บทที่ 2 พวกเขากลับมาแล้ว
ซีเซี่ยเย่ไม่สนใจใบหน้าถมึงทึงของชายหนุ่มสักนิด แล้วตอบกลับไปอย่างเย็นชา “คุณต้องเป็นคนแปลกๆ ในกองทัพแน่ๆ ถ้าจะให้ดีคุณกลับเข้าไปลาออกซะเถอะ อย่าทำให้ชุดเครื่องแบบต้องเสื่อมเสีย!” หลังจากนั้น เธอก็หยิบเงินประมาณ 200 - 300 หยวนมาวางบนโต๊ะแล้ว ก่อนจะลุกขึ้นเดินออกไปอย่างรวดเร็ว ช่างเป็นผู้ชายสูงส่งซะเหลือเกิน หึ พอกันที!
ปีที่ผ่านมาเธอไปนัดบอดหลายสิบครั้งและแทบทุกวัน บางครั้งต้องไปงานนัดบอดถึงสามครั้งในวันเดียว ทำให้เธอพูดปฏิเสธออกไปได้อย่างง่ายดาย!
ซีเซี่ยเย่ลากสังขารที่เหนื่อยล้ากลับไปอะพาร์ตเมนต์ของตัวเอง
อะพาร์ตเมนต์ของเธอตั้งอยู่ริมแม่น้ำที่เพิ่งซื้อมาปีที่แล้ว ขนาดไม่ใหญ่ไม่เล็ก ประมาณ 90 ตารางเมตรเท่านั้น มีห้องทั้งหมด 2 ห้องนอนและ 1 ห้องนั่งเล่น ถึงแม้ว่าอาจจะแคบไปสักนิดแต่เธออยู่คนเดียวดังนั้นจึงเพียงพอ
ทั้งบ้านใช้สีทองอ่อนเป็นโทนสีหลัก ถูกออกแบบด้วยสไตล์โรมันและโมเดิร์นผสมผสานกันอย่างลงตัว เพราะอย่างนั้นจึงดูหรูหราและมีสไตล์ แต่ถึงอย่างนั้นกลับให้ความรู้สึกอบอุ่นยิ่งขึ้นอย่างบอกไม่ถูก
ซีเซี่ยเย่เทน้ำลงแก้ว จากนั้นก็เดินถือมันไปห้องนั่งเล่นและค่อยๆ นั่งลงบนโซฟา หัวใจที่เคยรู้สึกตึงเครียดของเธอถึงค่อยๆ คลายตัว กวาดสายตามองสำรวจรอบๆ บ้านว่างเปล่า ทันใดนั้นดวงตาของเธอเปล่งประกายขึ้นมา ไม่มีร่องรอยของความเศร้าที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้หลงเหลือแม้แต่น้อย
เธอยกน้ำขึ้นมาจิบและกดเปิดโทรทัศน์ ดูไปได้พักหนึ่งโทรศัพท์ของเธอที่วางบนโต๊ะก็ดังขึ้นมา
ซีเซี่ยเย่หยุดชะงักไปครู่หนึ่ง แล้วหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา เห็นว่าคนที่โทรเข้ามาเป็นใคร ความเศร้าก็ฉายชัดขึ้นมาในดวงตาอีกครั้ง
"ฮัลโหล? คุณตา หนูเองค่ะ”
น้ำเสียงเย็นยะเยือกของเธออบอวลไปด้วยความอบอุ่น
ปลายสายกระแอมออกมาเบาๆ จากนั้นก็ได้ยินเสียงของคนแก่ที่เธอคุ้นเคยแฝงไปด้วยความห่วงใย “เซี่ยเย่ กินข้าวเย็นหรือยัง?”
“อืม หนูกินแล้วค่ะ เพิ่งจะกลับมาถึงบ้านเมื่อกี้นี้ ตอนนี้ดึกมากแล้ว ทำไมตายังไม่นอนคะ?” ขณะถามออกไปซีเซี่ยเย่ก็ลดเสียงโทรทัศน์ลง
“ฮ่าๆ ปกติตาไม่ได้นอนเร็วขนาดนั้นสักหน่อย เพิ่งดื่มชาไป 2 - 3 แก้วเลยนอนไม่หลับ ตามีเรื่องอยากพูดกับหลานด้วย” น้ำเสียงอ่อนล้ายังคงพูดต่อ แต่น้ำเสียงที่เปล่งออกมาครั้งนี้แน่วแน่มากจริงๆ
“ปีนี้สุขภาพของตาไม่ค่อยดีเท่าไหร่ แม่ของหลานก็เอาแต่ทำงาน คนที่ตาเป็นห่วงมากที่สุดคือหลาน ตาเคยบอกหลานว่าจะหาคนที่ดีที่สุดมาให้ แต่ไม่มีใครที่ตาชื่นชอบมากนัก เพราะอย่างนั้นถึงไม่อยากแนะนำใครเพราะคิดว่าพวกเขาไม่เหมาะสม”
เมื่อพูดมาถึงตรงนี้น้ำเสียงแก่ชราของเขาก็หยุดลง จากนั้นก็พูดต่อว่า “แต่วันนี้ตาอยากแนะนำใครบางคนสักหน่อย เขาเป็นคนที่ดีและมีความรับผิดชอบ เพิ่งกลับมาจากนิวยอร์ก เป็นโอกาสให้หลานได้เจอเขา ตาคิดว่าหลานควรไปเจอเขาหน่อย วันเสาร์นี้บ่ายสามครึ่ง ห้องสูทของโรงแรมป่าไม้ไผ่เมเปิ้ล จำไว้ว่าอย่าไปสาย เขาเป็นคนยังไงหลานไปทำความรู้จักเอง ตาคิดว่าหลานกับเขาเหมาะสมกันมาก”
หลังจากเขาพูดจบก็กดวางสายทันที แม้สายจะวางไปแล้ว แต่ซีเซี่ยเย่ไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองแม้แต่น้อย
ซีเซี่ยเย่จ้องมองหน้าจอที่แสงดับลง แล้วหัวเราะออกมาด้วยน้ำเสียงขมขื่นอย่างไม่ทราบสาเหตุ
ตอนนี้แม้แต่ตาก็เริ่มเป็นกังวลเรื่องการแต่งงานของเธออีกคน อย่างนี้เธอจะบอกเขายังไงได้?
เสียงอ่อนโยนของเฉินเหวินน่าดังขึ้นมาในหูของเธออีกครั้ง
เซี่ยเย่ ลูกอายุ 26 แล้วนะ ไม่ใช่ 16...
มันเป็นเช้าวันเสาร์และเป็นวันหยุดสัปดาห์ที่หาได้ยาก ถึงแม้ซีเซี่ยเย่จะไม่ได้ไปทำงานแต่ยังคงตื่นเช้ามาก ตื่นขึ้นมาจัดห้องของตัวเอง กินอาหารเช้าง่ายๆ ก่อนจะออกจากบ้าน
อากาศด้านนอกหนาวเย็นสุดๆ ตอนเธอเดินออกจากบ้านก็เห็นท้องฟ้าที่มืดมน อีกทั้งยังมีหมอกปกคลุมอย่างหนาแน่น เม็ดฝนยังคงตกลงมาปรอยๆ ลมหนาวที่พัดผ่านมากระทบใบหน้าทำให้ทุกคนรู้สึกเจ็บ
ซีเซี่ยเย่เป็นคนที่เก็บตัว นอกจากพูดคุยตามปกติในที่ทำงานก็ไม่พูดคุยกับใครอีกเลย ปกติเธอมักจะอ่านหนังสือไม่ก็ดื่มชาและฟังเพลงเวลาว่างๆ
เธอเป็นคนชอบดื่มชามาก จึงเปิดร้านน้ำชาชื่อ โรงน้ำชาไม้ไผ่ ในสถานที่ที่เงียบสงบทางตอนเหนือของเมืองที่จอแจแห่งนี้
เธอทำหน้าที่เป็นผู้อยู่เบื้องหลังได้อย่างดีเยี่ยม คนที่ทำหน้าที่เป็นเจ้าของร้านแทนคือชายวัยกลางคนที่มีความรู้ด้านวัฒนธรรมและความประณีตอย่างหลินเสียนหยู่ เคยได้ยินมาว่าเขาเคยเป็นอาจารย์สอนในมหาวิทยาลัย ขณะเดียวกันยังเป็นนักวิจัยอารยธรรมโบราณของจีน เชี่ยวชาญศิลปะการชงชาและเครื่องดนตรีของประเทศเป็นอย่างดี
ตอนที่ซีเซี่ยเย่เปิดโรงน้ำชาแรกๆ เขามักจะมาดื่มชาและเล่นหมากรุกที่ร้านแทบทุกวัน จากนั้นทั้งสองก็มีโอกาสพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน เพราะอย่างนั้นซีเซี่ยเย่จึงปล่อยให้เขาดูแลโรงน้ำชาของเธอ
โรงน้ำชาแห่งนี้แทบจะซ่อนตัวในป่าไม้ไผ่ขนาดใหญ่ ขนาดไม่ได้ใหญ่โตมากเท่าไหร่นัก เนื้อที่แค่ 400 ตารางฟุตมีทั้งหมดสองชั้น การตกแต่งภายในทั้งหมดมีเสน่ห์แบบโบราณราวภาพวาดที่วาดด้วยน้ำหมึก
ขณะที่ซีเซี่ยเย่เดินเข้าไปในโรงน้ำชาไม้ไผ่พร้อมหนังสือกองโตที่เพิ่งซื้อมาจากร้านหนังสือ ก็ได้ยินเสียงของกู่ฉินลอยเข้ามาในหูของเธออย่างชัดเจน ธุรกิจของที่นี่มักจะกระเตื้องในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์
“คุณซี มาแล้วเหรอ!”
พนักงานเสิร์ฟทุกคนในโรงน้ำชาแห่งนี้รู้จักซีเซี่ยเย่เป็นอย่างดี เพราะเธอมักจะมาที่นี่เกือบทุกสุดสัปดาห์ แต่มีไม่กี่คนเท่านั้นที่รู้ว่าเจ้าของโรงน้ำชาตัวจริงคือหญิงสาวที่ยังเด็กและสวยมากคนนี้ พวกเขาคิดมาตลอดว่า เธอเป็นเพียงลูกศิษย์และเพื่อนสนิทของศาสตราจารย์หลิน
ซีเซี่ยเย่พยักหน้าตอบรับ ก่อนจะเดินไปจัดหนังสือที่นำติดตัวมาด้วยบนชั้นจนเต็ม พนักงานรีบเดินมาเสิร์ฟชาเหมาเจี้ยนที่เธอดื่มเป็นประจำ ซีเซี่ยเย่ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก จากนั้นจึงนั่งลงหยิบชาขึ้นมาจิบ แล้วจู่ๆ เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น
ซีเซี่ยเย่หยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดรับสายโดยที่ไม่ดูชื่อของคนที่โทรเข้ามา ไม่นานนักเสียงของเพื่อนสนิทเธอก็ดังมาจากปลายสาย ซูหนานพูดออกมาเสียงหวานว่า “เซี่ยเย่ นี่ฉันเองนะ! ฉันมาถึงเมือง X แล้ว ขอบอกว่าเวลาไม่ถึงแปดชั่วโมงเธอจะได้เจอสาวน้อยซูหนานที่คิดถึงตลอดทั้งวันทั้งคืนแล้ว!”
ซีเซี่ยเย่ก้มหน้าลงไปจิบชา รอยยิ้มผุดขึ้นมาบนใบหน้าที่สวยงามของเธอ พูดออกไปเบาๆ ว่า “สาวน้อยซูหนาน เราไม่ได้เจอกันแค่สองสามวัน แต่ความหลงตัวเองของเธอเพิ่มขึ้นเยอะเลย”
จู่ๆ ปลายสายก็ส่งเสียงหัวเราะออกมา หลังจากซูหนานหัวเราะก็นิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง ด้านซีเซี่ยเย่เงียบไปเช่นกัน ไม่นานนักน้ำเสียงลังเลของซูหนานถึงดังขึ้น “เซี่ยเย่...”
น้ำเสียงของซูหนานจริงจังขึ้นมาเล็กน้อย มาพร้อมความขมขื่นราวว่าหล่อนทนไม่ได้
"หืม?"
ซีเซียเย่วางถ้วยน้ำชาในมือลง แล้วหยิบหนังสือศิลปะจัดดอกไม้ขึ้นมาอ่านอย่างตั้งใจ ได้ยินเสียงของซูหนานเบาลงจึงถามออกไป “มีอะไรเหรอ?”
ปลายสายสูดหายใจเข้าลึกๆ เหมือนกำลังคิดอะไรบางอย่าง ก่อนจะพูดออกมาเสียงเบา “เมื่อกี้ฉันเพิ่งเจอฮานอี้เฟิง... กับซีซินอี้... พวกเขาขึ้นเครื่องบินไฟท์เดียวกับฉัน...”
“พวกเขากลับมาแล้ว เซี่ยเย่…”
ทันทีที่เสียงของซูหนานจบลง สีหน้าของซีเซี่ยเย่พลันว่างเปล่า มือทั้งสองแข็งทื่อ มือที่ถือโทรศัพท์ก็รัดแน่นโดยไม่รู้ตัว
น้ำเสียงที่เบาลงของซูหนานยังคงก้องในหูของเธอ
เมื่อกี้ฉันเพิ่งเจอฮานอี้เฟิง... กับซีซินอี้... พวกเขาขึ้นเครื่องบินไฟลท์เดียวกับฉัน...