บทที่ 1
รักต้องบอก
จู๋อี่/ 2019.01.22
บทที่ 1
ในวันอันแสนร้อนระอุและระงมไปด้วยเสียงร้องของจั๊กจั่น
ห้องเรียนห้องหนึ่ง ณ ชั้นสองของโรงเรียนมัธยมซวี่รื่อ
เฉินหมิงซวี่ยืนถือไม้บรรทัดสามเหลี่ยมสอนอยู่บนโพเดียม เสื้อที่สวมใส่นั้นเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ
อากาศที่ร้อนราวกับว่าจะเดือดปุดๆ พัดลมติดเพดานที่หมุนส่งเสียงดังลั่น ในอุณภูมิที่สูงเช่นนี้แม้แต่ลมที่พัดผ่านเข้ามาก็ร้อนอ้าวราวน้ำเดือด
นักเรียนเบื้องล่างก็ต่างตาปรืออยู่ในสภาพที่ว่าจะหลับแหล่ไม่หลับแหล่
เขาจึงอดที่จะหงุดหงิดไม่ได้
“มองกระดาน” เมื่อสังเกตเห็นสภาพของเด็กสาวแถวที่สาม เฉินหมิงซวี่ขมวดคิ้วเล็กน้อยแล้วเคาะไม้บรรทัดเข้ากับกระดานแรงขึ้น “ได้ยินหรือเปล่า! มองบนกระดาน!”
นักเรียนที่ใกล้จะหลับก็ต่าสว่างขึ้นมาในทันใด ถ่างตาปรือๆขึ้น บังคับตนเองให้มองไปยังกระดาน
เด็กสาวทำราวกับว่าไม่ได้ยิน ยังคงก้มหน้าก้มตาจับดินสอวาดๆเขียนๆลงบนกระดาษ เธอนั้นมีใบหน้าที่สะสวยไร้ที่ติ ด้วยที่อายุยังน้อยและไร้เดียงสาแล้ว ดูเหมือนว่าจะยิ่งน่ารักเข้าไปใหญ่
นั่งหลังตรง บุคลิกนุ่มนวลอ่อนหวาน ดูๆไปแล้วก็เป็นนักเรียนประเภทที่ว่าว่านอนสอนง่ายเป็นที่โปรดปรานของคุณครูแบบสุดๆ
---------- จนถึงตอนนี้ท่าทางของเธอก็ทำเหมือนกับว่าอาจารย์ที่อยู่บนโพเดียมเป็นเพียงอากาศธาตุ
เฉินหมิงซวี่ขมวดคิ้วแน่นขึ้นกว่าเดิม แต่ปากยังคงพูดสอนต่อไป: “มุมหนึ่งเท่ากับมุมสอง มุมสามเท่ากับ 108 องศา-------”
จนพูดหัวข้อเรียนจวนจะหมดอยู่แล้ว เธอก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะเงยหน้าขึ้นมา เฉินหมิงซวี่ที่อดรนทนมานานถึงกับปรี๊ดขึ้นสมอง เขาฟาดไม้บรรทัดสามเหลี่ยมนั่นลงกับโต๊ะอย่างแรง
ไม้บรรทัดพลาสติกที่กระทบกับโต๊ะไม้ทำให้เกิดเสียงดังสนั่น
เสียงนั่นทำเอานักเรียนทั้งชั้นตกใจกลัวไปตามๆกัน เสียงคำรามที่ดังต่อเนื่องยิ่งทำให้บรรยากาศตึงเครียดเข้าไปอีก
“ซังจื้อ!”
ซังจื้อผู้ถูกเรียกจึงเงยหน้าขึ้นมามองเฉินหมิงซวี่ครู่หนึ่ง หลังจากนั้นจึงวางปากกาในมือลงแล้วลุกขึ้นยืน
เฉินหมิงซวี่พยายามข่มอารมณ์เอาไว้: “เมื่อกี้ผมพูดว่าอะไร?”
ซังจื้อมองภาพบนกระดาน จิตใจสงบนิ่ง: “มุมสี่เท่ากับ 72 องศาค่ะ”
ท่าทางรูปลักษณ์คุ้นตาที่ดูเหมือนว่าจะเป็นเด็กดีอยู่เสมอ ครั้งนี้เฉินหมิงซวี่จะไม่โดนหลอกอีกเป็นแน่ ยังคงถือไม้บรรทัดฟาดลงกับโต๊ะแล้วยิ้มเยาะ: “ผมยังไม่ได้พูดถึงตรงนั้น!”
“…….”
ซังจื้อเริ่มรู้สึกว่ามันชักจะยุ่งยากแล้วล่ะสิ: “งั้นอาจารย์เรียกหนูมาเพื่อ······”
เฉินหมิงซวี่ถามกลับ: “ตอบซิผมเรียกเธอมาทำอะไร”
ซังจื้อครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงเดาออกไป: “อาจารย์ทำไม่ได้หรอคะ?”
เฉินหมิงซวี่: “……….”
ซังจื้อ: “งั้นที่อาจารย์เรียกหนู ก็คือให้หนูมาสอนอาจารย์ใช่ไหมล่ะคะ?”
เฉินหมิงซวี่: “?”
“หนูรู้แล้วล่ะค่า” ซังจื้อเข้าใจอย่างนั้นแล้วจึงมองไปที่กระดาน “เพราะว่ามุมหนึ่งเท่ากับมุมสอง ดังนั้น AB จึงขนานกับ CD เส้นทั้งสองจึงเป็นเส้นขนาน มุมภายในในด้านเดียวกันเสริมกัน——”
เฉินหมิงซวี่เหลืออด: “เก่งขนาดนี้ ตำแหน่งครูของผมยกให้เธอไปเลยดีไหม?”
คำพูดที่ถูกแทรกขึ้นมา สร้างความมึนงงให้กับซังจื้อไม่น้อย ปากเธอขมุบขมิบครู่หนึ่งก่อนพูดขึ้นอย่างกล้าๆกลัวๆว่า: “แต่หนูไม่อยากแย่งงานอาจารย์นี่คะ”
“……….”
ทั้งชั้นเงียบกริบไปครู่หนึ่งก่อนจะหัวเราะกันครืนใหญ่
เฉินหมิงซวี่โกรธเป็นฟืนเป็นไฟ: “หยุดเสียงดัง! บอกให้เงียบ!”
เด็กๆจำนวนหนึ่งยังคงปรากฏใบหน้าที่ยิ้มกริ่มอยู่ ห้องเรียนดูเหมือนว่าจะเซ็งแซ่เป็นตลาดสดไปเสียแล้ว ที่แถวหลังก็ยังคงมีเด็กๆที่หัวเราะคิกๆอยู่——
“อาจารย์ครับ ผมว่าได้นะ! ให้ซังจื้อสอนห้องเราเถอะครับ!”
“งั้นไม่ต้องทำการบ้านก็ได้น่ะสิ”
“หนูก็ไม่ต้องมาเรียนก็ได้ใช่ไหม !”
เฉินหมิงซวี่คำรามขึ้น: “หุบปาก !”
“ซังจื้อ” เฉินหมิงซวี่มองไปยังซังจื้ออีกครั้ง เสียงลมหายใจแรงขึ้น ไม่อยากให้ตนเองจะต้องมาเสียฟอร์มมากจนเกินไป แต่สุดท้ายก็โดนหล่อนยั่วโมโหจนต้องตวาดออกไป “พรุ่งนี้เชิญผู้ปกครองเธอมาพบผม!!!”
-
เสียงกริ่งบอกเวลาเลิกเรียนดังขึ้น
เฉินหมิงซวี่หน้าหงิกหน้างอออกไปจากห้องโดยไม่แม้แต่จะหันหลังกลับมามอง
ประจวบเหมาะกับเป็นคาบเรียนสุดท้าย เพื่อนร่วมชั้นหลายๆคนที่ก็ได้เก็บข้าวของของตนเองไว้ก่อนหน้านี้แล้วพากันเดินออกไปเป็นกลุ่ม
“ทำไมเธอต้องไปยั่วโมโหคุณเฉินหัวเหม่งด้วยล่ะ?” ยินเจินหรูเพื่อนสาวพุ่งตรงมาหาเธอทันทีที่กริ่งดัง “เธอไม่รู้หรือว่าเขาน่ะเอะอะอะไรก็ชอบเรียกผู้ปกครอง? นี่เพิ่งจะผ่านมาครึ่งเดือนเอง แม่เธอมาสองครั้งแล้วนะ”
ซังจื้อเอาหนังสือที่อยู่บนโต๊ะยัดลงกระเป๋า แล้วใช้แรงรูดซิปขึ้น: “ฉันไม่เห็นจะรู้เลยว่าไปยั่วโมโหเขาตรงไหน”
ยินเจินหรูเบิกตากว้าง: “ไม่รู้งั้นเหรอ?”
ซังจื้อที่ท่าทางดูหงุดหงิดพึมพำขึ้น: “ฉันก็ตอบเขาไปแล้วไม่ใช่หรือไง?”
“ที่เธอตอบไปอย่างนั้นไม่ได้ตั้งใจจะยั่วโมโหเขาหรอกหรอ” ยินเจินหรูหัวเราะออกเสียง “แล้วยังมี หนูไม่อยากแย่งงานอาจารย์อะไรนั่นอีก อย่าว่าแต่เขาเลย ถ้าเป็นฉันก็คงอยากจะอัดเธอสักตุ้บเหมือนกัน”
ซังจื้อพ่นลมเสียงต่ำ: “งั้นเธอก็ไม่ต่างอะไรจากเขา เป็นพวกไม่มีเหตุผล”
“นี่ ฉันพูดจริงๆนะ” ยินเจินหรูพูด “ทำไมเธอถึงไม่ฟังที่ครูสอนล่ะ? แล้วยังจะถูกจับได้บ่อยๆอีก”
“เธอไม่รู้สึกเลยเหรอว่าคุณหัวเหม่งน่ะสอนอย่างกับสะกดจิต?” ซังจื้อสะพายกระเป๋าหนังสือขึ้นพร้อมกับหาวทีหนึ่ง “ถ้าฉันตั้งใจฟังแล้วไม่หาอะไรทำละก็ ฉันคงหลับไปแล้วแน่ๆ”
“……….”
ก็จริงแฮะ
ยินเจินหรูดูเหมือนจะคิดอะไรได้อีก หางตาก็เหลือบไปเห็นพวกผู้ชายที่ยืนอยู่ที่ประตูโรงเรียน เธอจึงเปลี่ยนหัวข้อสนทนา: “ใช่แล้ว เธอไปร้านหนังสือไหม?”
ซังจื้อชำเลืองมองเธอ: “ไปทำไม”
ยินเจินหรูอธิบาย: “ฟู่เจิ้งชูนัดเธอไว้นี่ แล้วยังมีพวกผู้ชายห้องหกอีก พวกเราไปด้วยกันเถอะ”
ซังจื้อถามอีกหน: “ไปทำไม”
“ใช่สิ” ยินเจินหรูคิดไปสักครู่ “ซื้อหวงโฮ่วซฺยง”
“……….”
หวงโฮ่วซฺยงคืออะไรน่ะ?
ซังจื้อเงียบไปพักหนึ่ง: “หวางโฮ่วซฺยง?”
ยินเจินหรู: “ใช่ๆๆ ไปไหม?”
ซังจื้อ: “ไม่ไป”
“ทำไมล่ะ?” ยินเจินหรูกระแทกที่บ่าของเธอเบาๆ แล้วพูดอย่างคลุมเครือว่า “ฟู่เจิ้งชูก็หล่ออยู่นา”
ทั้งสองเดินคู่กันออกจากห้องเรียนไป
เมื่อได้ยินอย่างนั้นแล้ว ซังจื้อก็สุดจะพรรณนา: “เธอไปโรงพยาบาลตรวจตาหน่อยก็ดีนะ”
ยินเจินหรูท้วง: “ตาฉันมันทำไมเหรอ? ไม่ใช่ฉันคนเดียวเสียหน่อยที่คิดว่าเขาหล่อน่ะ! มีตั้งหลายคนเลยนะ”
ซังจื้อพยักหน้าแล้วแนะอีกว่า: “งั้นพวกเธอก็ไปตั้งแก๊งแล้วไปด้วยกันเลย”
“……….”
พูดจบ ซังจื้อก็หยิบโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋า เปิดหน้าข้อความขึ้นมา เธอลังเลแล้วส่งข้อความไปหาซังเหยียน: 【พี่ ไม่ได้กลับบ้านนานแล้วนะ เมื่อไหร่จะกลับ? พรุ่งนี้กลับมาหน่อยได้ไหม? ฉันคิดถึงพี่มากเลยTAT】
ยินเจินหรูที่ไม่ทันได้สังเกตก็พูดขึ้นอย่างผิดหวังว่า: “เธอจะไม่ไปจริงๆเหรอ?”
“ไม่อะ”
“พวกเขารอเธออยู่ที่ประตูโรงเรียน……….”
“เธออยากจะไปก็ไปเถอะ” ซังจื้อพูดอย่างใจลอย “วันนี้ฉันไม่มีอารมณ์”
ยินเจินหรู: “อ้อ เพราะเรื่องผู้ปกครองหรอ? แล้วเธอจะทำยังไงล่ะ? หรือว่าครั้งนี้จะเปลี่ยนเป็นให้พ่อมาดี?”
ซังจื้อส่ายหัว: “พวกเขาไม่มาหรอก”
“ฮะ? ทำไมล่ะ?”
ซังจื้อยังคงจ้องไปที่โทรศัพท์ รอซังเหยียนตอบกลับมา: “ฉันไม่บอกพวกเขาน่ะ”
ยินเจินหรูเตือน: “แต่ว่าถ้าพ่อแม่ไม่มาน่ะนะ คุณเฉินหัวเหม่งอาจจะโทรไปหาพ่อแม่เธอก็ได้”
“ไม่เป็นไรหรอก”
“เดี๋ยวฉันให้พี่ชายมา”แต่ยังไม่ทันจะได้พูดประโยคสุดท้าย
ข้อความก็ถูกส่งมาพอดี
ซังเหยียน:【?】
ซังเหยียน:【ไม่ได้หรอก】
“……….”
-
ถึงหน้าประตูโรงเรียน
ยินเจินหรูกล่าวลาเธอแล้วเดินไปที่หยุดตรงหน้ากลุ่มของฟู่เจิ้งชู
ฟู่เจิ้งชูหน้าหงอยขึ้นมาพลางจ้องมองแผ่นหลังซังจื้อแล้วถามขึ้นว่า: “ซังจื้อไม่ไปเหรอ?”
ยินเจินหรูพยักหน้า: “เธอถูกครูดุมาน่ะ ก็เลยอารมณ์ไม่ดี”
ฟู่เจิ้งชูขมวดคิ้ว: “โดนเรียกผู้ปกครองอีกแล้วหรอ?”
ยินเจินหรู: “อื้ม”
“……….”
ครั้งนี้นับดูแล้วก็เกือบจะตามเขาทันแล้วนะ
แล้วแบดบอยเด็กเฮี้ยวอย่างเขาจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน!!!!
ฟู่เจิ้งชูอึ้งไปครู่หนึ่งก่อนจะสาวเท้าเดินกลับเข้าไปในโรงเรียน
หลิวเหว่ยฉีเด็กหนุ่มอีกคนรีบตะโกนเรียก: “เฮ้ย! จะไปไหน! ไม่ไปซื้อหวางโฮ่วซฺยงแล้วหรอ?”
ได้ยินดังนั้น ฟู่เจิ้งชูจึงถอยกลับมาแล้วจิ้มไปที่หน้าผากของหลิวเหว่ยฉีอย่างแรง: “ก็บอกว่าอ่านหนังสือให้มันเยอะๆหน่อยไงเล่า”
หลิวเหว่ยฉีเอามือกุมหัว: “?”
“หวงโฮ่วซฺยงต่างหาก เจ้าโง่”
“……….”
ทางอีกด้านหนึ่ง
ซังจื้อยังคงส่งข้อความหาซังเหยียน-------เธอนั้นโมโหที่เขาแล้งน้ำใจ ไม่สนใจใยดีน้องสาววัย13ที่ไม่มีทางสู้ เพื่อที่จะเข้ามหาวิทยาลัยก็ทอดทิ้งเธอ ปล่อยน้องตามยถากรรม
เธอรอครู่หนึ่ง
ซังเหยียนก็ยังไม่ตอบเธอ
ก็เลยรออีกครู่หนึ่ง
ซังเหยียนคนไร้น้ำใจก็ยังคงไม่ตอบกลับเธอ
ซังจื้อสุดท้ายก็ตัดใจยอมแพ้ นั่งรถเมล์กลับบ้านแล้วก็เริ่มครุ่นคิดว่าถึงบ้านแล้วจะพูดกับพ่อแม่อย่างไรดีกับการถูกเชิญผู้ปกครองรอบที่สามนี้
จะว่ายังไงดีล่ะ?
จะพูดว่าเป็นเพราะเป็นเด็กดีเกินไปอาจารย์อิจฉา ก็เลยโดนเรียกพบผู้ปกครอง
หรือว่าจะเป็นเพราะคำพูดในห้องเรียนชวนให้อาจารย์เข้าใจผิด ทำให้อาจารย์รู้สึกว่าอาชีพถูกคุกคาม
หรือว่าจะบอกว่าอากาศร้อน อาจารย์ก็ขี้เกียจรู้สึกเบื่อๆเลยอยากเชิญผู้ปกครองไปดื่มชา·····
ซังจื้อขยี้หัวตนเองอย่างหงุดหงิด
ดูเหมือนที่ว่ามาทั้งหมดนั่นมันจะไม่ได้เรื่องสักอัน
เงยหน้ามาอีกทีก็พบว่าถึงป้ายแล้ว
ซังจื้อลงจากรถ จากนั้นก็เดินอย่างเนิบนาบมุ่งหน้ากลับบ้าน
เมื่อเข้ามาในบ้านมองเห็นสภาพแวดล้อมที่คุ้นตา ซังจื้อก็เสียวสันหลังวาบอย่างบอกไม่ถูก
เวลานี้ เสียงเรียกของหลีผิงผู้เป็นแม่ก็ดังมาจากในครัว: “จื๋อจื่อกลับมาแล้วเหรอลูก?”
จื๋อจื่อหรือก็คือชื่อเล่นของซังจื้อ
ซังจื้อขานรับแล้วจึงค่อยๆถอดรองเท้าออก เป็นเพราะตอนนี้ในหัวของเธอเต็มไปด้วยความกังวล จึงไม่ได้สังเกตเลยว่ามีรองเท้าผ้าใบเพิ่มมาอีกคู่หนึ่งถอดวางอยู่
หลีผิงตะโกนเรียกเธออีกครั้ง: “จื๋อจื่อ มานี่ มาช่วยแม่หน่อย”
ซังจื้อยังคงวนเวียนอยู่แต่กับว่าจะสารภาพอย่างไรดี “อะไร?” เธอพูด
“ช่วยแม่เอาชามผลไม้นี้ถือขึ้นไปบนห้องพี่เขาให้หน่อย” หลีผิงออกมาจากห้องครัวพลางเอ่ย: “พี่ชายลูกกลับมาแล้ว——”
“หะ หา?” ซังจื้อดึงสติตนเองกลับมาครู่หนึ่ง “พี่กลับมาแล้วเหรอ?”ถามเสียงสูงขึ้นเล็กน้อย
“ก็ใช่น่ะสิ”
ซังจื้อแทบไม่เชื่อหูตัวเอง
ความรู้สึกเซอร์ไพรส์ที่เอ่อล้นขึ้นมา จากซังเหยียนผู้ใจร้ายใจดำน่ารำคาญ เพียงพริบตาเดียวในใจของซังจื้อนั้นก็กลายเป็นพี่ชายสุดเพอร์เฟ็กที่ภายนอกเย็นชาแต่ในใจอบอุ่น เป็นพวกปากไม่ตรงกับใจ
หลีผิงยังพูดอีกว่า “เข้าไปในห้องก็ระวังด้วยล่ะ พี่เขาพา——”
“ค่าๆๆ” ฟังยังไม่ทันจบ ซังจื้อก็รับผลไม้มาแล้ววิ่งตรงไปที่ห้องของซังเหยียน “รู้แล้วค่า! จะเอาไปให้เดี๋ยวนี้เลย!”
มือของหลีผิงที่ตอนนี้ว่างเปล่า พลางมองแผ่นหลังที่วันนี้กระดี๊กระด๊าเป็นพิเศษแล้วเอ่ยขึ้นอย่างไม่ค่อยเข้าใจนัก “วันนี้เป็นอะไรของเขานะ เด็กคนนี้·····”
เมื่อคิดถึงว่าไม่ต้องมาโดนพ่อแม่เทศนา เธอก็อดยิ้มร่าไม่ได้ เธอผลักเปิดประตูห้องของซังเหยียน
ห้องของเขาสว่างและกว้างขวางเนื่องจากแสงอาทิตย์สามารถส่องทะลุเข้ามาได้
เธอสูดกลิ่นความอบอุ่นที่อบอวน ทันใดนั้นก็ได้กลิ่นควันบุหรี่ฉุนกึก ซังจื้อหายใจไม่ออกจนถึงกับต้องไอออกมา
เธอนิ่วหน้าแล้วกวาดตาไปรอบๆห้อง
แสงแดดอ่อนสาดส่อง ปรากฏภาพชายร่างผอมบางนั่งซุกตัวอยู่ที่โซฟาข้างโต๊ะคอมพิวเตอร์ สายตายังคงจับจ้องโทรศัพท์ เขานั่งหันหลังเข้าหาแสง ท่าทางดูจืดจางมัวหมอง
มือข้างหนึ่งเท้าโซฟานิ้วเรียวนั่นกำลังคีบบุหรี่ที่ยังติดไฟแดงวาบอยู่
ซังจื้อรู้สึกว่ารูปร่างนั่นช่างดูคุ้นตา
แต่กลับเป็นชายแปลกหน้าที่เธอไม่ได้คาดคิดจะเจอ
ซังจื้อหยุดฝีเท้าลง กระพริบตาแล้วกระพริบตาอีกอย่างลังเล ยังไม่ทันได้จะตะโกนเรียก “พี่”
ชายหนุ่มก็เงยหน้าขึ้น
คราวนี้เธอเห็นเขาอย่างชัดเจนแจ่มแจ้ง อยู่ดีๆเธอก็กลั้นหายใจอย่างอธิบายถูก
ชายหนุ่มนั้นท่าทางที่ดูจะจืดจางแต่คล่องแคล่ว ใบหน้าปรากฏรอยยิ้มเสแสร้ง ดูๆแล้วเหมือนจะอบอุ่นแต่กลับห่างเหิน
ดวงตาดอกท้อ[ ดวงตาดอกท้อ หมายถึง ดวงตาโตสองชั้น ปลายเรียวยาวดูเย้ายวน]เบิกขึ้นเล็กน้อย นัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อน คิ้วขมวดขึ้นปรากฏแววตาอันแสนเซ็กซี่
กับพี่ชายของเธอที่มีนัยน์ตาสีดำขลับแล้วไม่เหมือนกันสักนิด
ทีแรกกะว่าจะได้เจอกับพี่ชายของเธอ กลับต้องมาเจอกับคนแปลกหน้า ส่วนพี่ชายของเธอนั้นไม่เห็นแม้แต่เงา
ชั่วขณะหนึ่งที่สมองของซังจื้อถึงกับสั่งการไม่ถูก ไม่รู้ว่าควรจะทำตัวอย่างไรดี
ราวกับว่าฉากตรงหน้าหยุดนิ่ง
ทั้งสองต่างนิ่งงันไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ
ไม่นานนัก
ชายหนุ่มก็หลุบตาลง ดับบุหรี่อย่างช้าๆท่าทางดูเกียจคร้าน เขานั้นไม่ได้มีทีท่าว่าจะเอ่ยคำพูดใดๆออกมา เพียงแต่ลุกขึ้นไปเปิดหน้าต่างระบายอากาศอย่างเงียบๆ
เห็นอย่างนั้นแล้ว ซังจื้อจึงได้ตะโกนเรียกไปอย่างกล้าๆกลัวๆ
“…….พี่?”
เมื่อได้ยินเสียงเรียก ชายหนุ่มจึงชะงักแล้วเลิกคิ้วขึ้น เขาจับจ้องมาที่ซังจื้อด้วยดวงตาดอกท้อสีละมุนแฝงความขี้เล่น แล้วจึงเอื้อนเอ่ยขานรับ
“หืม?”
“……….”
การตอบกลับนี้เหมือนสายฟ้าผ่ากลางหัวของซังจื้อ
เธอไม่เข้าใจเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตอนนี้เลยสักนิด
พี่ชายที่ไม่เจอกันไม่กี่เดือน
พอมาเจออีกที ก็กลายเป็นอย่างตรงหน้านี่ไปเสียได้
เธอไม่อยากจะเชื่อ เธอยืนตัวแข็งทื่อราวกับหิน หลังจากที่อัดอั้นมานานเธอจึงพูดขึ้นว่า “พะ พี่………”
เธอหยุดไปครู่หนึ่ง
ซังจื้อกลืนน้ำลายแล้วพูดต่ออย่างกล้าๆกลัวๆ “พี่ไปศัลยกรรมมาเหรอ?”
“……….”