บทที่ 227 ฝูเซิงผู้ตกอับ
ณ วัดจินฝอในเมืองผีเฉิง มณฑลซวี
เสียงปิดประตูดังสนั่น "โครม!" ทิ้งให้พระฝูเซิงยืนอยู่นอกประตู
พระฝูเซิงมองประตูใหญ่สีแดงอมน้ำตาลที่ประดับด้วยตาปูทอง เขายกมือขึ้นจะเคาะประตู แต่แล้วก็ลดมือลง
เขาจะพูดอะไรได้ล่ะ?
พูดอะไรก็มีแต่จะอับอายขายหน้า
ถูกขับไล่ออกจากวัดที่เติบโตมาตั้งแต่เด็ก ความรู้สึกในใจเขาเหมือนสุนัขจรจัดที่ไร้บ้าน
เขายืนอยู่หน้าประตูเป็นเวลานาน คิดอะไรมากมาย สุดท้ายก็ถอนหายใจ น้ำตาคลอ แบกห่อสัมภาระ สวมจีวรเก่า แล้วหันหลังจากไปจากหน้าวัดจินฝอ
จากไปจากวัดที่เขาอยู่มากว่าสามสิบปี
นึกย้อนถึงประสบการณ์ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เขารู้สึกว่ามันช่างแปลกประหลาด
อิทธิพลของวัดจินฝอมีอยู่หลักๆ ในมณฑลหยง มณฑลจี๋ และมณฑลเหยี่ยน สถานที่อย่างมณฑลซวีนี้มีเพียงวัดเล็กๆ การบิณฑบาตก็ค่อนข้างสบาย
แม้ว่าเขาจะอายุกว่าสามสิบแล้ว ยังไม่ใช่นักยุทธ์ขั้นเห็นแก่นแท้ แต่ด้วยตำแหน่งพระลูกวัดของวัดจินฝอ ไม่ว่าเขาจะไปที่ไหน ผู้คนก็ต้องเรียกเขาว่า "ท่านพระ" ด้วยความเคารพ
แต่แล้วในช่วงไม่กี่ปีนี้ วัดกลับมีพระจากวัดจินฝอทางเหนือมาเพิ่มมากมาย ว่ากันว่าทางเหนือลัทธิหวงเทียนมีอิทธิพลมาก ทำให้มณฑลอี้และมณฑลเหยี่ยนไม่มีที่ให้พระจากวัดจินฝออยู่อีกต่อไป
พวกเขาจึงต้องอพยพลงใต้ มาถึงมณฑลชิงและมณฑลซวี ซึ่งแต่เดิมเป็นเพียงพื้นที่ชายขอบในสายตาของพวกเขา
พระเหล่านั้น แต่ละรูปล้วนมีวรยุทธ์ระดับทะเลพลังและวงจรสวรรค์ ตอนแรกเจ้าอาวาสวัดจินฝอแห่งเมืองผีเฉิงไม่อยากรับพวกเขา แต่จำใจต้องทำตามเพราะพระอาจารย์ปาขู่ เจ้าอาวาสใหญ่ของวัดจินฝอ ได้ออกคำสั่งโดยตรง วัดจินฝอแห่งเมืองผีเฉิงจึงต้องรับพวกเขาไว้
พึงรู้ไว้ว่า เจ้าอาวาสของวัดจินฝอแห่งเมืองผีเฉิงก็มีวรยุทธ์แค่ระดับทะเลพลัง ทันใดนั้นก็มีนักยุทธ์วรยุทธ์สูงส่งมากมายมาอยู่ ราวกับมีผู้บังคับบัญชามาเป็นฝูง
เมื่อมีผู้บังคับบัญชามากขึ้น ปัญหาก็ตามมา
เพราะพวกเขารู้สึกว่าตัวเองไม่ควรอยู่ในวัดกินข้าวเปล่าๆ โดยไม่ทำอะไร
ต้องสร้างคุณค่า! แต่พวกเขาล้วนเป็นนักยุทธ์ระดับสูง จะไปเจรจากับเจ้าเมืองผีเฉิงเรื่องรับสัมปทานย่านต่างๆ หรือ?
นั่นทั้งเหนื่อย ต้องต่อสู้ เสี่ยงอันตราย ยังต้องคุกเข่าอีก ไม่เอา ไม่เอา! จะออกไปบิณฑบาตเอง ก็ดูต่ำศักดิ์ศรีเกินไป ไม่เอา ไม่เอา! จึงต้องใช้ความสามารถพิเศษของพวกเขา นั่นคือการเผยแพร่ประสบการณ์การบริหารวัดที่ทันสมัยและก้าวหน้าให้กับวัดในพื้นที่ชายขอบอย่างเมืองผีเฉิง
ไม่ว่าจะเป็น "การแข่งขันเป็นกลุ่ม" "การประเมินผลการบิณฑบาต" "การคัดคนท้ายออก" ยังต้องเช็คชื่อตามเวลาอย่างเคร่งครัด วันละสี่ครั้ง ตอนกลางคืนยังต้องประชุมแบ่งปันประสบการณ์การบิณฑบาต
เพียงแค่ครึ่งเดือน ก็ทำให้คนในวัดแทบทนไม่ไหว
ทุกวันต้องตื่นตอนตีห้าสิบห้านาที วิ่งรอบวัดสิบรอบ จากนั้นประชุมก่อนอาหารเช้าที่โรงข้า กว่าจะได้กินข้าวก็แปดโมงเช้า
หลังจากนั้นก็เป็นการบิณฑบาตแบบพรมเช็ดเท้าในช่วงเช้า กินข้าวกลางวัน งีบพักครึ่งชั่วยาม แล้วก็บิณฑบาตแบบพรมเช็ดเท้าต่อ
กว่าจะได้กลับวัดก็เกือบหนึ่งทุ่ม กินข้าวเย็นอย่างเร่งรีบ แล้วก็รวมตัวกันเป็นกลุ่มย่อยเพื่อประชุมแบ่งปันประสบการณ์การบิณฑบาต
ประชุมจนถึงสี่ทุ่มสิบนาที จึงจะได้ไปนอน
นี่คือหนึ่งวันที่สมบูรณ์
วันแล้ววันเล่า วันแล้ววันเล่า ดูเหมือนไม่มีที่สิ้นสุด
เมืองก็มีขนาดเท่านั้น คนที่จะให้บิณฑบาตได้ก็มีแค่นั้น
แต่ก่อนวัดจินฝอรับบิณฑบาตแค่เหรียญทองแดง พอพวกผู้บังคับบัญชาเหล่านี้มา ก็ตั้งคำขวัญว่า "กล้าคิด ก็กล้าขอ"
"พวกเรามาจากทางเหนือ ล้วนเคยนำทีมทำยอดบิณฑบาตได้หลายร้อยตำลึงทอง พวกเรามาที่นี่ก็อยากช่วยให้ทุกคนเติบโตไปด้วยกัน! พวกเราไม่ได้มาหลอกพวกเจ้าหรอก!"
"เรื่องบิณฑบาตนี่ ถ้าเจ้าไม่คิดจะขอทองคำ แล้วเจ้าจะได้ทองคำมาได้ยังไงล่ะ?"
"แค่กล้าคิด ทุกอย่างก็เป็นไปได้!"
"เจ้าต้องตะโกนออกมาดังๆ ว่า 'ข้าทำได้!' นี่จะให้พลังกับเจ้า!"
ทำได้บ้านแกสิ!
ฝูเซิงฟังคำโม้ของพวกพระบ้าเหล่านี้แล้วก็ด่าในใจ
แต่จะทำอย่างไรได้ เขาสู้พวกนั้นไม่ไหว
ดังนั้น หลังจากผ่านไปหลายเดือน ฝูเซิงก็ถูกคัดออกเพราะอยู่อันดับท้าย
ทั้งที่เขาพยายามบิณฑบาตอย่างหนักแล้ว แต่เขาไม่มีวรยุทธ์สูงส่งเหมือนพี่ชายคนอื่นๆ ที่มีสภาพจิตใจดีทุกวัน สามารถกอบโกยได้อย่างไร้ความปรานี และไม่เก่งประจบสอพลอเหมือนพี่ชายคนอื่นที่ติดสนิทกับตระกูลใหญ่ในเมืองได้
เขาเป็นเพียงพระธรรมดาๆ ที่ยังไม่ถึงขั้นเห็นแก่นแท้ เป้าหมายการบิณฑบาตรายเดือนนั้นสูงเกินไป เขาใช้เวลาหลายเดือน เหนื่อยจนผมหงอกขาวไปหลายเส้น ใบหน้าก็ดูแก่ลงมาก
ร่างกายที่เคยอวบอ้วนเล็กน้อย ก็ผอมจนเห็นซี่โครง
"ฝูเซิง แค่เป้าหมายบิณฑบาตสิบตำลึงทองเท่านั้น เจ้าทำไม่สำเร็จติดต่อกันสามเดือน เจ้าจะให้คนอื่นมองเจ้ายังไง มองสมาชิกในกลุ่มของเจ้ายังไง!"
"คนอื่นเขาบิณฑบาตได้หลายสิบตำลึงทองทุกเดือน ทำสำเร็จกันหมด แต่เจ้าแค่เป้าหมายสิบตำลึงทองยังทำไม่สำเร็จ ฝูเซิง เจ้าเป็นภาระนะ!"
ภาระบ้าอะไรกัน!
ก่อนที่พวกไอ้บ้าพวกนี้จะมา พวกเราบิณฑบาตแค่ไม่กี่สิบไม่กี่ร้อยอีแปะต่อเดือน พวกเราก็อยู่กันได้ดีนะ! เงินที่บิณฑบาตมาได้ พวกเราไม่ได้เห็นเลย มันไม่ได้อยู่ในกระเป๋าสตางค์ของพวกเจ้าหรอกหรือ? แต่คำพูดเหล่านี้ฝูเซิงได้แต่คิดในใจ ถ้าเขาพูดออกมา เขาก็ต้องตายแน่!
ในช่วงนี้ บางครั้งมีคนในวัดหายตัวไป
พวกเขาไม่ได้ถาม ทางผู้บังคับบัญชาก็ไม่ได้อธิบ
าย แรกๆ คิดว่าคงออกไปบิณฑบาต แต่ฝูเซิงบังเอิญไปพบ...เสื้อผ้าของพวกเขา ที่ชานเมือง
เสื้อผ้าของพวกเขาถูกสวมใส่โดยขอทาน
ว่าพวกเขาจะจบลงอย่างไร ก็ไม่จำเป็นต้องพูดให้ชัดเจน
"ข้าพยายามอย่างเต็มที่แล้ว!" ฝูเซิงคุกเข่าต่อหน้าพระระดับวงจรสวรรค์รูปนี้ พูดว่า "ขอท่านอาจารย์โปรดให้โอกาสข้าด้วย!"
คำว่า "ภาระ" ก็หมายความว่าไม่มีประโยชน์แล้ว
"เฮ้อ! ข้ารู้ว่าเจ้าเป็นคนเก่าของวัดนี้ เติบโตมาในวัดตั้งแต่เด็ก แต่วัดจินฝอของเราถือเงินเป็นใหญ่ ถือกำไรเป็นสำคัญ"
"ไม่มีเงิน จะเผยแพร่พระธรรมได้อย่างไร? ไม่มีเงิน จะแสดงคุณค่าของพวกเราพระสงฆ์ได้อย่างไร!"
"ฝูเซิง เจ้าไปเถอะ! ข้าทำได้แค่นี้แล้ว!" พระระดับวงจรสวรรค์รูปนั้นพูดอย่างช้าๆ
"หา? ข้าจะไปไหน ข้าจะไปที่ไหน?" ฝูเซิงได้ยินข่าวนี้ ราวกับถูกฟ้าผ่า น้ำตาไหลพราก
เขาเติบโตมาในวัดตั้งแต่เด็ก เขาจะไปไหนได้
"เจ้าจะไปไหนก็ได้! แต่อย่าพูดถึงเรื่องทั้งหมดในวัดจินฝอ ถ้าพูดออกไป จะไม่มีใครปกป้องเจ้าอีก!" พระระดับวงจรสวรรค์พูด
"......" ฝูเซิงเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วคุกเข่าคำนับพระระดับวงจรสวรรค์อย่างนอบน้อม พูดว่า "ขอบคุณท่านอาจารย์! ขอบคุณท่านอาจารย์!"
พระระดับวงจรสวรรค์ครางเบาๆ ฝูเซิงจึงได้ลุกขึ้นจากไป
เงินเก็บของเขาในวัดถูกยึดไป บอกว่าเป็นค่าชดเชยที่แพ้ "การแข่งขันเป็นกลุ่ม" กับกลุ่มอื่น
เสื้อผ้าของเขาก็ไม่มีแล้ว ถูกยกให้เพื่อนร่วมกลุ่มไป
เขาเหลือเพียงเสื้อผ้าเก่าหนึ่งชุด พระสูตรหนึ่งเล่ม และเสื้อผ้าขาดๆ อีกไม่กี่ชิ้น
ขอบคุณ?
เดินออกจากวัดจินฝอ ฝูเซิงก้มหน้าคิด
ข้ากำลังขอบคุณเขาเรื่องอะไร? ข้าควรขอบคุณเขาเรื่องอะไร? ยังต้องพูดขอบคุณอีกนะ!
.
หนิงหนิง Talk 🍎
วันนี้มาแค่สามตอนนะคะ ขออภัยค่า
เหมือนจะเป็นไข้ เพราะนิยายเรื่องใหม่ที่พึ่งเปิดไปมีคนแปลแน้วว555555(แต่เค้าก็เทไปเป็นปีแล้ว) จะเอายังไงต่อดีน้า🫨
(เหตุผลนี้ล้อเล่นนะคะ อีฟ🤞🏻55555 แต่จะเป็นไข้อะจริงง)