บทที่ 2 เจ้าอ้วนโต๊ะข้างๆ (1)
จัวเซ่าเรียนอยู่ชั้นมัธยมต้น เป็นโรงเรียนมัธยมศึกษาตอนต้นที่ดีที่สุดในอำเภอฟูหยาง โรงเรียนฟูหยางที่สี่ ชาวบ้านมักเรียกที่นี่ว่าโรงเรียนมัธยมต้นเป่ยเหมิน
ที่โรงเรียนมัธยมต้นเป่ยเหมินเข้มงวดมาก คาบเรียนด้วยตนเองช่วงเช้าจะเริ่มในเวลา 07.10 น. โดยปกติจะมีอาจารย์มาคอยดู
จัวเซ่านอนฟุบหน้าลงกับโต๊ะโดยไม่อ่านหนังสือภาษาอังกฤษ ไม่เพียงตัวแทนวิชาภาษาอังกฤษ แต่สมาชิกของคณะกรรมการศึกษาเองก็เอ่ยตำหนิ และอาจารย์ที่ปรึกษาที่เพิ่งมาถึงห้องเรียนก็เข้ามา “จัวเซ่า นายเป็นอะไร?”
อาจารย์ที่ปรึกษาของจัวเซ่าแซ่หยาง เป็นอาจารย์ผู้ชายอายุราวสามสิบปี สอนวิชาวรรณกรรม จากข้อมูลแม้ผลการเรียนของจัวเซ่าจะลดลง แต่เขาก็ยังอยู่ในสามอันดับแรกของชั้นเรียน ควรจะเป็นที่ชื่นชอบของเหล่าอาจารย์ แต่ไม่รู้ว่าเพราะอะไร ดูเหมือนพวกเขาจะไม่ค่อยชอบจัวเซ่า
แน่นอนว่าเขาเองก็ไม่ค่อยชอบเท่าไรนัก แต่ก็ไม่ได้อยากจะกลั่นแกล้งอะไรจัวเซ่า
จัวเซ่าเงยหน้าขึ้นก็พบว่าอาจารย์หยางกำลังมองมายังเขาและขมวดคิ้วของตน
หากเป็นเขาในปีนั้น ในเวลาเช่นนี้ก็คงทำตัวเย็นชาไม่เอ่ยตอบสิ่งใด แต่ตอนนี้...
จัวเซ่ายิ้มอ่อน ๆ ให้กับอาจารย์ของเขา “อาจารย์หยาง ผมปวดท้อง”
สีหน้าของจัวเซ่าไม่ค่อยดีนัก ด้วยตาทั้งสองข้างแดงเล็กน้อย เมื่อเขาพูดว่าปวดท้อง คนในห้องต่างก็เชื่อ อาจารย์หยางไม่ได้โกรธอีก “เธอไม่สบายก็พักสักหน่อยเถอะ”
“ครับ” จัวเซ่ารับคำ ฟุบหน้าลงบนโต๊ะอีกครั้ง
เสียงอ่านภาษาอังกฤษของเพื่อน ๆ ในห้องดังขึ้นอีกครั้ง จัวเซ่าฟังเสียงเหล่านั้น ความคิดฟุ้งซ่านลอยไปไกล
เกิดใหม่อีกครั้ง เขาควรจะทำอย่างไรดี ?
เขาตัดสินใจแล้วว่าไม่สามารถอยู่กับลุงและป้าสะใภ้ของตนได้อีกต่อไป และยิ่งต้องป้องกันไม่ให้ลุงข่มเหงน้องสาวของเขา...
ในชาติที่แล้ว หลังจากเขาอ้อนวอนให้ตำรวจหาคนมารับเลี้ยงน้องสาว แม้ว่าน้องสาวของเขาจะดีขึ้นมาก แต่เรื่องราวในวัยเด็กก็ยังคงติดตามเป็นเงาตามตัว หลายปีให้หลังจึงเติบโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ที่ขี้กลัว ทำอะไรก็กังวลไปหมด และเมื่อมีคนอื่นทำดีกับเธอเข้าหน่อยก็จะเปิดเผยพฤติกรรมนี้ออกมา...
เขาจะไม่ยอมปล่อยให้น้องสาวของเขามีเงาดำมืดในจิตใจอีกแน่
เริ่มจากการเรียน เขาต้องตั้งใจเรียน เหลียงซินเข้ามหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในจังหวัดของตน ถ้าเขาอยากจะคู่ควรกับเหลียงซินก็ต้องไม่ต่างจากเขามากนัก
สุดท้ายคือการหาเงิน
เขาต้องหาเงิน เขาต้องหาเงินเลี้ยงน้องสาว ก็มีแต่ต้องหาเงินให้ได้มาก ๆ จึงจะสามารถไล่ตามเหลียงซินอย่างเปิดเผยได้ ไม่ใช่จนกระทั่งเหลียงซินตายก็ยังไม่มีแม้แต่โอกาสจะได้สารภาพ
เรื่องที่จัวเซ่าอยากจะทำนั้นมีเยอะมาก แต่หลังจากคิดเรื่องทั้งหมดแล้ว เขาก็ต้องยอมรับว่านี่มันไม่ง่ายเลย
ตอนนี้เขายังไม่บรรลุนิติภาวะ ทั้งยังไม่มีเงินจะกินข้าวให้อิ่มเลยด้วยซ้ำ แล้วอะไรคือสิ่งที่ทำได้กัน ?
อยากกินข้าว ท้องของจัวเซ่าเจ็บขึ้นมาอีกครั้ง เขาหิวแล้ว
ตอนที่จัวเซ่าอายุยังน้อย ลุงของเขาได้เป็นชามข้าวเหล็ก (1) ของรัฐ และย้ายทะเบียนบ้านไปอยู่ในเขตปกครอง ในเวลานั้นลุงภูมิใจกับมันมาก และต่อมาก็ได้แต่งงานกับภรรยา ทั้งสองต่างก็ดูถูกชาวนา แต่ต่อมาใครจะคาดคิดว่าทั้งคู่จะถูกเลิกจ้าง พวกเขาเสียใจกับเรื่องนี้มาก
เมื่อมีทะเบียนบ้านอยู่ในเขตปกครอง ที่ดินสำหรับทำกินต่าง ๆ ก็จะหายไป ไม่ว่าจะกินอะไรก็ต้องใช้เงิน วันเวลาเหล่านี้ล้วนเป็นวันที่ยากลำบากอย่างไม่ต้องสงสัย...ป้าสะใภ้ของจัวเซ่าเป็นเหมือนตัวละครของกรองเด้ต์ (2)
ตอนที่พ่อแม่ของจัวเซ่ายังมีชีวิตอยู่ ป้าสะใภ้มักจะขี่จักรยานมาที่บ้านของเขาทุกเช้าเพื่อเก็บผักและเอาข้าวจากบ้านของเขา แต่กลับไม่เคยจ่ายเงินสักครั้ง เมื่อพ่อแม่ของจัวเซ่าจากไปแล้ว หลังจากสองพี่น้องถูกพากลับบ้าน แน่นอนว่าเธอไม่เต็มใจที่จะดูแลพวกเขาอย่างดี
ตัวอย่างเช่นสิ่งที่เธอให้จัวเซ่าและน้องสาวกินในตอนเช้ามีเพียงโจ๊กเปล่า ๆ ทั้งยังไม่เต็มใจที่จะให้ผักดองและโจ๊กกับพวกเขาเพิ่มอีกหน่อย
ให้กินเพียงครึ่งเดียวของปริมาณที่ชายชราแก่ ๆ คนหนึ่งจะกินได้เสียด้วยซ้ำ จัวเซ่าอยู่ในวัยที่กำลังต้องการสารอาหารในการเจริญเติบโต ตอนที่พ่อและแม่ของจัวเซ่ายังมีชีวิตอยู่ไม่มีเวลาทำอาหารเช้า ให้เขาซื้อกินเอง เขากินเสี่ยวหลงเปาครั้งละยี่สิบลูก ตอนนี้ได้กินเพียงโจ๊กหนึ่งชาม จะไปพอกินที่ไหนกัน ?
หลังจากกินโจ๊กแล้วไปเข้าห้องน้ำ จัวเซ่าก็หิวแล้ว
เมื่อก่อนต่อให้หิวเขาก็ยังทนได้ เขาอายเกินกว่าที่จะต้องขอคนอื่นกิน เขาไม่อยากจะพูดออกมาเลยแม้แต่น้อย แต่จัวเซ่าในตอนนี้นั้น...
เสียงกริ่งดังขึ้น คาบเรียนด้วยตนเองสิ้นสุดลงแล้ว หลังจากนั้นสิบนาทีคาบเรียนแรกกำลังจะเริ่มอย่างเป็นทางการ
คนในชั้นเรียนจำนวนมากพากันวิ่งไปเข้าห้องน้ำ จัวเซ่ากลับเงยหน้าขึ้นแล้วมองคนรอบ ๆ ตัวตนเอง
จัวเซ่านั่งอยู่ในแถวที่สองจากท้าย ด้านหลังของเขาเป็นเพื่อนนักเรียนหัวตั้งคนหนึ่ง ส่วนคนที่นั่งข้างเขาเป็นเพื่อนนักเรียนตัวอ้วนที่มักจะถูกรังแกและถูกกีดกัน...
สายตาของจัวเซ่าตกลงบนร่างอ้วน ๆ ร่างนั้น
เวลานี้ในโรงเรียนมัธยมต้นไม่ได้ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้เท่าไรนัก แม้ว่าทางโรงเรียนจะยังมีชุดนักเรียนอยู่ แต่นอกจากพิธีหน้าเสาธงหรือในโอกาสพิเศษอื่น ๆ ก็ไม่มีใครใส่ชุดนักเรียน เสื้อผ้าที่ทุกคนใส่มีสไตล์ต่างกันไป เรียกว่าไม่ว่าจะแบบไหนล้วนมีทั้งหมด
ปัจจุบันเป็นช่วงต้นของปีสองพัน แม้ว่าสไตล์การแต่งตัวจะไม่มากเท่าคนรุ่นหลัง แต่ก็มีสไตล์ไม่น้อยแล้ว ทุกคนแต่งตัวกันไม่เลวเลย แต่เจ้าอ้วนนี่กลับมักจะใส่เสื้อผ้าทุกชนิด...ที่มีแต่คนวัยกลางคนและคนแก่เท่านั้นที่ใส่
ไม่เพียงเท่านั้น ผมของเขาถูกตัดเป็นทรงที่สั้นสุด ๆ เหลือผมไว้บนศีรษะน้อยกว่าหนึ่งเซนติเมตรเสียด้วยซ้ำ
เจ้าอ้วนแท้จริงแล้วก็ไม่ได้อ้วนอะไรมากมาย หน้าตาก็ไม่เลว แต่กลับชอบทำให้ตัวเองดูรุงรัง แน่นอนว่าที่เจ้าอ้วนมักจะถูกรังแกและกีดกันไม่ใช่แค่เพราะเหตุนี้
เจ้าเด็กนี่ไม่ได้แค่แต่งตัวประหลาด เขายังพูดติดอ่าง ทั้งยังมีข่าวลือว่าแม่ของเขาเสียชีวิตไปแล้ว และพ่อของเขาก็ไม่ต้องการเขาแล้ว
พ่อแม่ของจัวเซ่าเสียตอนที่เขายังอยู่มัธยมต้น เมื่อได้ยินข่าวลือนี้จึงรู้สึกเห็นใจเด็กคนนั้นนิดหน่อย เวลาที่ไม่มีใครยอมนั่งข้างเขา จัวเซ่าจึงริเริ่มที่จะเป็นเพื่อนร่วมโต๊ะของเด็กคนนั้น แต่ต่อมาหลังจากพบว่าเจ้าอ้วนนี่มีเงินค่าขนมเยอะ สมัยนั้นเขายากจนมากจึงเกลียดพวกคนรวย จึงเริ่มที่จะละเลยเพื่อนร่วมโต๊ะคนนี้
ต่อมาเขากลายเป็นนักเลง มีอะไรก็ปล่อยไปตามเวรตามกรรม หลังจากที่บ้านของลุงไม่มีอะไรให้กิน ในช่วงนั้นจัวเซ่ามักจะหยุดดักที่ถนนและเรียกเก็บค่าคุ้มครองทุกวัน ทุกวันต้องใช้สิบหยวนมากินข้าว
ในตอนนั้นคนคนนี้ให้เขาสิบหยวนทุกวัน ให้ง่ายมาก บางครั้งไม่มีเศษเงินอยู่กับตัว ก็ยังเอาธนบัตรร้อยหยวนไปซื้ออาหารว่าง ให้ร้านค้าทอนเงินและให้เขาสิบหยวน...
บางครั้งยังเห็นธนบัตรหลายร้อยหยวนในกระเป๋าเงินของเขา น่าอิจฉาจริง ๆ จัวเซ่าเลยแย่งอาหารว่างของเด็กอ้วนเอาไปให้น้องสาวกิน
จัวเซ่าคิดถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในตอนนั้น และดวงตาของเขาก็จ้องไปที่ใบหน้าอ้วน ๆ นี้
-----------------------------------------------------------------------
(1) 铁饭碗 ชามข้าวเหล็ก หมายถึง อาชีพที่มั่นคง
(2) กรองเด้ต์ จากวรรณกรรมชื่อดังอย่าง เออเฌนี กรองเด้ต์ เป็นผลงานชื่อดังของนโปเลียนแห่งโลกวรรณกรรม มีนิสัยตระหนี่และเขี้ยวลากดิน