138 - บังเอิญพบกัน
138 - บังเอิญพบกัน
หยางหลิวเกิน รู้สึกพูดไม่ออก แต่ก็ยังพาคนไปล่าสัตว์ให้กับฉินโม่
เพียงครึ่งชั่วยาหยางหลิวเกินนำสัตว์ป่าตัวเล็กๆ กลับมามากมาย ทำให้ฉินโม่อย่างกินอย่างเพลิดเพลิน "มาเถอะลุงหลิว มากินด้วยกัน!"
ในขณะเดียวกัน ที่กระโจมพักแรมอีกหลังซึ่งตั้งอยู่ไม่ไกล หลี่อวี้หลานรู้สึกเบื่ออย่างมาก
แม้ว่าฉินโม่จะเข้าร่วมการล่าสัตว์ครั้งนี้ด้วยแต่นางก็ไม่สะดวกที่จะออกมาพบเขา
ก่อนหน้านี้ พวกเขาส่งจดหมายถึงกันทุกวัน วันละหลายฉบับ แต่ตอนนี้จู่ๆ การส่งจดหมายก็หยุดลง นางรู้สึกไม่คุ้นเคยอย่างมาก
ลี่อวี้ซูก็พาหลี่ลี่หรงออกไปล่าสัตว์แล้ว
หลี่อวี้หลานกลัวว่าจะพบกับฉินโม่ จึงตัดสินใจอยู่ในค่าย
ขณะนี้ค่ายดูเงียบเหงา มีเพียงบุตรหลานขุนนางที่อ่อนแอไม่กี่คนที่อยู่ในค่าย
หลี่อวี้หลานหยิบพู่กันและกระดาษขึ้นมาเขียนจดหมาย แม้ว่านางจะไม่สามารถส่งจดหมายถึงฉินโม่ได้ แต่ก็อยากจดบันทึกความรู้สึกของตัวเองในตอนนี้
เมื่อเขียนเสร็จ นางเก็บจดหมายไว้อย่างระมัดระวัง จากนั้นจึงสวมเสื้อคลุมและออกจากกระโจมพักแรม
"หิมะเหมือนจะหยุดแล้ว"
หลี่อวี้หลานยื่นมือออกไป หิมะเม็ดเล็กๆ ร่วงหล่นลงในฝ่ามือ นางมองไปทางทิศเหนือ ที่ฉินโม่ตั้งค่ายพักอยู่
นางสูดหายใจลึก แล้วแสร้งทำเป็นเดินเล่นอย่างไร้จุดหมาย นางเริ่มเดินไปทางทิศใต้ก่อน จากนั้นค่อยๆ เดินมุ่งหน้าไปทางทิศเหนือ
เมื่อเห็นธงตระกูลฉินปักอยู่หน้ากระโจม หัวใจของหลี่อวี้หลานก็เต้นแรงขึ้น "นี่คือกระโจมของเขา!"
นางยืนอยู่นอกกระโจมชั่วครู่ และทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงของฉินโม่ดังออกมา
นางเอามือปิดหน้า "นี่ข้าเป็นอะไรไป? เขาคงออกไปล่าสัตว์แล้ว จะมาอยู่ในกระโจมได้อย่างไร? หรือข้าเริ่มจะเห็นภาพหลอนแล้ว?"
แม้นางจะคิดเช่นนั้น แต่ก็รู้สึกกระวนกระวาย สถานการณ์นี้ทำให้นางรู้สึกประหม่า นางเริ่มตระหนักว่าฉินโม่มีความหมายพิเศษสำหรับนางอย่างไร
แต่ถึงอย่างนั้น นางก็ไม่กล้าคิดต่อ
ขณะที่นางกำลังจะเดินจากไป เสียงจากในกระโจมก็ดังขึ้นอีกครั้ง "ใครน่ะ? ใครอยู่ข้างนอกแอบๆ ซ่อนๆ?"
ทันใดนั้นประตูกระโจมก็ถูกเปิดออก และฉินโม่ยื่นหัวออกมา
หลี่อวี้หลานตกใจจนเผลอกล่าวออกมา "ฉินโม่!"
ฉินโม่เองก็อึ้งไปเช่นกัน เสียงนี้คุ้นเคยเหลือเกิน เมื่อเห็นดวงตาที่ใสกระจ่างของนาง เขาก็รู้สึกตื่นเต้น "พี่สาวไฉ่! นั่นเจ้าใช่ไหม? เจ้ามาอยู่ที่นี่ได้ยังอย่างไร?"
หลี่อวี้หลานหน้าแดง "เจ้า เจ้าจำคนผิดแล้ว ข้า ข้า..."
นางรู้สึกตกใจและอับอายจนอยากจะหนีไป แต่ฉินโม่รีบคว้าแขนของนางไว้ "พี่สาวไฉ่ อย่าอายเลย การที่เราได้เจอกันที่นี่ถือเป็นวาสนาของเรา รีบเข้ามานั่งก่อนเถอะ!"
หลี่อวี้หลานถูกฉินโม่จับตัวไว้ นางรู้สึกทั้งกลัวและอาย
ในขณะเดียวกัน นางก็แปลกใจ ทำไมฉินโม่ถึงยังอยู่ในกระโจม เขาไม่ออกไปล่าสัตว์หรือ?
"ลุงหลิว นี่คือคุณหนูใหญ่จากตระกูลไฉ่ พี่สาวที่ข้าเคารพ!" ฉินโม่ยิ้มและแนะนำ
หยางหลิวเกินและคนอื่นๆ รีบลุกขึ้นยืน "คำนับคุณหนูไฉ่!"
"คำนับท่านลุงทุกคน!"
หลี่อวี้หลานพยายามบังคับตัวเองให้สงบลง
"มาเถอะ พี่สาวไฉ่ มาทานด้วยกัน!"
ฉินโม่ขยับที่นั่งให้หลี่อวี้หลาหยางหลิวเกินะคนอื่นๆ มองหน้ากันอย่างเข้าใจ และรีบออกจากกระโจมไปยืนเฝ้าอยู่ข้างนอก
เพราะหากมีคนรู้ว่าฉินโม่อยู่กับคุณหนูใหญ่ตระกูลไฉ่เป็นการส่วนตัว เรื่องนี้คงจะเป็นเรื่องใหญ่แน่
"พวกเจ้ากินอิ่มแล้วหรือ?" ฉินโม่ถาม
"อืม เรากินอิ่มแล้ว ออกมาขยับแข้งขยับขา และจะหาเนื้อสัตว์ป่ามาเพิ่มอีกสักหน่อย เอ้อ คุณชาย อย่าเดินเล่นไปไกลล่ะ ป่าแถบนี้ลึกมาก เดินทางอาจจะหลงได้ง่าย!หยางหลิวเกินชับไว้ แล้วพาคนอื่นๆ เข้าไปในป่าโดยทิ้งคนสองคนไว้เฝ้ากระโจม
"พี่สาวไฉ่ เจ้ามากับใครหรือ?" ฉินโม่คีบอาหารใส่จานให้หลี่อวี้หลาน นางจับเสื้อคลุมของตัวเองแน่น ใจเต้นแรง "ขะ ข้ามากับครอบครัว"
"ทำไมพี่ไม่เข้าป่าล่ะ?"
ฉินโม่แหย่เล่นครึ่งจริงครึ่งเล่น "หรือพี่รู้ว่าข้าไม่ได้เข้าป่าเลยมาหาข้า?"
เมื่อหลี่อวี้หลานถูกจับได้ ใบหน้าของนางแดงก่ำทันที "ไม่ ไม่ใช่หรอก ข้า ข้ากำลังไว้ทุกข์อยู่ เจ้าไม่รู้หรืออย่างไร ช่วงนี้ข้าห้ามฆ่าสัตว์"
"อ๋อ เข้าใจแล้ว!" ฉินโม่พยักหน้า ก่อนจะกล่าวต่อว่า "พี่สาวไฉ่ ถอดผ้าคลุมหน้าออกเถอะ กินอาหารด้วยกันดีกว่า ปล่อยให้เย็นเดี๋ยวไม่อร่อย นี่เป็นน้ำแกงสูตรพิเศษที่ข้าทำเอง ในร้านของข้ายังไม่มีขายด้วยซ้ำ!"
หลี่อวี้หลานลังเล "เอ่อ... ข้าว่ามันไม่เหมาะหรอก พวกเราสองต่อสอง ถ้ามีใครกลับมาเห็นเข้า..."
"ไม่ต้องห่วง พวกเขาคงไม่กลับมาหรอก"
ฉินโม่คีบเนื้อหนึ่งคำส่งให้หลี่อวี้หลาน "พี่สาวไฉ่ ลองชิมดูสิ!"
การกระทำที่ใกล้ชิดเช่นนี้ทำให้หลี่อวี้หลานรู้สึกสับสน แต่เมื่อนางสบตากับฉินโม่ นางก็รู้ว่าเขาแค่ต้องการให้นางลองชิมอาหารอร่อยเท่านั้น
นางจึงตัดสินใจถอดผ้าคลุมหน้าออก แม้จะรู้สึกเขินอายมาก "ฉินโม่ ข้า ข้ากินเองดีกว่า"
"ไม่เป็นไร ลองชิมดูเถอะ!"
หลี่อวี้หลานกัดริมฝีปาก และอ้าปากเล็กน้อยรับเนื้อที่ฉินโม่ป้อน ความเขินอายจากใบหน้าลามไปถึงลำคอ
"เป็นอย่างไร อร่อยไหม?"
"อร่อย...อร่อยมาก!"
หลี่อวี้หลานค่อยๆ เคี้ยวด้วยความระมัดระวัง เมื่อเห็นฉินโม่ยิ้มอย่างมีความสุข นางก็ยิ้มตาม "เจ้าทำไมไม่เข้าป่าล่ะ หรือว่ารู้สึกไม่สบาย?"
นางถามด้วยท่าทางเป็นห่วง
"เปล่าหรอก ข้าไม่ชอบล่าสัตว์"
ฉินโม่กล่าวพร้อมกับกินเนื้อ "อากาศหนาวเย็นอย่างนี้ต้องวิ่งไปวิ่งมาในป่า ข้าไม่ชอบเลย พี่สาวไฉ่ไม่รู้หรอกว่าข้าใส่เกราะหนักตั้งหลายสิบจิน เหงื่อออกจนเกราะติดกับตัวมันอึดอัดมาก"
"ปล่อยให้พวกนั้นล่าสัตว์ไปเถอะ ข้าไม่สนใจรางวัลอะไรหรอก มันเหมือนกับว่าข้าแค่มาออกค่ายเท่านั้น!"
"เจ้าไม่คิดมากจริงๆ ด้วย!"
"แน่นอนสิ! ถ้าข้าเข้าป่า ข้าก็คงไม่ได้เจอพี่สาวไฉ่ใช่ไหมล่ะ?"
พูดจบ ฉินโม่ก็หยิบจดหมายออกมาจากเสื้อ "นี่สำหรับเจ้า!"
"จดหมาย?"
หลี่อวี้หลานรับจดหมายมา หัวใจเต้นรัว
"ใช่ ข้าตั้งใจจะให้ตั้งแต่เช้าแล้ว แต่รีบออกมาเลยลืมไป พอดีเจอเจ้าที่นี่ก็รับไปเลยแล้วกัน!"
ฉินโม่หัวเราะ "ช่วงนี้มันน่าเบื่อมาก ถ้าไม่มีอะไรทำ เราเขียนจดหมายถึงกันก็ได้นะ"
"อืม!"
หลี่อวี้หลานก้มหน้าลงอย่างเขินอาย เมื่อนางคิดสักพักก็หยิบจดหมายจากแขนเสื้อออกมา "นี่สำหรับเจ้า!"
ฉินโม่ประหลาดใจเล็กน้อย เมื่อเขารับจดหมายนั้นมา นิ้วของเขาเผลอสัมผัสมือที่นุ่มนวลของหลี่อวี้หลาน ชั่วขณะนั้นความรู้สึกสั่นสะเทือนในใจของทั้งคู่พลันก่อตัวขึ้น
หลี่อวี้หลานรีบชักมือกลับ "แต่ว่าที่นี่มีคนอยู่มาก คงไม่ควรตอบจดหมายบ่อยเกินไป สองถึงสามฉบับต่อวันก็พอแล้ว"
ฉินโม่พยักหน้า เขาไม่ถือสาอะไรนัก แต่เพราะหลี่อวี้หลานยังเป็นหญิงหม้าย นางจึงกังวลเรื่องชื่อเสียง เขาเองก็ไม่อยากให้ชื่อเสียงของนางเสียหายเช่นกัน
หลี่อวี้หลานอยู่ในกระโจมกับฉินโม่ประมาณหนึ่งชั่วยาม จากนั้นนางก็ไม่กล้าอยู่ต่ออีก นางสวมผ้าคลุมหน้าและรีบกลับไปทันที
สิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้ทำให้นางรู้สึกทั้งตื่นเต้นและประหม่า ทั้งอายและรู้สึกผิด
เมื่อกลับถึงกระโจม นางไม่รอช้าที่จะหยิบจดหมายของฉินโม่ออกมาอ่าน หลังจากอ่านจบ นางก็อดไม่ได้ที่จะยิ้ม
ในตอนแรกนางคิดจะเผาจดหมายนั้นเพื่อไม่ให้ใครเห็น แต่เมื่อลังเลสักครู่ นางก็ตัดสินใจพับมันอย่างดีและเก็บไว้กับตัว
……………