ตอนที่ 4 ปิ่นปักผมต้านไฟ
ตลาดในเมืองเล็ก ๆ เป็นสถานที่สำหรับปี ผู้ฝึกตนระดับต่ำในการแลกเปลี่ยนของจากภารกิจในการฝึกฝน โดยมีสินค้าหลากหลายประเภท จำพวกยา คัมภีร์ยุทธ และวัตถุวิญญาณ ให้แลกซื้อ แม้ว่าส่วนใหญ่จะมีคุณภาพต่ำก็ตาม
เมื่อใกล้สิ้นปี ผู้ฝึกตนหลายคนต่างยุ่งอยู่ในตลาดเมืองเล็ก ๆ เช่นนี้ ทำให้ที่นี่มีผู้คนหนาตา เสียงดังอึกทึกครึกโครมเต็มไปหมด
โม่ฮวามุ่งตรงไปยังแผงขายของเล็ก ๆ ที่ปลายถนน เถ้าแก่ของร้านมีนามว่าซุน ใคร ๆ ต่างเรียกเขาว่า ลุงซุน ลูกชายเขาเป็นผู้จัดการในอาคารหมื่นทรัพย์ บางครั้งลูกชายของเขาจะได้รับสินค้าที่มีตำหนิมาจากอาคารหมื่นทรัพย์ และนำมาให้ลุงซุนขายในราคาถูกที่ตลาดแห่งนี้
ลุงซุนกำลังยุ่งอยู่กับการขายของ เมื่อเขาเงยหน้าขึ้นก็พบกับโม่ฮวาที่วิ่งมาด้วยลมหายใจหอบ หัวใจของเขาเต้นแรง ใบหน้าขาวนวลของโม่ฮวาแดงก่ำ เขาจึงไม่สามารถต้านทานการหยอกล้อได้
“เจ้าหนู วันนี้มาดูวัตถุวิญญาณอีกแล้วรึ คงไม่เหมือนวันก่อนที่แค่ดู แต่ไม่ซื้อหรอกนะ ใช่ไหม...?”
โม่ฮวาโบกมือเล็ก ๆ เป็นพัลวัน แล้วตอบว่า “ซื้อ!”
ลุงซุนถามด้วยความแปลกใจ “ใกล้ปีใหม่แล้วไม่ใช่เหรอ ครอบครัวของเจ้าให้เงินปีใหม่ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน”
โม่ฮวาพูดด้วยสีหน้าไม่พอใจ “เงินปีใหม่อะไรกัน นี่คือสิ่งที่ข้าหามาเอง” เขาเริ่มตบกระเป๋าที่เอวของเขา
เมื่อได้ยินเสียงกรุ๊งกริ๊งของศิลาวิญญาณในกระเป๋า ลุงซุนรู้สึกดีใจขึ้นมาและรีบพูดว่า
“ยามนี้มีทั้งยา คัมภีร์ และวัตถุวิญญาณคุณภาพสูง ราคาถูก ๆ ไม่หลอกลวงแน่นอน ของทุกอย่างมาจากอาคารหมื่นทรัพย์ สหายตัวน้อยเจ้าอยากได้สิ่งใด”
หากมันเป็นของที่มีคุณภาพจริง ๆ อาคารหมื่นทรัพย์ก็คงจะขายเองไปแล้ว ไม่ต้องมาขายถึงตลาดเมืองเล็ก ๆ เช่นนี้ ทว่าโม่ฮวาไม่สนใจ เขาไม่สามารถซื้อสินค้าจากอาคารหมื่นทรัพย์ได้อยู่ดี
“มีวัตถุวิญญาณที่ทนไฟหรือไม่”
ลุงซุนมีท่าที “รู้แล้ว” และหยิบถุงกระสอบออกมา เขาคลี่มันออกตรงหน้าโม่ฮวา
“ก่อนหน้านี้เจ้าเคยพูดถึง ข้าจึงไปหามาให้เจ้าโดยเฉพาะ มีของดี ๆ หลายชิ้น มันเป็นวัตถุวิญญาณที่ทนไฟเกรดสูง พกพาง่าย รูปทรงสวยงาม คิดว่าไงล่ะ”
โม่ฮวามองลุงซุนด้วยความประหลาดใจ สมแล้วที่มีชื่อเสียงในวงการการค้าของตลาดเมืองนี้ เขาเตรียมพร้อมมาอย่างดีเมื่อมีโอกาสค้าขาย
วัตถุวิญญาณที่เรียงรายอยู่ตรงหน้าของโม่ฮวามีหลากหลายประเภท ตั้งแต่แหวน จีหยก โคมไฟ ไปจนถึงตาข่ายและผ้าพันคอ... หากมองเพียงรูปลักษณ์ พวกมันเป็นชุดที่ครบถ้วนที่สุดในตลาดของเมืองนี้ก็ว่าได้
โม่ฮวาตรวจสอบอย่างละเอียดก่อนจะหยิบปิ่นปักผมทรงโบราณที่งดงามขึ้นมา สอบถามว่า “ปิ่นปักผมนี้อะไร”
ลุงซุนอธิบายว่า “นี่คือปิ่นปักผมต้านไฟ เป็นอาวุธวิญญาณที่จัดได้ว่ามีคุณสมบัติที่ดี เห็นไหมล่ะมีการสลักรูปแบบทนไฟระดับต้นไว้ ใช้ศิลาวิญญาณในการเพิ่มพลังให้มัน หลังจากที่เพิ่มกำลังแล้ว คุณสมบัติป้องกันไฟจะทำให้ผู้สวมใส่เย็นสบาย แม้จะใช้ศิลาวิญญาณ แต่ใช้เพียงก้อนเดียวก็สามารถคงความสามารถไว้ได้ถึงสามเดือน ถือว่าคุ้มค่าเชียวนะ..”
โม่ฮวาแสดงความสงสัย “อาวุธวิญญาณมาตรฐานจากอาคารหมื่นทรัพย์ ถูกนำมาขายในที่แห่งนี้ย่อมมีข้อบกพร่องใช้หรือไม่”
ลุงซุนหัวเราะ “เจ้าพูดถูก รู้ดีไม่น้อยเลยนี่ ข้าไม่โกหกเจ้า หากไม่มีข้อบกพร่องก็คงถูกขายในอาคารหมื่นทรัพย์ในราคาอย่างน้อยสองเท่า แต่ข้อบกพร่องไม่ได้หมายความว่ามันไร้ค่าเสียเมื่อไหร่..”
ลุงซุนชี้ไปที่ลายดอกไม้บนที่ปิ่นปักผม “ตอนที่ช่างสร้างวัตถุสลักลายชิ้นนี้ เขาได้วาดเส้นเพียงบางส่วน จึงทำให้ผิดจากมาตรฐาน ปิ่นปักผมชิ้นนี้จึงถูกจัดให้เป็นของมีตำหนิ ทว่ารูปแบบภายในยังคงสมบูรณ์และใช้งานได้เช่นเดิม”
โม่ฮวาพยักหน้า รู้สึกว่านี่คือปิ่นปักผมที่เหมาะสมที่สุด จึงถามว่า “ราคาเท่าไหร่?”
ลุงซุนลูบเคราของเขา “ราคาเพียงสิบห้าศิลาวิญญาณเท่านั้น”
โม่ฮวาส่ายหน้า “ห้า!”
ลุงซุนเบิกตากว้าง “ใครสั่งใครสอนให้เจ้าต่อรองเช่นนี้”
โม่ฮวารู้สึกเขินอายเล็กน้อย “ข้าได้ยินมาจากร้านอื่น พวกเขาต่อรองกันแบบนี้”
ลุงซุนถอนหายใจ “ไร้จริยธรรมสิ้นดี แม้แต่เด็กดี ๆ ก็ยังถูกทำลาย” เขายังคงพูดต่อ “สิบสี่ศิลาวิญญาณ ลดไม่ได้อีกแล้ว”
โม่ฮวายกจำนวนขึ้นเล็กน้อย “หกล่ะเป็นไง”
หลังจากต่อรองราคากันไปมา ในที่สุดราคาก็ถูกตั้งไว้ที่สิบศิลาวิญญาณ
ลุงซุนรู้สึกว่าเขาไม่สามารถลดได้อีกแม้แต่ศิลาเดียว ในขณะที่โม่ฮวาก็สอบถามราคามาจากร้านอื่นก่อนหน้าแล้ว และไม่มีร้านไหนขายถูกกว่านี้ เขาจึงตกลงซื้อในราคาสิบศิลาวิญญาณ
ลุงซุนรับศิลาวิญญาณจากโม่ฮวา ห่อสินค้าในกล่องกระดาษราคาถูกแต่มีลวดลายสวยงาม แล้วส่งให้โม่ฮวา พร้อมกับพึมพำว่า “หากหลานชายของข้าลาดได้ครึ่งหนึ่งของเจ้า ข้าคงให้เขาช่วยขายของที่ร้านได้ น่าเสียดาย หลานชายคนนี้หัวช้า แม้แต่จะพูดกับคนแปลกหน้ายังไม่กล้า”
โม่ฮวาพอใจกับการซื้อของเขา เขาโบกมือลาลุงซุนแล้วเดินจากไปอย่างมีชีวิตชีวา
พ่อค้าจากร้านข้าง ๆ หัวเราะ “ลุงซุน ดูเหมือนว่าครั้งนี้ลุงจะขาดทุนนะ”
ลุงซุนลูบเคราของเขา “ไม่ถึงกับขาดทุนหรอก แต่ได้กำไรไม่มากก็เท่านั้นเอง”
พ่อค้ารู้สึกสนใจ “สิบศิลาวิญญาณไม่ใช่จำนวนน้อย ๆ ข้าล่ะสงสัยว่าเด็กนั่นซื้อปิ่นปักผมไปให้ใครกัน”
“ปิ่นปักผมกันไฟ ใช้สำหรับปกป้องความร้อนจากเตา ใครจะซื้อถ้าไม่ใช่ให้ตัวเอง”
ลุงซุนมองดูโม่ฮวาที่ค่อย ๆ หายไปในระยะไกล แล้วถอนหายใจเบา ๆ “เขาเป็นเด็กดี!”
บ้านของโม่ฮวาตั้งอยู่ในซอยเงียบสงบที่ริมเมืองถงเซียน เป็นบ้านเก่าที่ไม่ใหญ่โต เพียงพอสำหรับครอบครัวสามคน เพื่อนบ้านล้วนเป็นผู้ฝึกตนไร้สังกัดที่ทำมาหากินด้วยงานประจำ แม้จะไม่ร่ำรวย แต่ก็มีให้ความรู้สึกเป็นบ้านที่มั่นคงและอบอุ่น
เมื่อพลบค่ำ กลุ่มควันจากการทำอาหารลอยขึ้นมาจากบ้านแต่ละหลัง และไฟสีเหลืองนวลก็ค่อย ๆ ส่องแสง
โม่ฮวาวิ่งเข้าบ้าน ร้องเรียก “แม่ ข้ากลับมาแล้ว”
หญิงสาวแต่งกายเรียบง่าย รูปลักษณ์อ่อนโยน เดินออกมาจากห้องด้านใน เมื่อเห็นโม่ฮวา ดวงตาของนางก็เปล่งประกายไปด้วยความสุข และไม่สามารถห้ามใจให้ดึงเขาเข้ามาเพื่อลูบศีรษะพร้อมกับบีบแก้ม ก่อนจะกล่าวว่า “ทำไมผอมลงขนาดนี้ ฝึกหนักหรืออย่างไร?”
โม่ฮวาตอบว่า “ข้าไม่ได้ผอมลงนะ” แล้วเขาก็นำกล่องออกมา “แม่ นี่ของขวัญให้ท่าน”
หญิงสาวรู้สึกอึ้งไปชั่วขณะ จากนั้นจึงรับกล่องและเปิดดู พบว่าข้างในเป็นปิ่นปักผม
“นี่คือปิ่นปักผมกันไฟ แม่ทำงานในครัวมานาน ความร้อนไม่ดีต่อสุขภาพ ปิ่นปักผมนี้จะป้องกันความร้อน ทำให้ท่านรู้สึกเย็นขึ้น”
หญิงสาวชื่อหลิวหรูฮวา เป็นแม่ของโม่ฮวา นางเป็นผู้ฝึกตนไร้สังกัด ณ เมืองถงเซียน
ชีวิตของผู้ฝึกหัดนั้นยากลำบากอยู่แล้ว งานที่ดี ๆ ที่สามารถทำให้ได้ศิลาวิญญาณนั้นมีน้อย หากมีลูกแล้ว การเลี้ยงดูยิ่งเป็นเรื่องยาก ทั้งค่าอาหาร เสื้อผ้า การเข้าเรียนในสำนัก และของใช้ที่จำเป็นสำหรับการฝึกล้วนเป็นค่าใช้จ่ายที่สำคัญสำหรับผู้ฝึกหัดทั่วไป
หลิวหรูฮวามีฝีมือในการทำอาหารและช่วยงานในครัวของร้านอาหารเล็ก ๆ ในเมือง
ร้านอาหารที่ใหญ่ที่ใหญ่กว่าจะใช้เตาที่ปรับแต่งโดยผู้สร้างวัตถุวิญญาณ ซึ่งจะใช้ศิลาวิญญาณในการแปลงพลังจิตวิญญาณให้เป็นไฟ
สำหรับร้านอาหารเล็ก ๆ ที่พยายามประหยัดต้นทุนจึงไม่ใช้ศิลาวิญญาณเป็นเชื้อเพลิง แต่จะให้ผู้ฝึกต้นที่มีรากวิญญาณไฟใช้พลังวิญญาณเพื่อสร้างไฟที่จำเป็นสำหรับการปรุงอาหาร เมื่อเวลาผ่านไป ร่างกายของพวกเขาจะต้องทนทุกข์ทรมานจากความร้อนที่เข้ามา เส้นลมปราณจะแห้งเหือด และพวกเขาจะมีอาการปวดปอดและไอแห้ง
เมื่อหลิวหรูฮวาช่วยงานในครัว ท่านต้องใช้พลังวิญญาณของท่านสำหรับเป็นเชื้อไฟในบางครั้ง ด้วยเงินเดือนประมาณสามสิบศิลาวิญญาณต่อเดือน แม้ว่าจะทำร้ายสุขภาพของท่าน แต่นี่ถือเป็นงานที่ดีสำหรับผู้ฝึกตนที่หลายคนใฝ่ฝันที่จะทำแต่ไม่มีโอกาส
หลิวหรูฮวามองไปที่ปิ่นปักผมทนไฟในมือของท่านแล้วเม้มริมฝีปากโดยไม่พูดอะไร
โม่ฮวารีบพูด “ศิลาวิญญาณที่ข้าใช้ซื้อปิ่นได้มาจากการช่วยเหลือสหาย ข้าไม่ได้หลอกลวงหรือขโม่ยมันมานะ”
หลิวหรูฮวาอดไม่ได้ที่จะยิ้ม ท่านรู้สึกถึงความอบอุ่นและเปรี้ยวเล็กน้อยในใจของท่าน “ข้าจะรับปิ่นนี้ได้เช่นไร เจ้ายังเด็ก ยังต้องใช้ศิลาวิญญาณในการฝึกฝนในอนาคตอีกมาก เราควรเก็บออมไว้สิ ข้าดูแลตัวเองได้ เจ้าไม่ต้องกังวล..”
โม่ฮวาพูดอย่างมั่นใจ “เรื่องในอนาคตไว้คุยกันทีหลังเถอะ ใครจะรู้ ข้าอาจกลายเป็นผู้ฝึกตนผู้ยิ่งใหญ่ที่มีแกนทองคำและวิญญาณที่เกิดใหม่ ถึงตอนนั้นไม่ว่าศิลาวิญญาณมากแค่ไหนพวกเราก็มีเท่าที่เราต้องการ”
หลิวหรูฮวาหัวเราะออกมาดัง ๆ พลางแตะหน้าผากของโม่ฮวาด้วยนิ้วของท่าน “เจ้ายังเด็ก คิดอวดอ้างเสียแล้วหรือ”
“ท่านแม่ รับไว้เถอะ ข้าต่อรองมาเกือบครึ่งวันกว่าจะซื้อมาได้ ถ้าท่านไม่ต้องการ ข้าคงเสียเวลาเปล่าใช่หรือไม่”
หลังจากพูดจบ โม่ฮวาก็หยิบปิ่นปักผมมาปักไว้ที่ผมของหลิวหรูฮวา จากนั้นก็รีบวิ่งเข้าไปในบ้านเพื่อหยิบคันฉ่องออกมา
“ดูสิ งามหรือไม่”
เมื่อเห็นภาพสะท้อนของหญิงสาวในคันฉ่องที่ประดับด้วยปิ่นปักผมเรียบง่ายทว่าสง่างาม ดูมีความน่าเคารพและงดงาม เมื่อมองไปที่ดวงตาที่เปล่งประกายของลูกชายที่เต็มไปด้วยความกระตือรือร้น หัวใจของหลิวหรูฮวาก็อ่อนลง ท่านจึงพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “แม่จะเก็บปิ่นนี้ไว้ แต่ต่อไปจะไม่รับของขวัญอะไรอีกแล้ว”
“อืม อืม” โม่ฮวาตอบรับ “ท่านแม่ มื้อเย็นเสร็จหรือยัง ข้าหิวแล้ว”
“เสร็จแล้ว ของโปรดเจ้าทั้งนั้น กินให้หมดด้วยล่ะ”
หลิวหรูฮวาเป็นแม่ครัวฝีมือดี แม้ว่าท่านจะทำแค่จานผักง่าย ๆ ที่ไม่มีพลังจิตวิญญาณ แต่รสชาติกลับละเอียดอ่อนและอร่อยมาก หลังจากที่รับประทานอาหารและสนทนากับแม่ โม่ฮวาก็กลับเข้าห้องเพื่ออ่านหนังสือ
ตั้งแต่ยามโหย่ว โม่ฮวาก็เข้าสู่มหาทะเลจิตสำนึกของเขา และฝึกฝนลวดลายอาคมตลอดทั้งคืน เมื่อลืมตาตื่นขึ้นมาก็พบว่าเป็นยามเหม่าแล้ว
โม่ฮวาหลับตาและนั่งสมาธิ โดยถือศิลาวิญญาณในมือเพื่อฝึกฝนตามปกติ
เมื่อเขาลืมตาขึ้นอีกครั้ง วันนั้นก็เริ่มสว่างขึ้น และแสงแดดสดใสก็สาดส่องเข้ามาในห้อง โม่ฮวายืดตัวอย่างสบาย ๆ เตรียมลุกขึ้น แต่แล้วเขาได้ยินเสียงฝีเท้าหนักดังมาจากข้างนอก
โม่ฮวาพลิกตัวไปและมองผ่านรอยแตกที่ประตู เห็นชายคนหนึ่งที่มีคราบเลือดเปรอะเปื้อนและดูอ่อนแรงเข้ามาในบ้าน นั่นคือพ่อของเขา โม่ซาน
....