ตอนที่ 108 เรื่องเล่าของคุณลุง
การปิดคดี “คนไม่มีหน้า” และ “ผีกุมาร” ทำให้ผู้ชมในห้องถ่ายทอดสดรู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงบางอย่าง
หลังจากที่ในห้องถ่ายทอดสดมีคนให้รางวัลมากมาย ก็มีผู้ชมคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า
“ผู้ดำเนินรายการ ดูเหมือนว่า 2 เหตุการณ์นี้จะแตกต่างจากเหตุการณ์เดิม ถึงแม้ว่าอู๋เมี่ยนกับถันโจวจะเป็นคน 2 คนที่ต่างกันสุดขั้ว แต่พวกเขาก็ดูทรงพลัง ดุร้ายกว่าผีที่เราเคยเจอ”
เจียงเย่มองดูข้อความของเขา ก็คิดว่ามันเป็นแบบนั้นจริงๆ ก็เลยพยักหน้า "โลกนี้มันช่างบังเอิญ”
"ฮ่าฮ่า ผมเชื่อในกลยุทธ์ของคุณ ผมอยากจะรู้เรื่องของผี แต่ดูเหมือนว่าจะไม่ได้ฟัง”
ผู้ชมคนนั้นพูด ทันใดนั้น ก็มีข้อความโผล่ออกมา "ผู้ดำเนินรายการ ผมมีเรื่องหนึ่ง อยากฟังไหม? ตอนนี้ยังเช้ามืด ถ้ามีคนโทรมา ผมก็จะหยุดเล่า”
คนที่ชอบเรื่องเหนือธรรมชาติ มักจะมีเรื่องเล่า
"เอาสิ ออนไลน์คุยกันไหม?"
"ก็ได้ แต่ผมไม่เปิดเผยใบหน้า ผมขี้เหร่เกินกว่าจะให้คนอื่นเห็น"
ดูเหมือนว่าผู้ชมคนนั้นจะเป็นคนตลก ผู้ชมในห้องถ่ายทอดสดต่างก็พิมพ์ 666 เต็มหน้าจอเพื่อสนับสนุน
วิดีโอคอลเริ่มต้นขึ้น ผู้ชมคนนั้นไว้ผมสั้น ดูจากด้านหลังแล้ว อายุประมาณ 30 กว่า
เขาใส่เสื้อยืดสีขาว เขาไอ 2 ที เสียงของเขาดูแหบ
"ขอโทษด้วยนะทุกคน ผม..เปิดเผยใบหน้าไม่ได้ ขอร้องล่ะ อย่าว่ากันนะ"
“ต้าหนิว คุณทำแบบนี้เรื่องที่คุณอยากจะเล่ามันไม่ธรรมดาใช่ไหม?” เจียงเย่ถาม
ผู้ชมที่ชื่อต้าหนิวส่ายหัว "จริงๆ แล้วมันเป็นเรื่องธรรมดาๆ แต่มันก็มีอะไรบางอย่างที่คนนอกไม่รู้ เรื่องของผมอาจจะน่าสนใจสำหรับคุณก็ได้"
"งั้นก็เล่ามาก่อนที่จะมีคนโทรมา"
เจียงเย่ยิ้ม พยักหน้า จริงๆ แล้ว เขามองเห็นใบหน้าของต้าหนิวผ่านวิดีโอคอล เขารู้ว่าทำไมต้าหนิวถึงไม่ยอมหันหน้ามา
"เรื่องนี้เป็นเรื่องของลุงผม ตอนที่เขายังเด็ก เขาเป็นผู้ชายที่หล่อเหลา สูงกว่า 180 เซนติเมตร หลังตรง ถึงแม้ว่าผิวจะคล้ำแต่ก็ดูเป็นผู้ชาย ตอนที่เขาอายุ 20 ปี เขาก็สอบติดมหาวิทยาลัย เป็นหนึ่งในไม่กี่คนที่เรียนจบมหาลัย"
"ตอนนั้น คนที่เรียนจบมหาวิทยาลัยมีค่ามาก ถ้าครอบครัวไหนมีลูกเรียนจบมหาวิทยาลัยก็จะมีชื่อเสียง ลุงของผมก็เป็นแบบนั้น เขาเป็นความภาคภูมิใจของครอบครัว วันนั้น ครอบครัวของเขาก็ไปส่งเขาที่ทางเข้าหมู่บ้าน"
"ตอนนั้น ถ้าอยากจะเดินทางไกลก็ต้องนั่งรถไฟ นั่งรถไฟที 20 กว่าชั่วโมง หลายคนบอกว่าการนั่งรถไฟเป็นเรื่องที่.. น่ากลัว ถ้าเป็นคนใจเสาะ อาจจะกลัวจนบ้า"
"ผมไม่เคยเจอ ไม่รู้ว่ามันน่ากลัวขนาดนั้นจริงๆ หรือเปล่า แต่พอลุงผมกลับมา เขาก็เปลี่ยนไป ไม่พูดไม่จา โดยเฉพาะตอนกลางคืน ในบ้านจะต้องไม่มีเสียง ถ้ามีเสียง เขาก็จะหวาดกลัว ความกลัวนั้นไม่ใช่แกล้งทำ เหมือนกับความกลัวที่อธิบายไม่ได้"
ต้าหนิวถอนหายใจ เจียงเย่รีบถาม "ลุงของคุณไม่ได้ไปเรียนมหาวิทยาลัยเหรอ?"
"ใช่ เขาไม่ได้ไป"
"เขาต้องนั่งรถไฟ 3 วันถึงจะถึงมหาลัย ตอนนั้นที่บ้านก็บอกให้เขาโทรหา แต่.. 3 วัน 4 วัน 1 อาทิตย์ผ่านไป เขาก็ยังไม่โทรมา ปู่เป็นห่วงมาก วันที่ 10 ก็เลยไปหามหาลัยที่ลุงเรียน"
"พอปู่ไปถึงมหาลัยก็ไปที่ห้องทะเบียน แต่..เขากลับบอกว่าลุงไม่ได้มาเรียน เขากำลังตามหาเบอร์ติดต่อลุง ตอนนั้นปู่ก็รู้ว่าเกิดเรื่องไม่ดีขึ้น สมัยก่อนการเดินทางไม่ปลอดภัย มีโจรเยอะ โดยเฉพาะที่สถานีรถไฟ"
"ปู่ไม่มีทางเลือกก็เลยไปแจ้งความ ตำรวจก็เริ่มสืบสวน แต่สืบไปสืบมากลับพบว่าลุงไม่ได้ขึ้นรถไฟ ไม่ได้ซื้อตั๋วด้วยซ้ำ! ปู่รับไม่ได้เพราะว่าเขาเห็นลุงขึ้นรถไฟกับตา ถึงแม้ว่าตอนนั้นจะดึกแล้วแต่ปู่บอกว่าเขาจำไม่ผิด"
"แต่หาเท่าไหร่ก็หาไม่เจอ ตำรวจก็ทำอะไรไม่ได้ ปู่เลยต้องกลับบ้านก่อนเพราะว่าเงินหมด"
"ปู่กลับมาบ้านก็เลยโกหกย่าว่าลุงไปเรียนหนังสือ แต่มือหักลืมโทรบอก ที่ไม่ได้กลับมาเพราะว่าต้องดูแลลุง ตอนนั้น ปู่โกหก แต่แม่ผมกับคนอื่นก็ดูออกว่าปู่กำลังกังวล แต่ปู่ก็ไม่ได้พูดอะไร แค่เอาเงินเตรียมตัวจะไปหาลุง"
"แต่.. ไม่มีใครคิดเลยว่า ตอนที่ปู่เก็บกระเป๋าเตรียมตัวจะนั่งรถไฟเที่ยวสุดท้าย พอเดินออกจากบ้านก็เห็นคนคนหนึ่ง ถึงแม้ว่าจะมองไม่ชัด แต่คืนนั้นพระจันทร์ส่องสว่าง ปู่รู้สึกว่าคนคนนั้น.. คุ้นๆ เหมือนกับว่าจะเป็นลุง"
"ปู่รีบวิ่งเข้าไป พอวิ่งไปใกล้ๆ ปู่ก็รู้สึกว่าใช่จริงๆ เป็นลุงที่หายไปนานกว่า 1 เดือน!ตอนนั้น ลุงยังใส่ชุดเดิมอยู่ แต่กระเป๋าหายไป ปู่ไม่ได้สนใจอะไร พอเห็นว่าเป็นลุง เขาก็ร้องไห้ กอดลุงแน่น"
"แต่.. ตอนที่เขาร้องไห้ ลุงกลับตัวสั่นเหมือนกับว่าเห็นผี ปู่เล่าให้ฟังว่าตอนนั้น ลุงมองไปรอบๆ มองไปข้างหลัง มองไปข้างหน้า สุดท้ายก็มองไปที่ปู่ เอามือปิดปากปู่ ตาเบิกกว้าง"
"เขาเอามือปิดปากปู่ มือข้างหนึ่งปิดปาก มืออีกข้างหนึ่งก็ลากปู่วิ่งรอบหมู่บ้านเหมือนคนบ้า "วิ่งเร็วๆ วิ่งเร็วๆ!"