บทที่ 10 อยู่ร่วมกัน (2)
สาวใช้หมุนกายหันหลังกลับไป ประคองที่แขนของหญิงสาว กล่าวว่า “ฮูหยิน พวกเราเข้าไปนั่งกันเถิด นี่เป็นเมฆฝน คงตกไม่นานนักเจ้าค่ะ”
สตรีผู้นั้นพยักหน้า น้ำเสียงนุ่มนวลอ่อนโยน “ตกลง วัตถุดิบยาที่พวกเรานำมาด้วยไม่เปียกใช่หรือไม่?”
สาวใช้ยิ้มตอบ “ฮูหยินวางใจได้ ข้าดูแลรักษาเป็นอย่างดี”
พวกนางขยับกายเล็กน้อย ผู้คนจึงค้นพบว่าหญิงสาวผู้นั้นเดินกะเผลก ราวกับว่าเท้าของนางเคล็ดเสียแล้ว
คิ้วของสาวรับใช้ขมวดเข้าหากัน “ฮูหยิน ยังเจ็บอยู่มากหรือไม่เจ้าคะ?หรือว่า จะให้ทาสแบกขึ้นเกี้ยวเจ้าคะ?”
หญิงสาวคลี่ยิ้มเล็กน้อยก่อนส่ายหน้า “ไม่ต้องแล้ว ข้าเดินเองได้ ที่นี่ห่างจากบ้านไม่ไกลนัก”
ที่นั่งในโรงน้ำชาล้วนเต็มหมดแล้ว สาวรับใช้มองไปรอบๆ เดินไปหยุดที่ด้านหน้าของเสิ่นอี้ ยอบกายทำความเคารพ กล่าวด้วยเสียงเบา “เสียมารยาทรบกวนท่านแล้ว สะดวกให้ข้ายืมเก้าอี้สักตัวหรือไม่?”
เสิ่นอี้เงยหน้าขึ้นมองไปยังพวกนางเล็กน้อย มือขวาผายไป ทำท่าทางว่า ‘เชิญ’
สาวรับใช้ประคองหญิงสาวให้นั่งลงอย่างยินดี หญิงสาวยิ้มให้แก่เสิ่นอี้ กล่าวอย่างอ่อนโยน “ขอบคุณท่านนักพรต รบกวนแล้ว”
เสิ่นอี้ดื่มชาด้วยท่าทางสบายๆ เอ่ยตอบเสียงเบา “ไม่เป็นปัญหา”
เขาเงยหน้ามองไปยังเจียงหย่วนฉิน เจียงหย่วนฉิ่นเข้าใจในทันที หยิบขวดยาสีฟ้าออกมาจากถุงผ้าของเขาวางที่ด้านหน้าของพวกนาง เอ่ยเสียงอ่อนโยน “พวกท่านทั้งสองหยุดก่อน นี่คือยาเหล้าชั้นดีที่ทำเองจากสำนักชิงซิน มีประสิทธิภาพในการรักษารอยฟอกช้ำได้เป็นอย่างดี”
ทั้งสองรู้สึกประทับใจ เกรงใจอยู่ชั่วครู่จึงรับไป
ฝนยิ่งตกหนักขึ้นเรื่อยๆ หญิงสาวมองไปด้านนอกด้วยสายตาเศร้าสร้อยอยู่ครู่ใหญ่ ลังเลเล็กน้อย กล่าวกับเสิ่นอี้ “ดูจากใบหน้าของท่านนักพรตทั้งหลายแล้ว นี่เป็นครั้งแรกที่มาเมืองตานเฟิงของพวกเราใช่หรือไม่?”
เสิ่นอี้ไม่กล่าวอะไร เจียงหย่วนฉินยิ้มแล้วเอ่ยตอบ “ใช่แล้ว พวกเราผ่านที่นี่ จึงได้หยุดพักเท้าที่นี่”
หญิงสาวพยักหน้า เอ่ยตอบด้วยรอยยิ้ม “ถ้าอย่างนั้นพวกท่านหาที่พักได้หรือยังเล่า?”
เจียงหย่วนฉิน “ยังไม่ได้ เพิ่งจะถึงเมืองฝนก็ตกลงแล้ว พวกเราคิดว่าจะรอให้ฝนหยุดตกแล้วจึงค่อยหาโรงเตี๊ยมต่อไป”
สาวรับใช้ป้องปากหัวเราะเสียงเบา เอ่ยแทรก “ท่านนักพรตคงไม่รู้ ว่าพวกเราที่นี่ สถานที่ห่างไกล ผู้คนสัญจรผ่านไปมาเพียงไม่กี่คน ผู้คนเมืองต่างก็รู้สึกว่าการค้าขายที่นี่นั้นลำบาก จึงย้ายออกไปจำนวนมาก โรงเตี๊ยมหนึ่งเดียวของที่นี่ก็เพิ่งปิดตัวลงไปเมื่อสองเดือนก่อน!”
เจียงหย่วนฉินขมวดคิ้วแล้ว “นี่มัน...”
หญิงสาวเอ่ยด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล “หากว่าท่านนักพรตไม่รังเกียจ ไม่สู้พักที่บ้านของข้าชั่วคราว แม่สามีของข้าเลื่อมใสพวกท่านยิ่งนัก หากสามารถเชิญชวนพากท่านมาเป็นแขกได้ แม่สามีของข้าต้องดีใจมากเป็นแน่ อีกอย่างระยะนี้เมืองไม่ค่อยสงบสุข ผู้คนจำนวนมากเสียชีวิตอย่างไร้สาเหตุ หากมีพวกท่านนักพรต พวกเราจึงจะสามารถวางใจได้สักหน่อย”
เสิ่นอี้ไม่ได้พูดอะไร เจียงหย่วนฉินย่อมไม่กล้ารับปาก
โรงน้ำชาเงียบลงไปครู่ใหญ่ หลินเจี้ยนจึงอดไม่ได้ที่จะกล่าวขึ้น “เสวียนเยวี่ยจวิน ท่านคิดว่า...ในเมื่อแม่นางทั้งสองมีน้ำใจต้อนรับเช่นนี้ เหตุใดพวกเราจึงไม่หยุดพักที่บ้านของนางกันเล่า ในเมืองนี้ก็ไม่มีโรงเตี๊ยม เห็นว่าจะเป็นเหมันตฤดูแล้ว ยามค่ำอากาศหนาวเหน็บ ไม่อาจให้บรรดาศิษย์ทั้งหลายนอนอยู่บนภูเขากระมัง?”
เขาพูดอย่างเร่งรีบและรวดเร็ว ราวกับพ่นถั่วอย่างไรอย่างนั้น เสิ่นอี้เลิกคิ้ว กล่าว “หนวกหู”
หลินเจี้ยนชะงักค้าง ใบหน้าของเขาแดงก่ำ
มู่ฉางถิงเห็นเขาเสียหน้าเช่นนั้นก็ดีใจจนเนื้อเต้น กลั้นรอยยิ้มจนเจ็บปวดไปหมด
เจียงหย่วนฉินเอ่ยด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล “อาจารย์หลินอย่าได้เป็นกังวลไป เสวียนเยวี่ยจวินจะตัดสินใจด้วยตนเอง”
เสิ่นอี้มองหญิงสาวอย่างเงียบๆ อยู่สักพัก กล่าว “เมื่อครู่เจ้ากล่าวว่ามีคนมากมายเสียชีวิต เพราะเหตุใด?”
หญิงสาวหลุบตาลงต่ำเอ่ยเสียงเบา “นี่ข้าไม่ทราบแล้ว ข้าเองก็ฟังมาจากคนในเมือง”
เจียงหย่วนฉินยืดกายขึ้นคำนับสตรีผู้นั้น “ขอบคุณแม่นางที่มีน้ำใจ เช่นนี้ พวกเราทุกคนคงต้องรบกวนแล้ว”
หญิงสาวยิ้มออกมาเล็ก กล่าวด้วยเสียงอ่อนหวาน “ท่านนักพรตเกรงใจแล้ว”
หลังจากผ่านเหตุการณ์นั้นแล้ว พวกเขาจึงอาศัยอยู่ที่ ‘จวนฟ่าน’ ตั้งแต่วันนั้น
สามีของหญิงสาวผู้นั้นร่างกายอ่อนแอ แม้ว่าจะรูปงามและหล่อเหลา แต่กลับทำให้คนรู้สึกถึงความอ่อนแอได้สายหนึ่ง
ได้ยินมาว่าต้นตระกูลของสกุลฟ่านนั้นทำมาค้าขายในเมืองหลวงมาโดยตลอด แต่เมื่อกิจการเปลี่ยนมือมาอยู่ในมือของพวกเขาแล้ว ลูกหลานไม่สามารถสืบทอดได้ตามที่คาดหวัง ไม่มีพรสวรรค์ด้านการค้าขาย เป็นสาเหตุทำให้พวกเขาล้มเหลว และถอนบ้านย้ายเรือนออกมายังเมืองตานเฟิงที่ห่างไกล
แต่อูฐที่ผอมก็ยังแข็งแรงกว่าม้า สกุลฟ่านในปัจจุบันก็ถือว่าเป็นครอบครัวใหญ่ในเมือง
รวมกับอาจารย์ทั้งสามและเสิ่นอวี้แล้ว พวกเขามีทั้งหมดสิบหกคน
จวนตระกูลฟ่านนั้นไม่ได้ต้อนรับแขกมาเป็นเวลานานแล้ว ห้องพักขาดแคลน จึงทำได้เพียงจัดให้คนสองคนอยู่อาศัยด้วยกัน แต่การได้รับการต้อนรับเช่นนี้ พวกเขาคิดว่าก็ดีมากแล้ว ในสำนักชิงซินรู้ดี ว่าศิษย์ขั้นล่างมักจะนอนอยู่ในฟูกสองชั้น เมื่อได้ยินว่าสามารถปันห้องแบ่งเป็นหนึ่งห้องสองคนได้ คนทั้งหมดล้วนแต่ดีใจสุดขีด
เมื่อช่วงเวลาแบ่งห้องมาถึง สายตาของหลินเจี้ยนก็พุ่งตรงไปยังบุคคลที่รูปร่างสูงเพรียว เด็กหนุ่มที่มีใบหน้าเย็นชาสูงส่ง
ครั้งก่อนถูกเจ้าสัตว์ตัวน้อยรบกวน ครั้งนี้กลับเป็นโอกาส หลินเจี้ยนหรี่ตาลงเล็กน้อย กล่าวกับเจียงหย่วนฉิน “ศิษย์พี่เจียง อย่างนี้แล้วกัน ให้เสวียนเยวี่ยจวินหนึ่งห้อง ข้าและศิษย์ของข้าร่วมกันหนึ่งห้อง...”ขณะที่กล่าว ก็ตั้งใจจะดึงรั้งกางเกงของสิงอวี้เซิง แต่ก่อนที่มือจะได้สัมผัสสิงอวี้เซิง ก็ถูกมู่ฉางถิงดันออกไปด้วยรอยยิ้มแล้ว
มู่ฉางถิงกล่าวอย่างเชื่อฟัง “ท่านอาจารย์ทั้งสอง ข้ามีปัญหาเรื่องการหลับนอนเป็นอย่างมาก กรนและละเมอเตะคนเป็นเรื่องปกติ มีเพียงเขาที่ไม่ถือข้า ข้าอยากอยู่ห้องเดียวกับเขา ไม่รู้ว่าจะได้หรือไม่?”
สิงอวี้เซิงเงยหน้าขึ้นอย่างกะทันหัน สายตามองไปยังมู่ฉางถิงด้วยประกายลุกโชน แม้กระทั่งสีหน้าโกรธขึ้งจนดำมืดของหลินเจี้ยนก็ไม่สนใจ
เจียงหย่วนฉินทราบปัญหาของหลินเจี้ยนมาไม่น้อย ดังนั้นจึงพยักหน้าและกล่าว “ย่อมได้” และจึงกล่าวกับหลินเจี้ยน “ศิษย์น้องหลิน เจ้าสามารถอยู่ร่วมห้องกับเสวียนเยวี่ยจวินได้ แต่ไหนแต่ไรเขาไม่เคยใส่ใจเรื่องแบบนี้”
หลินเจี้ยนยังจะโต้แย้ง เจียงหย่วนฉินหมุนกายแล้วกล่าว “ไปเถิด”
หลินเจี้ยนจ้องมองไปยังมู่ฉางถิงด้วยสายตามาดร้าย จากนั้นจึงสะบัดเสื้ออย่างไม่พอใจเดินออกไป