141 - งานเลี้ยงในกระโจมมังกร
141 - งานเลี้ยงในกระโจมมังกร
อู่เช่อถอยกลับไปยังมุมห้องอีกครั้ง ขณะที่เกาซื่อเหลียนกลั้นหัวเราะเอาไว้ เด็กคนนี้ถึงจะทำอะไรเหลวไหลไปบ้าง แต่ความกตัญญูที่มีต่อผู้ใหญ่ก็ไม่เคยเปลี่ยนแปลง
หลี่ซิน กงซุนชง และตู้โหยวเว่ยต่างมีสีหน้าที่น่าอับอาย
แม้แต่เหลียงเจิ้งก็ถึงกับนิ่งงันไปชั่วขณะ
หลี่เยว่ถอนหายใจด้วยความโล่งอก ส่วนหลี่อวี้ซูที่แสดงความไม่พอใจบนใบหน้าก็เริ่มมีสีหน้าที่ดีขึ้น "เจ้าฌง่ ข้าขอบใจที่เจ้าทำตัวเหมาะสมขึ้น ไม่ถ้าอย่างนั้นข้าคงได้อับอายต่อหน้าทุกคน"
นางคิดเช่นนั้นในใจ
หลี่อวี้หลานที่ยืนอยู่ใกล้ๆ ถึงกับยกมือกุมหน้าอก นางตกใจมาก แต่ในที่สุดฉินโม่ก็เตรียมของขวัญไว้พร้อม
เมื่อเห็นอาหารที่ดูแปลกตา หลี่อวี้หลานก็กลืนน้ำลายโดยไม่รู้ตัว แค่มองก็รู้แล้วว่าต้องอร่อยมาก
ทั้งที่เป็นเพียงเนื้อย่าง แต่เมื่อฉินโม่เป็นคนย่าง กลับดูน่ากินกว่าอาหารทั่วไปมากมาย
หลี่ซื่อหลงเองก็ยิ้มออกมาอีกครั้ง เด็กคนนี้ถึงแม้ว่าบางอย่างจะทำได้ไม่ค่อยดี แต่ความกตัญญูของเขานั้นไม่ขาดตกบกพร่อง
อย่างไรก็ตาม เหลียงเจิ้งยังคงไม่ยอมแพ้ "ฝ่าบาท ฉินโม่ไม่ออกมาต้อนรับพระองค์เลย"
คราวนี้เฉิงซานฝูทนไม่ไหว "ฉินโม่เตรียมของขวัญไว้ถวายฝาบาตรด้วยความกตัญญู แล้วทำไมเจ้ายังต้องจ้องจับผิดเขาอยู่?"
เหลียงเจิ้งสวนกลับทันที "เหล่าเฉิง อย่าลืมว่าบุตรชายของเจ้าก็โกหกฝ่าบาท!"
เฉิงซานฝูเริ่มมีเหงื่อออก ขณะที่ เฉิงต้าเป่ารู้สึกว่าตนเองตกอยู่ในสถานการณ์ที่ลำบาก ถ้ารู้แบบนี้เขาคงไม่กล่าวอะไรเลย ตอนนี้เรื่องกลับกลายเป็นสุมไฟเผาตัวเอง
ฉินโม่กล่าวอย่างไม่รีบร้อน "เหล่าเหลียง เจ้านี่ช่างหัวโบราณและจู้จี้เสียจริง ข้าตกลงกับเฉิงต้าเป่าล่วงหน้าเพื่อจะทำให้ท่านพ่อตาแปลกใจ จะมาบอกว่าเป็นการโกหกได้อย่างไร? เจ้าไม่เคยเตรียมของขวัญให้บิดามารดาบ้างหรือ?"
เขาส่ายหัวและกล่าวอย่างเย้ยหยัน "หากไม่เคยทำเจ้ายังกล้าเรียกตัวเองว่านักปราชญ์? ข้าอับอายแทนเจ้าเหลือเกิน หากการเตรียมของขวัญให้ผู้ใหญ่ถือว่าเป็นการโกหก ข้าก็ยอมรับความผิดนี้ ขอเพียงผู้ใหญ่มีความสุข ข้าจะโกหกวันละร้อยครั้งก็ได้?"
เฉิงซานฝูหัวเราะพร้อมกล่าวขึ้น "ฉินโม่พูดถูก หากฝ่าบาทต้องการลงโทษ ข้าก็ยอมรับเช่นกัน ลูกข้า นอนลงให้พ่อตีซะดีๆ!"
เฉิงต้าเป่าน้ำตาแทบไหล นี่เขาต้องมาโชคร้ายแทนคนอื่นหรืออย่างไร?
เสียงฟาดดัง เพียะ! เพียะ! พร้อมกับเสียงคร่ำครวญของเฉิงต้าเป่าดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง
เหลียงเจิ้งโกรธจนจมูกแทบจะบิดเบี้ยว
หลี่ซื่อหลงได้แต่มองด้วยความระคนยิ้มและโมโห
ฉินโม่นับเป็นตัวตลกน้อยขณะที่เฉิงซานฝูก็เป็นตัวตลกใหญ่ พอทั้งคู่มาพบกันมันก็ทำให้เขารู้สึกอารมณ์ดีอย่างมาก
"พอแล้ว!" หลี่ซื่อหลงโบกมืออย่างหมดหนทาง "สำหรับเรื่องนี้ ข้าจะละเว้นโทษเฉิงต้าเป่า"
เฉิงซานฝูรีบกล่าวขอบคุณ "ขอบพระทัยฝ่าบาท!"
เฉิงต้าเป่าที่ถูกฟาดสิบกว่าครั้งก็กล่าวด้วยน้ำเสียงสะอื้น "ขอบพระทัยฝ่าบาท!"
ฉินโม่ยิ้มอย่างภาคภูมิใจและเดินนำอาหารไปถวายบนโต๊ะเสวยของหลี่ซื่อหลง "ท่านพ่อตา ลองชิมดู"
เขาหยิบมีดออกมา ขณะที่อู่เช่อ รีบพุ่งเข้ามาพร้อมกล่าวด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าว "ฉินโม่ เจ้าช่างบังอาจ!"
ฉินโม่หันไปมองด้วยความไม่พอใจ "เจ้าเป็นอะไร? ข้ากำลังหั่นเนื้อกวางถวายท่านพ่อตา จะเรียกว่าบังอาจได้อย่างไร?"
พูดจบ เขาก็เริ่มหั่นเนื้อกวางอย่างประณีต พร้อมกับโรยผงมาซาร่าและเกลือลงไป กลิ่นหอมฟุ้งจนทุกคนแทบจะกลืนน้ำลาย
หลี่ซื่อหลงกลืนน้ำลายโดยไม่รู้ตัว อาหารบนโต๊ะดูน่ากิน สีสันสวยงามและมีกลิ่นหอมเย้ายวน แน่นอนว่ารสชาติต้องไม่ธรรมดา
เขาหยิบตะเกียบขึ้นมาคีบเนื้อกวางแผ่นหนึ่ง
เกาซื่อเหลียนกระซิบเตือน "ฝ่าบาท กระหม่อม..."
"ไม่ต้อง ข้าเชื่อว่าทุกคนอาจจะหักหลังข้าได้ แต่ฉินโม่ไม่มีทางเด็ดขาด"
คำพูดนี้ทำให้เหล่าขุนนางถึงกับตะลึง
นั่นเป็นความไว้วางใจอย่างมาก หากฉินโม่มีใจคิดไม่ซื่อ ป่านนี้...
หลี่ซินมองฉินโม่ด้วยสายตาเย็นชา การกระทำของเขานี้กลับบดบังความสำเร็จของตนที่ได้ล่าหมีได้สิ้นเชิง
กงซุนชงเองก็รู้สึกกังวลใจมากขึ้น การที่ฉินโม่ได้รับความไว้วางใจจากหลี่ซื่อหลงเช่นนี้ เป็นสิ่งที่คนรุ่นเดียวกันไม่อาจเทียบได้
ถึงแม้ฉินโม่จะไม่ได้เป็นขุนนางที่มีความสามารถพิเศษ แต่เขากลายเป็นขุนนางโปรดที่หลี่ซื่อหลงให้ความไว้วางใจอย่างมาก
เฉิงต้าเป่าและกลุ่มเพื่อนของฉินโม่ต่างมองหลี่ซื่อหลงที่กำลังเพลิดเพลินกับอาหารด้วยความหิวจนน้ำลายแทบจะหยดลงพื้น
"ท่านพ่อตา รสชาติเป็นอย่างไรบ้าง?" ฉินโม่ถามทั้งที่รู้คำตอบอยู่แล้ว
"ไม่เลวเลย เนื้อย่างของเจ้ามีรสชาติที่พิเศษจริงๆ"
หลี่ซื่อหลงกล่าวพลางลิ้มลองอาหารจานอื่นๆ แต่ละจานทำให้เขารู้สึกถึงรสชาติที่แตกต่างออกไป และเมื่อเริ่มกินก็ไม่สามารถหยุดได้
เฉิงซานฝูกลืนน้ำลายแล้วกล่าวขึ้น "ข้าว่าเจ้าช่างกตัญญูต่อฝ่าบาทมาก แต่เจ้าไม่รู้หรือว่าลุงป้าน้าอาทุกคนที่อยู่ที่นี่ก็สำคัญ เจ้าไม่มีของขวัญสำหรับพวกเราบ้างหรือ?"
"ใช่ๆ" เฉิงต้าเป่าเสริม
หลี่ซุนกงเองก็กล่าวว่า "ฉินโม่ ไหนๆ เจ้าก็ว่างอยู่แล้ว ทำไมไม่ลองย่างเนื้อให้พวกเราที่นี่เลยล่ะฝ่าบาท กระหม่อมเสนอให้จัดงานเลี้ยงไปเลย"
หลี่ซื่อหลงฟังคำแนะนำของหลี่ซุนกงแล้วก็รู้สึกตัว เขามัวแต่เพลิดเพลินกับอาหารจนลืมงานเลี้ยง
ทุกอย่างเป็นเพราะอาหารที่ฉินโม่ทำออกมาอร่อยเกินไป
เขากระแอมเบาๆ "สิ่งที่เฉิงอ๋องพูดมาก็มีเหตุผล ฉินโม่เจ้าต้องทำคุณไถ่โทษที่ไม่ออกไปล่าสัตว์กับทุกคนโดยการทำอาหารเลี้ยงทุกคนพี่อยู่ที่นี่”
ฉินโม่ได้ยินเช่นนั้นก็ทำหน้าเศร้าทันที "ท่านพ่อตา ท่านเล่นไม่ยุติธรรมเลย ข้าตั้งใจเตรียมของขวัญชั้นดีให้ท่าน แต่แทนที่จะให้รางวัล กลับลงโทษข้าอีก นี่ไม่ยุติธรรมเลย!"
หลี่ซื่อหลงหัวเราะเบาๆ "คำพูดของข้าคือกฎเกณฑ์ ถ้าเจ้ายังพูดมากอีก ข้าจะลงโทษเจ้าให้หนัก!"
ฉินโม่อยากจะเถียงต่อ แต่รู้ดีว่าแขนไม่อาจสู้ขาได้ จึงจำใจเริ่มย่างเนื้อด้วยใบหน้าแสนเศร้า
การย่างเนื้อทั้งกวางสองตัว แกะสามตัว และกระต่ายอีกสิบตัว ทำให้เขาเหนื่อยแทบตาย
โชคดีที่มี หยางหลิวเกิน และคนอื่นๆ ช่วยเหลือ ส่วนเหล่าพ่อครัวก็ทำหน้าที่เตรียมวัตถุดิบ จากนั้นเมื่อถึงช่วงท้ายของงานเลี้ยงพวกเขาก็รับหน้าที่แทนฉินโม่
บรรยากาศของกระโจมมังกรกลายเป็นเหมือนงานเลี้ยงในชนบทในพริบตา
หลี่ซื่อหลงกินอย่างเอร็ดอร่อย แต่เมื่ออาหารมีมากเกินไป เขาจึงแจกจ่ายให้ขุนนางที่นั่งอยู่ด้านล่าง
วิธีการแบ่งอาหารของหลี่ซื่อหลงทำให้ทุกคนพอใจเป็นอย่างมาก
และเมื่อเพิ่มสุราชั้นดีที่ฉินโม่จัดมา บรรยากาศในงานก็คึกคักสุดๆ
อาหารที่ฉินโม่ทำอร่อยมากจนหลี่อวี้ซูต้องยอมแพ้ "ฮึ! เล่นกับไฟมากเกินไป การทำอาหารทั้งวันทั้งคืนแบบนี้จะมีอนาคตอะไร?"
หลี่เสวียนนั่งกินอาหารพร้อมกับบ่นเสียงแผ่วเบา "ข้าจะกินแค่ครั้งนี้เท่านั้น ครั้งหน้าข้าจะจัดการกับเจ้านั่นแน่นอน"
ขณะนั้นเองเฉิงซานฝูก็ดื่มจนเมามายแล้วลุกขึ้นมาแสดงท่าฟันดาบ
เหล่านายทหารของราชวงศ์ต้าเฉียนมักเป็นเช่นนี้ พอดื่มจนเมาก็มักจะอวดฝีมือกัน
แม้แต่ขุนนางพลเรือนหลายคนต่างก็มีฝีมือไม่เป็นรองเหล่าแม่ทัพ โดยเฉพาะผู้ที่ได้รับตำแหน่งกว๋อกง พวกเขาส่วนใหญ่ล้วนเป็นทหารที่ติดตามหลี่ซื่อหลงมาก่อน
เหลียงเจิ้ง ตู้จิ้งหมิง และโต้วเสวียนหลิง ถึงแม้จะเป็นขุนนางฝ่ายบู๊ แต่ด้วยราชวงศ์ต้าเฉียนสร้างชาติขึ้นมาจากสงคราม พวกเขาล้วนเป็นคนเหนือจึงฝึกฝนการต่อสู้ตั้งแต่ ทักษะของแต่ละคนจึงแข็งแกร่งและน่าชมอย่างยิ่ง
เหลียงเจิ้งเองก็ดื่มไปมาก จึงกล่าวขึ้นด้วยเสียงดัง "เหล่าเฉิง ฝีมือฟันดาบของเจ้านี่น่าสมเพชมาก ทำไมไม่กลับไปผ่าฟืนแทน?"
เฉิงซานฝูได้ยินเช่นนั้นก็กระชากเสียงออกมาด้วยความโกรธ "ถ้าเจ้ามีฝีมือก็ขึ้นมาสู้กันสิ!"
"ได้! ข้าจะขึ้นไปเอง!"
เหลียงเจิ้งดึงดาบของราชองครักษ์ออกมาและทำการร่ายรำท่ามกลางเสียงโห่ร้องเอาใจช่วยของเหล่าขุนนางพลเรือน
ฉินโม่และเหล่าทายาทขุนนางรุ่นสองไม่เคยเข้าสู่สนามรบจริง แม้ว่าชีวิตประจำวันของพวกเขาจะต่อสู้กันอยู่เสมอ แต่เมื่อเห็นลักษณะการร่ายรำดาบของกว๋อกงทั้งสองคน พวกเขาจึงตระหนักได้ว่าตัวเองมีทักษะที่น่าสมเพชมากเพียงใด
แน่นอนว่าขุนนางใหญ่ทั้งสองคนไม่ได้ต่อสู้กันจริงๆ พวกเขาเพียงร่ายรำและประมือกันพอหอมปากหอมคอเท่านั้น หลี่ซื่อหลงดื่มสุราอย่างมีความสุขและกล่าวว่า "อาหารก็มีแล้ว เหล้าก็มีแล้ว ทำไมเราไม่มาแต่งกลอนกันล่ะ?"
……………..