บทที่ 9
ไม่มีใครรู้ว่าเธอตกใจหรือเป็นเพราะความหมางเมินของต้วนเจียสวี่ หลังจากที่เธอพูดจบซังจื้อก็ไม่ได้พูดอะไรอีก มีก็แต่เพียงเสียงสะอึกสะอื้นของเธอเท่านั้น
ฝั่งด้านในหอพักเฉียนเฟยที่ที่นั่งอยู่หน้าคอมพิวเตอร์ จู่ๆก็เคาะที่คีย์บอร์ดอย่างแรงแล้วโก่งคอตะโกนดังลั่น: “ไอ้เวรเอ้ย ไอนี่มันโง่จังวะ!”
ครู่หนึ่ง ซังเหยียนเขวี้ยงหมอนอัดเฉียนเฟย: “ถ้ายังไม่เงียบอีกพ่อจะอัดให้โง่เลยคอยดู”
“ซังเหยียน! นี่มันกำลังเข้าได้เข้าเข็มเลยนะ” เสียงของเฉียนเฟยเสียงดังอย่างกับติดโทรโข่งไว้ “บ้านม๊าเอ็งดิไม่ต้องนอนแล้ว มาเล่น----”
ต้วนเจียสวี่ยกยิ้มบางๆและหันไปปิดประตูระเบียง ก่อนจะยืนเท้าที่ราวพลางทอดสายตาไปยังไฟถนนที่สว่างไสว เขาสงบสติอารมณ์และพยามปรับโทนเสียงของตนให้นุ่มนวล “ปกติถึงโรงเรียนกี่โมง”
ซังจื้อตอบอย่างสะอึกสะอื้น: “เจ็ดโมงสี่สิบ”
“ตื่นเจ็ดโมง?”
“อื้ม”
“งั้นพรุ่งนี้ตื่นซักหกโมง โอเคไหม?”
ไม่มีเสียงตอบรับใดๆจากเธอ
ต้วนเจียสวี่ไม่ได้ใส่ใจนัก เขาคิดพิจารณาคำพูดของตัวเองและพยามจะอธิบายให้เธอฟังถึงเหตุผล: “ตัวเล็ก งานชิ้นนี้น่ะเป็นงานที่อาจารย์มอบหมายให้เธอทำ เป็นเรื่องที่เธอต้องรับผิดชอบ เธอไม่ได้เอามันกลับบ้าน ก็สารภาพกับอาจารย์ไปตรงๆแล้วขอโทษอาจารย์ซะ แต่จะมาให้คนอื่นช่วยทำแบบนี้ไม่ได้นะ”
เสียงปลายสายตอบรับด้วยเสียงสะอื้น
ไม่ได้เจอกันสองเดือนดูเหมือนเธอจะเชื่อฟังขึ้นมาบ้าง
ต้วนเจียสวี่ผ่อนลมหายใจเฮือกหนึ่ง: “ตกลงพรุ่งนี้ตื่นหกโมงได้ใช่ไหม”
ครั้งนี้เธอเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะตอบด้วยน้ำเสียงที่ไม่มั่นใจนัก: “ได้……”
“งั้นพรุ่งนี้-------” ต้วนเจียสวี่คิดคำนวนเวลาครู่หนึ่ง “หกโมงสี่สิบ พี่จะรอเธอที่ป้ายรถเมล์นะแล้วก็จะอยู่เป็นเพื่อนจนเขียนเสร็จเลยโอเคมั้ย?”
“อื้ม” ซังจื้อตอบรับ
ต้วนเจียสวี่: “หยุดร้องได้แล้ว เธอก็ลองไปคิดๆดูว่าอยากจะเขียนอะไรในไดอารี่บ้างเสร็จแล้วก็ไปล้างหน้านอนซะ”
เสียงของซังจื้อยังมีขึ้นจมูกอยู่บ้าง เธอรับปากเขาด้วยเสียงที่กระเง้ากระงอด: “ก็ได้”
พูดจบ เธอก็รีบรีบพูดขอร้องเขาด้วยเสียงที่แผ่วเบา: “พี่ เรื่องนี้อย่าบอกพี่ชายฉันได้ไหม”
ต้วนเจียสวี่หัวเราะ: “ลืมการบ้านแล้วยังไม่ให้บอกพี่เธออีกน่ะหรอ?”
“ไม่ใช่อย่างนั้น” ซังจื้อไม่รู้ว่าอธิบายอย่างไรดี ได้แต่ฝืนพูดไป “ยังไงก็เถอะอย่าบอกพี่นะ”
“โอเค” ต้วนเจียสวี่เองก็ไม่รู้ว่าอะไรทำให้เขามีความอดทนอดกลั้นได้มากถึงขนาดนี้ เขาย้ำเตือนเธออีกครั้ง “พรุ่งนี้ตื่นหกโมงเช้านะ ถึงเวลาแล้วพี่จะโทรหา”
ซังจื้อรับคำแต่โดยดี: “เข้าใจแล้ว”
ต้วนเจียสวี่: “ไปนอนได้แล้วไป”
เมื่อได้อีกฝั่งวางสายลง ต้วนเจียสวี่จึงได้ลดโทรศัพท์ลงมา
หน้าจอโทรศัพท์ตอนนี้ดับไปแล้วแต่โทรศัพท์ของซังเหยียนไม่ได้ตั้งรหัสเอาไว้ เขาเปิดหน้าจอขึ้น ไปที่รายการโทรล่าสุด กวาดสายตาหาเบอร์ของซังจื้อก่อนจะดับหน้าจอลง
เขาเก็บเสื้อผ้าที่ตากแห้งเอาไว้จนแห้งแล้วกลับเข้าหอพักไป
ดูเหมือนว่าตอนนี้ในห้องจะเจี๊ยวจ๊าวขึ้นกว่าเดิม ซังเหยียนที่บัดนี้ลุกขึ้นมาจากเตียงแล้วยืนดูเฉียนเฟยเล่นเกมอยู่ข้างๆ
ต้วนเจียสวี่ส่งโทรศัพท์คืนให้กับซังเหยียน
“ของอะไรติดไปล่ะ?” ซังเหยียนถามขึ้นด้วยน้ำเสียงติดขี้เกียจ
ต้วนเจียสวี่ตอบอย่างไม่ใส่ใจนัก: “ก็แค่ของเล่นเล็กๆน้อยๆ ให้เธอไปเถอะ”
ซังเหยียนพยักหน้าและไม่ได้ถามซักไซ้อะไรเขาอีก
ฝ่ายต้วนเจียสวี่จึงเดินเข้าห้องไปเพื่อชำระร่างกาย ในตอนที่เขาออกมานั้นภายในห้องก็ปิดไฟหมดแล้ว เขาใช้ผ้าขนหนูเช็ดผมแล้วเดินไปยังที่ของตัวเองแล้วเปิดโคมไฟขึ้น เขากวาดตาหาไดอารี่ที่ซังจื้อบอกแต่ก็ไม่พบ
เขาจึงก้มหน้าดูในกระเป๋าเป้
เขาพบกับหนังสือแบบฝึกหัดหลายเล่มและสมุดไดอารี่ปกสีฟ้าที่ทับกันอยู่ในนั้น
ต้วนเจียสวี่ยกยิ้มพลางเอาสมุดการบ้านเหล่านั้นวางไว้ด้านข้างแล้วเอาหนังสือของตนมาบังเอาไว้ ก่อนจะเปิดคอมพิวเตอร์กางเอกสารเพื่อเตรียมงานนำเสนอที่จะมีขึ้นในอีกสองวันข้างหน้า
เสียงของเพื่อนร่วมห้องค่อยๆเบาลงๆจนบัดนี้เงียบสนิท ภายในห้องไม่ว่าจะโคมไฟหรือโทรศัพท์มือถือของทุกคนก็ต่างปิดมืดไปหมดแล้ว ในหอพักมีแสงสว่างจากโคมไฟของเขาเพียงคนเดียวเท่านั้น ขณะนี้เวลาบนหน้าจอคอมพิวเตอร์บอกเวลาตีสอง
ต้วนเจียสวี่ปิดสวิทช์คอมฯและจัดข้าวของบนโต๊ะเล็กน้อย
พลันเหลือบตาไปเห็นมุมของไดอารี่ที่โผล่ออกมาพอดี เขาดึงผ้าขนหนูที่พาดคอออกแล้วหยิบสมุดเล่มนั้นออกมา
เขาเปิดขึ้นมาหน้าหนึ่ง
บังเอิญว่าหน้าที่เขาเปิดขึ้นมานั้นเป็นการบันทึกครั้งล่าสุดพอดี
ต้วนเจียสวี่รู้สึกสนใจขึ้นมาเล็กน้อย จึงถือวิสาสะเปิดอ่านโดยไม่นึกถึงความเป็นส่วนตัวของเด็กสาวเลยสักนิด เขากระพริบตาไล่ความง่วงแล้วจึงกวาดสายจาอ่านอย่างเร็วๆ
ชื่อเรื่องคือ “หมาจรจัดตัวหนึ่ง”
วันพุธที่ 24 เดือนมิถุนายน 2009 ท้องฟ้ามืดครึ้ม
วันนี้อากาศขมุกขมัว ท้องฟ้าเป็นสีเทา ดูท่าว่าฝนน่าจะตก ฉันไม่ได้เอาร่มมาด้วย พอลงจากรถแล้วจึงรีบวิ่งกลับบ้าน ในระหว่างทางกลับนั้น ขณะวิ่งผ่านสนามหญ้า ฉันสังเกตเห็นหมาจรจัดสีดำสนิทตัวหนึ่ง
ฉันมองมันครู่หนึ่งก่อนจะหยุดฝีเท้าลง ในใจของฉันตอนนั้นขมุกขมัวไม่ต่างจากอากาศสักเท่าไร ฉันจ้องหน้ามันครู่หนึ่ง จู่ๆก็รู้สึกเศร้าขึ้นมาจนอดพูดกับมันไม่ได้
เห็นมันแล้วก็ทำให้ฉันนึกถึงพี่ชายของฉัน เพราะมันหน้าเหมือนพี่ชายฉันเปี๊ยบเลย ราวกับว่ามันเป็นลูกพี่ชายฉันแน่ะ
.......
.......
ต้วนเจียบสวี่: “……”
ความง่วงสลึมสลือและความเหนื่อยล้ามาที่สะสมทั้งวันของเขาได้หายไปเป็นปลิดทิ้ง ภายในห้องของหอพักที่เงียบสนิท เขาถึงกับหัวเราะออกมาหากแต่ไม่ได้เสียงดังจนเกินไป
ต้วนเจียสวี่ขำอยู่พักหนึ่งก่อนจะปิดสมุดแล้วเดินเข้าห้องน้ำไปล้างหน้าแปรงฟัน
ขณะที่เดินออกมา เขาสังเกตเห็นสมุดเล่มนั้นอีกครั้ง ต้วนเจียสวี่หลุบตาลงมองแล้วครุ่นคิดครู่หนึ่ง พลันก็นึกถึงคำพูดของซังจื้อขึ้นมา“ก็หนูตื่นไม่ไหวนี่” เขาหยุดครู่หนึ่งก่อนจะนั่งลง ณ ที่เดิมตรงนั้น
เขาหยิบสมุดเล่มใหม่ออกมาแล้วฉีกกระดาษออกมาแผ่นหนึ่ง
-
เช้าวันถัดมา
ซังจื้อที่นอนกระสับกระส่ายอยู่นานสองนาน ฟังเสียงนาฬิกาปลุกด้านข้างที่ยังคงดังขึ้นต่อเนื่องหลายครั้ง ความคิดที่เธอจะเบี้ยวเขาลอยเข้ามาในหัวไม่รู้กี่สิบครั้ง สุดท้ายเมื่อนาฬิกาปลุกดังเธอก็ยอมลุกขึ้นมานั่งแต่โดยดี
เธอเตะผ้าห่มออกอย่างอารมณ์ดี ลุกขึ้นไปล้างหน้าแปรงฟัน
หลีผิงที่ตื่นมาอุ่นโจ๊กอยู่ก่อนหน้า ได้ยินเสียงเปิดประตู เธอยังนึกว่าเป็นซังหรงที่พึ่งตื่น จนกระทั่งเธอเดินออกมาจากครัวจังได้เห็นใบหน้าง่วงๆของซังจื้อนั่งรอกินข้าวอยู่ที่โต๊ะ เธอถึงกับตะลึง: “จื๋อจื่อ? ทำไมวันนี้ตื่นเช้าจังล่ะลูก?”
ซังจื้อขยี้ตา: “ลืมการบ้านไว้ที่โรงเรียนน่ะค่ะ ก็เลยต้องไปเช้าหน่อย”
เป็นเพราะเรื่องแบบนี้ไม่เคยเกิดขึ้น หลีผิงจึงไม่ได้ตำหนิอะไรเธอ เพียงแต่พูดว่า: “งั้นให้พ่อไปส่งไหม? จะได้หลับไปบนรถได้อีกหน่อย”
“ไม่เป็นไรค่ะ” นึกถึงต้วนเจียสวี่ที่บอกว่าจะยืนรอเธอที่ป้ายรถเมล์ ซังจื้อจึงพูดไปว่า: “พอดีนัดกับเพื่อนว่าจะไปด้วยกันน่ะค่ะ”
หลีผิงไม่ได้ถามอะไรเธอมากมายนัก เพียงแต่เดินเข้าครัวไปตักโจ๊กให้เธอ
เมื่อกินข้าวเสร็จแล้ว ซังจื้อสะพายกระเป๋าหนังสือขึ้นแล้วรีบออกจากบ้าน เธอรอที่ป้ายรถเมล์อยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงขึ้นรถรอบที่เช้าที่สุดและหาที่นั่ง
ความง่วงค่อยๆจางหาย หากแต่ความตื่นเต้นกลับเข้ามาแทน
ยิ่งใกล้จุดหมายปลายทางใจเธอยิ่งรู้สึกไม่อยู่กับร่องกับรอย
จากบ้านถึงที่โรงเรียนนั้นไม่นับว่าไกล นั่งรถเมล์เพียงสิบนาทีก็ถึง เมื่อได้ยินเสียงประกาศบอกป้ายรถเธอจึงเดินลงจากรถพร้อมกับผู้โดยสารคนอื่นๆ ใจของเธอตอนนี้อัดแน่นไปด้วยความกังวล
ไม่รู้ว่าความตื่นเต้นนี้นั้นเทท่วมมาจากไหน
ซังจื้อจับกระป๋าเอาไว้พลางมองไปรอบๆ
ไม่เห็นมีใครเลย
เธอเกรงว่าเขาจะโดนป้ายรถเมล์บัง เธอยังเดินวนรอบป้ายรถเมล์อย่างจริงจังรอบหนึ่ง
ก็ยังไม่เจอใครอยู่ดี
เธอจึงหยิบโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋า พบว่าตอนนี้เป็นเวลาหกโมงครึ่ง เธอไม่รู้เบอร์โทรศัพท์ของต้วนเจียสวี่จึงไม่สามารถโทรหาเขาได้ ทำได้แต่เพียงรอเท่านั้น เธอเริ่มจะใจคอไม่ดีและทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้ที่ป้ายรถเมล์
ไม่นานนักมือถือก็สั่นขึ้น
หน้าจอปรากฏเบอร์ที่ไม่รู้จัก
ซังจื้อรับสาย
ที่แท้คนปลายสายก็คือต้วนเจียสวี่ เสียงของเขาที่พูดผ่านโทรศัพท์แล้วฟังดูน่าหลงไหล ทั้งทุ้มต่ำและไพเราะ: “ตัวเล็ก ตื่นแล้วหรอ?”
ได้ยินแล้วยังจะถามอีกว่าตื่นหรือยัง
ซังจื้อเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะตอบด้วยน้ำเสียงติดจะเหยียดยืดเล็กน้อย: “ตื่นแล้ว”
เธอคิดครู่หนึ่งก่อนจะย้อนถาม: “อย่าบอกนะว่าพี่ยังไม่ตื่น”
“หืม?” ต้วนเจียสวี่หัวเราะเบาๆ “ถ้ายังไม่ตื่นแล้วพี่จะโทรหาเธอได้ยังไง?”
“ไม่เห็นจะเห็นพี่เลย”
“อาจจะเป็นเพราะยังไม่ได้ออกจากห้องละมั้ง”
เป็นไปตามที่ซังจื้อคิดไว้ เธอไม่แปลกใจเลยสักนิดเธอว่าพลางเตะหินที่อยู่ตรงหน้าอย่างไม่สบอารมณ์ “นี่พี่ ถ้าพี่มาสายแบบนี้ล่ะก็ มีหวังได้มีแฟนเหมือนหรูฮวา*แน่”
เธอรู้สึกว่าที่เธอพูดไปนั้นมันยังน่ากลัวไม่พอจึงพูดเสริมอีกว่า: “แล้วตัวก็บึกๆเหมือนทรานส์ฟอร์มเมอร์ด้วย”
* หรูฮวาเป็นตัวละครหนึ่งในภาพยนตร์ มีลักษณะเป็นตัวละครผู้ชายที่แต่งตัวเป็นผู้หญิง มีร่างกายกำยำหนวดเคราเฟิ้ม ต่อมา
หรูฮวากลายเป็นคำเรียกแทนผู้หญิงที่หน้าตาอัปลักษณ์
พูดจบ ซังจื้อก็รู้สึกว่ามีบางอย่างอุ่นๆมาสัมผัสที่ใบหน้าของเธอ
ซังจื้อตกใจและหันไปมอง
ต้วนเจียสวี่ที่กำลังยืนพิงเสาป้ายรถเมล์ ในมือถือขวดแก้วที่บรรจุนมเอาไว้ วันนี้เขาอยู่ในเสื้อลายทางสีแดงซีดดูเท่ไม่เบา เขามองมาที่ซังจื้อด้วยนัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนที่บัดนี้เข้มขึ้นไม่น้อยจากแสงแดด
เขาทรงตัวขึ้นมาแล้วพูดด้วยความรู้สึกขำ: “หรูฮวา?”
“……”
“ทรานส์ฟอร์มเมอร์?”
“……”
“นี่ตัวเล็ก” ต้วนเจียสวี่ยิ้มเหมือนไม่ยิ้มแล้วเอ่ยขึ้น: “จะไม่ใจร้ายไปหน่อยหรอ”
คิดไม่ถึงว่าเขาจะมาในพริบตา เมื่อได้เจอหน้าเขา ซังจื้อรู้สึกว่าคำพูดที่เธอพูดไปเมื่อครู่มันออกจะหน้าอายอยู่นิดหน่อย เธอได้แต่ก้มหน้างุดไม่กล้าสบตาหรือพูดคุย
ครู่หนึ่ง
“แต่ว่า” ต้วนเจียสวี่เลิกคิ้วขึ้นพลางยักขวดนมใส่มือของเธอแล้วพูดอย่างครุ่นคิดว่า: “ฟังที่เธอพูดแล้ว…… เป็นการจับคู่ที่------”
“……”
“น่าสนใจดีเหมือนกันนะ”
“……”