บทที่ 3 การก่อกวนเล็กๆ น้อยๆ (1)
เมื่อก่อนจัวเซ่ามักจะพูดอย่างโกรธเคืองกับอาจารย์และเพื่อนร่วมชั้นเสมอ
เวลาป้าสะใภ้มาใส่ความจัวเซ่าที่โรงเรียน ทำไมพวกเขาถึงไม่เชื่อจัวเซ่า? พวกเขามีหลักฐานอะไรทำไมถึงไม่เชื่อจัวเซ่า?
สมัยนั้นจัวเซ่าใช้โรงเรียนเป็นสถานที่สำหรับลี้ภัย ถูกอาจารย์มองด้วยสายตาสงสัยใคร่รู้ เขารู้สึกทนไม่ไหวจนไม่อยากจะไปโรงเรียนอีกแล้ว แต่กลับลืมไปว่าหากอยากให้คนอื่นเชื่อในตัวเขาก็ควรจะอธิบายดี ๆ มากกว่าเงียบไม่พูดอะไร แล้วยังจะหวังให้คนอื่นเข้าใจตนเองได้อย่างไรกัน
จัวเซ่าเข้าใจความจริงข้อนี้มานานแล้ว แต่ก็ยังเหมือนมีบาดแผลอยู่ในใจ แต่ตอนนี้พฤติกรรมของเหลียงเฉิน เจ้าอ้วนตัวน้อยกลับช่วยเยียวยาปมในใจของเขาไปได้บ้าง
จัวเซ่าสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ ตัดสินใจที่จะเริ่มต้นชีวิตใหม่อีกครั้ง
สิ่งที่จัวเซ่าคิดนั้นเป็นเรื่องที่ดีมาก แต่ก็ค้นพบอย่างรวดเร็วว่าการจะเริ่มใหม่และเป็นนักเรียนที่ดีไม่ใช่เรื่องง่ายเลย
หลังจากที่เขาได้รับการปล่อยตัวจากเรือนจำ เขาได้เข้าเรียนในโรงเรียนกวดวิชาหลายแห่งภายใต้การสนับสนุนของเหลียงซิน อย่างภาษาอังกฤษ ในตอนนี้เขาเก่งกว่าอาจารย์หลาย ๆ คนในโรงเรียนเสียอีก ในขณะเดียวกันเขายังสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ด้วยตนเองอีกด้วย
และหลังจากที่เหลียงซินเสียชีวิต เขาก็ไม่ลืมที่จะเรียนเกี่ยวกับบริหารเพื่อมาบริหารบริษัทให้ดี เขาศึกษาด้านการจัดการและการออกแบบ ปกติแล้วนอกจากเวลาทำงาน เวลาของเขาก็ถูกใช้ไปกับการเรียน
แต่ไม่ว่าเขาจะเรียนอะไรมาเยอะแค่ไหน ความรู้ในตำราเรียนระดับมัธยมต้นก็ถูกลืมไปหมดแล้ว
เรื่องดี ๆ เรื่องเดียวคือเนื้อหาของชั้นมัธยมต้นไม่ได้ยากนัก หากเขาขยันน่าจะปรับตัวได้อย่างรวดเร็ว
จัวเซ่าใช้หลอดแอบดื่มน้ำ ตั้งใจฟังบทเรียนในช่วงเช้าเงียบ ๆ รอจนถึงเวลาเลิกเรียนคาบที่สี่ก็ถึงเวลาทานอาหารกลางวัน
โรงเรียนมัธยมต้นเป่ยเหมินเลิกเรียนตอนสิบเอ็ดโมงสิบนาที อาจารย์ยังกำหนดว่าต้องกลับมาถึงโรงเรียนตอนเที่ยง
จักรยานคันเดิมของจัวเซ่าถูกลูกพี่ลูกน้องของเขาขโมยไป ในอดีตเขาต้องเดินกลับไปที่บ้านของลุงให้เร็วที่สุด กินข้าว แล้วรีบกลับมาที่โรงเรียน
จากโรงเรียนไปถึงบ้านของลุงปั่นจักรยานต้องใช้เวลาสิบนาที หากเดินโดยปกติจะต้องใช้เวลายี่สิบกว่านาที แม้ว่าเขาจะเดินเร็ว แต่ก็ต้องใช้เวลามากกว่าครึ่งชั่วโมงในการเดินทางไปกลับ หลังจากที่เขากลับไปกินข้าวที่บ้านก็มักจะถูกป้าสะใภ้หาเรื่องบ่อย ๆ ให้เขาล้างจานหรือทำอย่างอื่นก่อนที่จะปล่อยเขากลับโรงเรียน
เขาต้องทำให้เสร็จก่อนถึงจะไปได้ เมื่อกลับถึงโรงเรียนจึงเกินเวลาเที่ยงไปแล้ว ถึงจะไปสาย แต่หากเขาไม่ยอมทำ ป้าสะใภ้ก็จะเอาเขาไปพูดใส่ร้ายกับคนละแวกบ้าน
ที่จริงแล้วคาบแรกของช่วงบ่ายจะเริ่มตอนเที่ยงสี่สิบ เวลาที่โรงเรียนกำหนดให้นักเรียนมาถึงโรงเรียนคือก่อนเที่ยงครึ่ง แต่อาจารย์ที่ปรึกษากลับให้พวกเขาต้องมาถึงโรงเรียนก่อนเที่ยง หากมาไม่ทันวันนั้นก็จะถูกบันทึกเอาไว้
จัวเซ่าคิดอย่างรอบคอบรอบหนึ่งก็พบว่าที่อาจารย์ที่ปรึกษาไม่ชอบเขาก็มีเหตุผล เช่นเรื่องที่เขามักจะมาสายตลอด อาจารย์คงไม่ค่อยจะชอบนัก
และเพราะศักดิ์ศรีแบบแปลก ๆ ของตนที่มีมากเกินไปนี้
หรือหากในเวลานั้นเขายอมให้สถานการณ์ของตนเองชัดเจนมากกว่านี้ บางทีอาจารย์คงไม่ขอให้เขามาตรงเวลาขนาดนั้น
เมื่อคิดเช่นนั้นจัวเซ่าก็ถอนหายใจเบา ๆ ลุกขึ้นและวิ่งออกไปอย่างรวดเร็ว
เขาต้องกลับบ้านเร็วหน่อย กลับไปดูน้องสาวของตน
ที่จริงตอนที่เขาลืมตาตื่นขึ้นมาแล้วพบว่าตนย้อนกลับมาในอดีตอีกครั้ง เขาก็อยากจะรีบกลับบ้านไปหาน้องสาวทันที แต่ในเวลานั้นน้องสาวของเขาก็ยังอยู่ที่โรงเรียน เขาวิ่งออกไปก็ไม่เจอใคร ทำได้เพียงอดกลั้นอารมณ์ของตนเองไว้
ยิ่งไปกว่านั้น...ประตูโรงเรียนถูกปิดอย่างแน่นหนา มีกำแพงสูงใหญ่ตั้งตระหง่าน ยามก็เดินลาดตระเวนไปมา อยากจะวิ่งออกไปไม่ง่ายเลยจริง ๆ ...
น้องสาวของจัวเซ่าไม่ใช่น้องสาวแท้ ๆ ของเขา
ที่นี่พวกเขาเข้มงวดมากในการวางแผนครอบครัว พ่อแม่เป็นคนซื่อสัตย์ หลังจากให้กำเนิดเขา แม่ของเขาก็ไปทำหมัน ไม่มีความคิดที่จะคลอดลูกคนที่สองอีก
น้องสาวของเขาถูกพ่อแม่ของเขารับมาเลี้ยง
ตอนนั้นเขาอายุเพียงห้าขวบ ในขณะที่พ่อของเขากลับมาจากที่ทำงาน กลับมาได้ครึ่งทางก็ได้ยินเสียงเด็กร้องไห้ เมื่อมองไปก็เห็นเด็กผู้หญิงถูกทิ้งอยู่ข้างถนน
แม้ว่าพ่อของเขาจะพาเด็กกลับมาบ้าน แต่เขากลับต้องการส่งเด็กคนนี้ให้คนอื่นเลี้ยงดู เด็กคนนี้เป็นผู้หญิงทั้งมือขวายังพิการ ไม่ว่าจะถามใครก็ไม่มีใครต้องการ แต่จัวเซ่าก็ยังโวยวายอยากได้น้องสาว
ในตอนนั้นไม่ได้มีสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้าอะไรแบบนั้น ทางหมู่บ้านและชุมชนบอกว่าถ้าครอบครัวจัวเซ่ารับเลี้ยงเด็กคนนี้จะไม่เสียค่าปรับการมีลูกเกินจำนวนที่รัฐกำหนด
พ่อแม่ของจัวเซ่าคิดแล้วคิดอีก เด็กคนนี้ถูกทิ้งแล้ว พวกเขาตั้งชื่อให้เธอว่า จัวถิง
ในตอนแรกจัวเซ่าโวยวายอยากได้น้องสาว แต่ความจริงแล้วเขาไม่ค่อยชอบใจนักเมื่อในบ้านมีเด็กเพิ่ม ยิ่งไปกว่านั้นตอนนั้นเขาอยู่ชั้นอนุบาลและเขาไม่ได้ใช้เวลากับน้องสาวมากนัก
พ่อแม่จัวปฏิบัติกับจัวถิงอย่างดี ทั้งเรื่องอาหารการกินและเสื้อผ้าการแต่งกาย เนื่องจากสถานภาพของครอบครัวจัวค่อนข้างดี ชีวิตของจัวถิงจึงดีกว่าเด็กผู้หญิงหลาย ๆ คนในหมู่บ้าน แต่หากพูดถึงความรัก... ไม่ต้องสงสัยเลย พ่อแม่จัวรักจัวเซ่ามากกว่า
แน่นอนว่าจัวถิงรู้มาตั้งแต่เธอยังเล็กว่าตนนั้นถูกรับมาเลี้ยง ดังนั้นเธอจึงไม่ได้มีปัญหาอะไร
ถ้าพ่อแม่จัวไม่ตาย จัวถิงคงเติบโตขึ้นมาเป็นสุข รอเทคโนโลยีพัฒนาก็อาจจะสามารถผ่าตัดแก้ไขมือของเธอได้ เธอจะต้องกลายเป็นสาวน้อยที่น่ารักมากแน่ ๆ ... แต่พ่อแม่จัวเสียไปแล้ว
หลังจากพ่อแม่จัวจากไป จัวเซ่าไม่อาจปกป้องตนเองได้ แน่นอนว่าไม่อาจดูแลน้องสาวได้ด้วย ไม่มีใครคิดว่าลุงของจัวเซ่าจะเป็นพวกโรคจิต ทำแม้กระทั่งเอาเปรียบเด็กสาวอายุสิบขวบ
เมื่อคิดถึงเรื่องเมื่อชีวิตก่อน สีหน้าของจัวเซ่าก็แปรเปลี่ยนเป็นสีหน้าอ่านยากในขณะที่วิ่งไปพร้อม ๆ กัน