉันทำงานอยู่ต่างประเทศ เลยไม่ได้ไปร่วมงานแต่งของเธอ ฉันได้เห็นหม่าเซิ่งหนานครั้งแรกจากรูปถ่ายงานแต่งที่เธอส่งมาให้”
“ตอนนั้น เขาเป็นชายหนุ่มที่หล่อเหลาและสง่างามมาก เป็นผู้ชายที่สาวๆ ต่างใฝ่ฝัน ฉันเห็นรอยยิ้มที่เปี่ยมสุขของเซี่ยเหมยในรูป และก็ยินดีกับเธอจริงๆ”
“เมื่อฉันกลับมาจากต่างประเทศ เวลาผ่านไปอีกห้าปี เซี่ยเหมยและหม่าเซิ่งหนานกลายเป็นนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จ มีทรัพย์สินมหาศาล ส่วนฉันก็เป็นนักจิตวิทยาชื่อดังและเชี่ยวชาญด้านการสะกดจิต”
“บางทีอาจเป็นเพราะความรู้สึกด้อยค่าของตัวเอง ฉันปฏิเสธคำเชิญหลายครั้งที่เซี่ยเหมยชวนให้มาพบกันที่ซินเฉิง ฉันรู้สึกว่าตัวเองเป็นแค่คนธรรมดา เมื่อเทียบกับพวกเขา”
“แต่แล้วในคืนหนึ่งช่วงต้นเดือนกุมภาพันธ์ เซี่ยเหมยโทรหาฉัน เธอร้องไห้สะอึกสะอื้นโดยไม่พูดอะไร ฉันเดาว่าชีวิตคู่ของเธอน่าจะมีปัญหา”
“มันเป็นเช่นนั้นจริงๆ จากการที่เธอเล่าให้ฟังเป็นช่วงๆ ฉันก็ได้รู้ว่าหม่าเซิ่งหนานหลงรักผู้หญิงชื่อไป๋ปิง และยังซื้อบ้านให้เธอด้วย”
“ฉันรู้สึกโกรธมาก แต่เรื่องแบบนี้ในหมู่คนรวยเกิดขึ้นบ่อยครั้ง มันไม่ง่ายที่จะจัดการ เพราะถ้าข่าวนี้แพร่ออกไป ชื่อเสียงของพวกเขาจะพังทลาย”
“ในฐานะเพื่อนสนิท ฉันทำได้แค่ปลอบใจเธอ”
“หลังจากนั้น เราติดต่อกันบ่อยขึ้น ฉันสังเกตว่าเซี่ยเหมยเกลียดไป๋ปิงมาก และเคยพูดหลายครั้งว่าอยากฆ่าเธอให้พ้นทาง”
“จนเมื่อหนึ่งเดือนครึ่งที่ผ่านมา เซี่ยเหมยไปปักกิ่งและทิ้งข้อความไว้ว่าอยากเจอฉัน มีเรื่องสำคัญที่ต้องคุย แต่ตอนนั้นฉันติดงาน จึงไปพบเธอในวันที่สี่ของการเข้าพักของเธอ”
ฟางเหมียวหยุดเล่า เธอส่ายหัวและถอนหายใจ
เสิ่นเฟยไม่เร่งเร้า เพียงรอให้เธอเล่าต่อ
ฟางเหมียวเดินเข้าไปในห้องพักหมายเลข 1012 ของโรงแรม
เซี่ยเหมยที่นั่งอยู่คนเดียวกำลังดื่มเหล้า เธอดูทรุดโทรมอย่างหนัก
“เหมยเหมย ดื่มไปเท่าไหร่แล้ว?” ฟางเหมียวเดินเข้าไปแย่งแก้วจากมือเธอ
เซี่ยเหมยปิดหน้าและร้องไห้สะอึกสะอื้น ฟางเหมียวรู้สึกปวดใจจึงโอบกอดเธอไว้
“เหมยเหมย มีอะไรก็บอกฉัน ฉันจะหาทางช่วยเธอ อย่าทำร้ายตัวเองแบบนี้”
“ฉัน…ฉันทนไม่ไหวแล้ว หม่าเซิ่งหนานจะหย่ากับฉันเพราะผู้หญิงคนนั้น”
“หย่า?” ฟางเหมียวประหลาดใจ การหย่าร้างของคนรวยเป็นเรื่องยุ่งยากและอาจทำให้ชื่อเสียงเสียหาย หม่าเซิ่งหนานถึงกับทำแบบนี้เพื่อผู้หญิงคนเดียวเชียวหรือ?
“เขาบอกว่าฉันเป็นแม่ไก่ที่ออกไข่ไม่ได้…”
“หม่าเซิ่งหนานนี่มันเลวจริงๆ”
“ฉันรักเขามาก ฉันรับไม่ได้ที่เขาทิ้งฉันไป”
“แล้วเธออยากทำยังไงต่อไป?”
เซี่ยเหมยเงยหน้าขึ้น ดวงตาเปี่ยมด้วยความโกรธ
“ฉันต้องฆ่าไป๋ปิง ให้หม่าเซิ่งหนานตัดใจจากเธอให้ได้”
“เหมยเหมย เธอใจเย็นๆ ฆ่าคนต้องชดใช้ด้วยชีวิตนะ”
“ฉันรู้ดีถึงได้มาหาเธอ เพราะมีแต่เธอเท่านั้นที่ช่วยฉันได้”
“ฉันไม่กล้าฆ่าแม้แต่ไก่ตัวเดียวเลยนะ”
“เธอจำได้ไหมว่าเคยบอกว่าจะช่วยฉันทุกอย่าง ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น?”
“ฉันจำได้ ไม่เคยลืม”
“งั้นช่วยฉันที คิดหาวิธีที่ไม่มีใครสงสัยว่าฉันเกี่ยวข้องกับการตายของไป๋ปิง”
ฟางเหมียวเงียบไป
หลังออกจากสถานกักกัน เสิ่นเฟยและโจวหลิงฟางมีสีหน้าเคร่งเครียด
“หัวหน้าเสิ่น เราควรจับกุมเซี่ยเหมยเลยไหม?” โจวหลิงฟางถาม
เสิ่นเฟยพยักหน้า “อย่ารอช้า เราต้องไปหาเธอเดี๋ยวนี้”
ด้วยคำสั่งของเสิ่นเฟย หวังฉางซานได้ส่งคนคอยเฝ้าติดตามเซี่ยเหมยไว้
หลังเสิ่นเฟยโทรไปหาหวังฉางซาน เขารู้ว่าเซี่ยเหมยกำลังอยู่ที่บริษัทอุปกรณ์กีฬาเฟยเหนี่ยว
เสิ่นเฟยสั่งให้ปิดกั้นทางเข้าออกของอาคาร
ยี่สิบนาทีต่อมา เสิ่นเฟยและโจวหลิงฟางมาถึงบริษัทเฟยเหนี่ยว และตรงเข้าไปที่ห้องทำงานของผู้จัดการทันที
ในห้องมีเพียงเซี่ยเหมยคนเดียว
เธอนั่งอย่างสงบอยู่บนเก้าอี้ผู้บริหาร เมื่อเห็นเสิ่นเฟยเข้ามา เธอกล่าวอย่างเรียบเฉย “ดูเหมือนว่าฟางเหมียวจะเล่าทุกอย่างแล้วสินะ”
เสิ่นเฟยตอบ “ใช่ เพื่อนของคุณแม้จะยอมทำทุกอย่างเพื่อคุณ แต่เธอก็เก็บความลับนี้ไว้ไม่ได้”
เซี่ยเหมยถอนหายใจ ดวงตาเธอมีแววเศร้า
“ฉันทำให้เธอลำบาก เธอเป็นเพื่อนเพียงคนเดียวที่ฉันไว้ใจ แต่สุดท้ายฉันกลับทำร้ายเธอ”
เสิ่นเฟยกล่าวเย็นชา “คุณไม่ได้ทำร้ายแค่ฟางเหมียว”
เซี่ยเหมยหัวเราะเยาะ “คุณหมายถึงหม่าเซิ่งหนานกับไป๋ปิงน่ะเหรอ? พวกเขาสมควรตาย”
“แม้พวกเขาจะผิด แต่ก็ไม่ถึงขั้นต้องเสียชีวิต” โจวหลิงฟางกล่าวแทรก
เซี่ยเหมยมองโจวหลิงฟางด้วยความดูถูก “คุณไม่เข้าใจเรื่องของความรัก”
จากนั้นเธอหันกลับไปมองเสิ่นเฟย “คุณตำรวจ ฉันอยากรู้ว่าคุณได้อะไรจากฟางเหมียวบ้าง?”
เสิ่นเฟยยิ้มเล็กน้อย “ทั้งหมด”
“งั้นเล่ามาสิ”
เซี่ยเหมยชี้ไปที่โซฟาหน้าโต๊ะทำงาน “ฉันคิดว่าคุณตำรวจคงมีเวลามากพอใช่ไหม?”
เสิ่นเฟยไม่ตอบอะไร เขาเดินไปนั่งลงบนโซฟา แล้วจ้องมองเซี่ยเหมยด้วยสายตาคมกริบ “เซี่ยเหมย ฉันไม่คิดเลยว่าคุณจะมีแผนการที่ซับซ้อนขนาดนี้”
เซี่ยเหมยยิ้มบาง “ขอบคุณสำหรับคำชม เริ่มเล่ามาเถอะ”