ตอนที่แล้วบทที่ 7 ย้ายหอ (1)
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 9 ย้ายหอ (3)

บทที่ 8 ย้ายหอ (2)


เธอได้ยินเสียงลมพัดผ่านข้าง ๆหู

ได้กลิ่นมะนาวที่ปนเปกับกลิ่นของบุหรี่อ่อน ๆ ร่างของชายหนุ่มที่อาบย้อมไปด้วยแสงแดด ทำให้เขาดูอ่อนโยนเสียจริง ๆ

สองเดือนที่ไม่ได้เจอกัน ผมของเขาดูเหมือนจะตัดสั้นลงเล็กน้อย ไม่รู้ว่าเธอรู้สึกไปเองหรือเปล่าแต่ดูเหมือนเขาจะสูงขึ้น ส่วนที่เหลือก็ไม่มีอะไรต่างออกไปนัก

เขายังคงดูสบาย ๆ ไร้ระเบียบและยังคงเปล่งประกาย

หัวใจของซางจื้อเต้นตึกตัก

เพราะสิ่งที่เขาพูดนั้นมันช่างทิ่มใจของเธอเหลือเกิน ทำให้เธอนั้นรู้สึกประหม่าราวกับว่าไปทำเรื่องน่าละอายใจมา ประหม่าจนไม่รู้แม้กระทั่งว่าจะเอามือวางไว้ตรงไหนดี เธอยืดหลังตรงโดยไม่รู้ตัว

ครู่หนึ่งเธอก็ยัดตุ๊กตาใส่มือของเขาพลางเอ่ย “ก็หนูไม่รู้ว่ามันเป็นของพี่นี่”

ซางจื้อก้มหน้าลงพลางก้าวถอยห่างออกมาก้าวหนึ่ง

เมื่อไม่ได้ยินการตอบโต้จากอีกฝ่าย เธอจึงชี้ไปที่กล่องหนังสือในรถ แล้วอธิบาย “หนูมาช่วยพี่ย้ายหอน่ะ เห็นว่ามีของอยู่ในรถเลยจะช่วยหยิบขึ้นไปให้”

ครู่หนึ่งผ่านไปเขายังคงนิ่งเงียบ

ซางจื้อลังเลก่อนจะพูดเสริมอีกประโยค “ถ้ารู้ว่าตุ๊กตานั่นเป็นของพี่ หนูก็คงจะไม่ช่วยถือไปหรอก”

“……” ต้วนเจียสวี่ขยับคิ้วเล็กน้อยก่อนจะยืดตัวขึ้น “ถ้ารู้ว่าเป็นของพี่จะไม่ช่วยถือเลยเหรอ?” ต้วนเจียสวี่ถามย้ำเธออีกครั้ง

ซางจื้อพยักหน้าให้เขาทันที “ไม่แน่นอน”

“ไม่เลยงั้นเหรอ?” ต้วนเจียสวี่พูดอย่างแสนขี้เกียจด้วยน้ำเสียงตัดพ้อ “สาวน้อย มีน้ำใจหน่อยไม่ได้หรือไง”

“…….”

ถือให้ก็บอกว่าเธอเป็นโจร ไม่ถือก็บอกว่าไม่มีน้ำใจ

โลเลจริง ๆ ผู้ชายคนนี้

ต้วนเจียสวี่ยังพูดอีกว่า “พี่อุตส่าห์ช่วยเธอไว้แท้ ๆ จำไม่ได้แล้วเหรอ?”

ได้ยินดังนั้นทำให้ซางจื้อรู้สึกไม่สบอารมณ์ขึ้นมา “จำได้” เธอพึมพำ

“งั้นจะไม่ใจดีกับพี่หน่อยเหรอ?”

ซางจื้อมองเขาแล้วเงียบ

ต้วนเจียสวี่หัวเราะเบา ๆ และหยุดพูดแซวเธอก่อนจะส่งตุ๊กตาให้ “ถ้าชอบก็ถือเอาไว้เล่นเถอะ”

ซางจื้อยื่นมือขวาออกไปก็พลันนึกถึงประโยค “ชอบพี่เหรอ?” ที่เขาเอ่ยไว้เมื่อครู่ ทำให้เธอตัดสินใจชักมือกลับ

“ไม่อยากได้?” ต้วนเจียสวี่ดึงมือกลับมา “งั้นโยนทิ้งแล้วนะ”

ซางจื้อหยุดครู่หนึ่งก่อนจะรับมันมา

ต้วนเจียสวี่เห็นท่าทางของเธอแล้วก็รู้สึกตลก “ถ้าอยากได้ก็เอาไปเถอะ ทำไมถึงแปลกขนาดนี้เนี่ยเด็กคนนี้”

ได้ยินดังนั้นซางจื้อก็รู้สึกไม่พอใจขึ้นมาเล็กน้อย “ก็พี่เพิ่งบอกว่าฉันเป็นโจรนี่”

“ก็แค่ล้อเล่นน่า” ต้วนเจียสวี่หยิบหนังสือตั้งนั้นออกมาจากรถแล้วใช้มืออีกข้างหนึ่งปิดฝากระโปรงหลัง “ไปเถอะ ขึ้นข้างบนกัน”

ซางจื้อเดินตามเขาไปอย่างเงียบ ๆ

ต้วนเจียสวี่ดูมือถือก่อนจะถามเธอว่า “งอนเหรอ?”

ซางจื้อยังคงนิ่งเงียบ

ต้วนเจียสวี่ “งั้นเอาตุ๊กตาตัวนี้ไปเป็นการไถ่โทษแล้วกัน โอเคไหม?”

“มันน่าเกลียดจะตาย” ซางจื้อพูดออกไปตามตรง

“น่าเกลียดเหรอ?” ต้วนเจียสวี่เลิกคิ้วแล้วมองไปที่ตุ๊กตา “ก็ไม่ขนาดนั้นนะ”

“ทำไมพี่ถึงซื้อมันมาล่ะ”

“ไม่ได้ซื้อมาหรอก” ต้วนเจียสวี่ครุ่นคิดครู่หนึ่งก่อนจะพูดขึ้นอย่างไม่ใส่ใจนัก “ลืมไปแล้วว่าได้มาจากไหน”

ซางจื้อดูเหมือนจะเข้าใจอะไรบางอย่างขึ้นมา เธอจึงเอ่ยถาม “เป็นของคนอื่นให้มางั้นเหรอ?”

ต้วนเจียสวี่ “หืม? เหมือนจะเป็นอย่างงั้นนะ”

ซางจื้อไม่สนใจมันอีกแล้ว “งั้นพี่ก็เอาคืนไปเถอะ”

“ไม่ชอบเหรอ?” ต้วนเจียสวี่ยื่นมือไปหาเธอ “งั้นก็เอาคืนมาเถอะ เดี๋ยวพี่เก็บไว้เอง”

ซางจื้อคืนใหเขาไปอย่างเงียบ ๆ

“กระเป๋าหนักรึเปล่า” ต้วนเจียสวีถามขึ้น

ซางจื้อ “ก็พอได้อยู่”

“ต้องขึ้นไปชั้น 5 นะ ไหวไหม?” ต้วนเจียสวี่ถามอีก

“ไหวอยู่แล้ว นี่ฉันอายุสิบสามนะไม่ใช่สามขวบ” ซางจื้อขมวดคิ้ว ไม่พอใจที่เขาดูแลเธอเหมือนเธอเป็นเด็กทารก “แต่ว่าถ้าเกิดเดินไม่ไหวขึ้นมา พี่จะให้ฉันขี่หลังขึ้นไปไหม?”

ต้วนเจียสวี่กวาดตามองเธอขึ้นลงรอบหนึ่ง “ก็ได้อยู่นะ”

ซางจื้อ “เพ้อเจ้อ”

ต้วนเจียสวี่หยุดครู่หนึ่งจู่ ๆ ก็หัวเราะออกมา “พี่เนี่ยนะเพ้อเจ้อ?”

ซางจื้อเม้มปาก “ก็เป็นแบบนั้นตั้งแต่แรกอยู่แล้วนี่”

“โอเค” ต้วนเจียสวี่ยอมรับเพราะขี้เกียจจะต่อความยาวสาวความยืด “พี่เพ้อเจ้อเอง”

ตุ๊กตาตัวนั้นถูกเขานำไปวางไว้บนสุดของตั้งหนังสือ ตัวของมันก็ไม่ได้เล็กมิหนำซ้ำรูปร่างก็ออกจะแปลก ๆ มองดูแล้วเด่นชัด ซางจื้อ

ลอบมองมันอยู่หลายครั้ง

ถึงแม้บันไดจะกว้างขวางแต่ก็มีคนขึ้น ๆ ลง ๆ อยู่เยอะเช่นกัน

ด้วยความเกรงว่าเธอจะถูกเบียด ต้วนเจียสวี่จึงเดินนำหน้าแล้วให้เธอเดินตามหลัง

ทั้งสองเดินขึ้นไปที่ชั้น 5 โดยไม่มีใครพูดอะไร

ซางจื้อที่เดิมทีเธอก็ไม่ใช่คนที่แรงเยอะอะไรอยู่แล้ว เวลานี้เธอถึงกับหอบแฮก ๆ ใบหน้ามนมีเลือดฝาดปรากฏขึ้นเล็กน้อยหน้าผากมีเหงื่อผุดพราย เมื่อเดินขึ้นไปถึงบันไดขั้นสุดท้าย เธอเอามือยันกำแพงแล้วนั่งยอง ๆ ลงกับพื้นและไม่ทีท่าว่าจะเดินต่อ “ไม่ไหว ขอพักก่อน”

“……”

ต้วนเจียสวี่มองเธอครู่หนึ่ง “ได้สิ เดี๋ยวอีกชั่วโมงนึงค่อยมารับนะ”

“……”

ซางจื้อคว้าเข้าที่ขาขวาของเขาแล้วพูดขึ้นอย่างหน้าไม่อาย “ก็แค่พักแป๊บเดียวเอง ไม่ใช่ชั่วโมงนึงสักหน่อย”

“หนูน้อย แรงน้อยจังเลยนะ” ต้วนเจียสวี่พูดแหย่

“มันก็เห็นชัด ๆ อยู่แล้วไม่ใช่หรือไง ว่ามหาลัยพวกพี่น่ะขี้เหนียว ขนาดลิฟต์ยังไม่มีเลย” ซางจื้อเถียง

“ทั้งตึกมีแค่หกชั้นจะสร้างลิฟต์ไปทำไมเล่า”

“งั้นพี่ก็โชคร้ายหน่อย ทั้งตึกมีหกชั้นอยู่ตั้งชั้น 5”

“ลุกขึ้นมาได้แล้ว” ต้วนเจียสวี่ดูโทรศัพท์ “ขืนนั่งนานกว่านั้นขาเธอได้ชาแน่”

เขาดูเหมือนจะต้องรีบไปทำอะไรบางอย่าง

ครั้งนี้ซางจื้อได้แต่ลุกขึ้นมาอย่างเชื่อฟัง

ทั้งสองเดินไปตามทางเดินของอาคาร

ซางจื้อเดินเลี้ยวซ้ายขวาตามเขาไปพร้อมทั้งมองไปรอบ ๆ อย่างอยากรู้อยากเห็น

ในที่สุดก็มาถึงหน้าประตูห้อง 525

ประตูไม่ได้ปิดไว้ ต้วนเจียสวี่เดินเข้าไปพร้อมกับวางหนังสือลงบนโต๊ะใกล้ ๆ

ซางจื้อเดินเข้าไปอย่างช้า ๆ พลางชะโงกหน้ามองแล้วเจอเข้ากับซางเหยียนพอดี

เตียงของซางเหยียนนั้นอยู่ตรงข้ามกับเตียงของต้วนเจียสวี่ เวลานี้เขานั่งอยู่บนเก้าอี้แล้วเอาขาพาดโต๊ะ จิบน้ำสบายใจเฉิบ “เหนื่อยหน่อยนะครับพี่น้อง”

ท่าทางของเขาดูเหมือนจะอยากโดนอัดสักตุ้บ

ซางจื้อพูดขึ้นอย่างหงุดหงิด “ไหนบอกว่าไม่ว่างลงไปรับไง”

ซางเหยียนพูดหน้านิ่ง “ก็ใช่ไง เพิ่งจะเก็บของเสร็จ เพิ่งจะได้นั่งพักเนี่ย”

เมื่อได้ยินเสียงที่ไม่คุ้นเคย ชายรูปร่างอ้วนคนหนึ่งก็ชะโงกหน้าออกมา “เฮ้ย นี่คือน้องสาวซางเหยียนเหรอ?”

ซางจื้อพยักหน้า “สวัสดีค่ะ”

แล้วชายอีกคนหนึ่งก็โผล่หน้ามาจากระเบียง “แม่ย้อย น้องน่ารักว่ะ”

ซางเหยียนบิดขวดน้ำก่อนจะโยนขวดน้ำออกไป “นี่อย่าพูดจาหยาบคายสิ”

ชายหนุ่มรับขวดอย่างว่องไวก่อนจะโยนมันให้เขา “คิดว่าตัวเองเป็นใครมาสั่งสอนคนอื่น ปกตินายเองก็......” ยังไม่ทันได้พูดจบ ดูเหมือนเขานึกอะไรขึ้นได้ ว่าแล้วก็ขำคิก ๆ “อ้อ ฉันปากไวไปหน่อย น้องหนูอย่าลอกเลียนแบบแล้วกันนะ”

ซางจื้อพยักหน้าอย่างเงียบ ๆ

สายตาของเธอมองไปยังต้วนเจียสวี่ก่อนจะรีบก้มหน้าลง

ต้วนเจียสวี่เก็บกวาดของที่อยู่บนโต๊ะแล้วจึงลากเก้าอี้ของตนเองไปไว้ข้าง ๆ ซางเหยียน มุมปากของเขายกยิ้มขึ้นเล็กน้อย ที่เห็นคนพวกนั้นเรียกเธอแบบนั้น “น้องหนู นั่งนี่สิ”

“โอ้” ซางจื้อตอบรับ

แล้วต้วนเจียสวี่ก็เดินเข้าห้องน้ำไป

ห้องพักแคบ ๆ ในหอพักบัดนี้เริ่มจะมีเสียงจ้อกแจ้กเฮฮาขึ้นมา ฝ่ายซางจื้อก็พอจะเข้าใจสถานการณ์คร่าว ๆ ขึ้นมาบ้างว่าคนที่อ้วน ๆ นั่นชื่อเฉียนเฟย ส่วนคนที่พูดจาหยาบคายหน่อยชื่อเฉินจวิ้นเหวิน ทุกคนดูเข้ากันได้เป็นอย่างดีและยังดูอึกทึกครึกโครมอีกต่างหาก

ความสัมพันธ์ของซางเหยียนกับพวกเขาก็ดูจะไม่เลวเลยทีเดียว เขาเล่นโทรศัพท์พูดคุยกันไป

ในระหว่างที่ทั้งสามคนพูดคุยกันอยู่นั้นก็ได้ข้อสรุปว่าพวกเขาจะออกไปกินบาร์บีคิวกัน

และจะพาซางจื้อไปด้วยกันกับพวกเขาด้วย

ไม่นานนัก ต้วนเจียสวี่ก็ออกมาจากห้องน้ำ เขาเปลี่ยนเสื้อแล้วกลับมายังที่ของตนเองโดยไม่ได้ร่วมวงสนทนากับพวกเขาด้วย เขาเปิดลิ้นชักแล้วหยิบกระเป๋าสตางค์ออกมา

เฉินจวิ้นเหวินมองไปทางเขา แล้วเอ่ยด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม “เพื่อนสวี่ พวกเราเพิ่งจะย้ายเข้ามาวันนี้ ไปกินหม้อไฟด้วยกันเถอะ”

“เย็นนี้?” ต้วนเจียสวี่ส่ายหน้า “พวกนายไปเหอะ ฉันมีเรื่องต้องทำน่ะ”

ซางจื้อถึงกับหันขวับ

“ไปไหนอีกเล่า หรือว่านายมีแฟนแล้ว! ไม่ได้นะ! พวกเราน่ะเป็นชาวแก๊งเด็กหอ! ถ้านายคิดจะหาแฟนล่ะก็! ต้องช่วยฉันหาก่อนสิ!” เฉียนเฟยพูด

เฉินจวิ้นเหวินเถียง “ไม่ ต้องช่วยฉันก่อนสิ”

เฉียนเฟย “แต่ฉันไม่เรื่องมากนะ นิสัยพอใช้ได้ก็โอเคแล้ว”

เฉินจวิ้นเหวิน “เป็นผู้หญิงก็โอเค”

เฉียนเฟย “ผู้ชายก็ได้เหมือนกัน”

“…….”

ซางจื้อจ้องมองพวกเขาแล้วเอ่ยถามขึ้น “พวกพี่ไม่ได้จีบพี่ชายหนูอยู่หรอกเหรอ?”

ซางเหยียน “……”

เฉินจวิ้นเหวินมองด้วยสายตาแลดูหวาดกลัว “หนูน้อย ข้าวไม่อาจกินเลอะเทอะ คำพูดก็ไม่อาจพูดเลอะเทอะได้เช่นกันนะ”

เฉียนเฟยลุกขึ้นมาจากเตียงแล้วมองไปที่ซางเหยียนอย่างครุ่นคิดพลางใช้มือลูบคางของตนเอง “จะว่าไปแล้วซางเหยียนก็หล่ออยู่เหมือนกันเนี่ย”

หน้าผากของซางเหยียนถึงกับกระตุก “พวกนายไปไหนก็ไปเลยไป”

ต้วนเจียสวี่ที่อยู่อีกฝั่งก็ยิ้มอย่างเงียบ ๆ พลางสะพายเป้สีดำขึ้น “ฉันไปก่อนนะ พวกนายก็คุยกันไปเถอะ” เขาเดินออกไปได้ครู่หนึ่งก็นึกขึ้นมาได้ เขาเดินกลับมาหาซางจื้อแล้วลูบหัวเธอ “ตุ๊กตานั่นน่ะ ถ้าเธออยากได้ก็หยิบไปได้เลยนะ”

แล้วเขาก็ออกจากหอพักไป

เฉินจวิ้นเหวินถอนหายใจเฮือกหนึ่ง “งั้นพวกเราก็ไปกันเถอะ”

เฉียนเฟย “โอเค ฉันก็ชักจะหิวแล้วล่ะ”

ซางเหยียนมองมาที่น้องสาวของเขา “นี่ยัยดื้อ จะไปกินหม้อไฟไหม้”

ซางจื้อเงียบครู่หนึ่งก่อนส่ายหัวปฏิเสธ “ฉันจะกลับบ้าน”

“งั้นกินอย่างอื่นไหม?” ซางเหยียนขมวดคิ้ว “กินเสร็จแล้วพี่จะไปส่งเธอกลับบ้าน”

ซางจื้อส่ายหัว

ซางเหยียนสุดจะทน เขาเอ่ยแล้วลุกขึ้นยืน “เธอลองคิดดูก่อนก็แล้วกัน ฉันจะไปเข้าห้องน้ำก่อน”

ซางจื้อลุกขึ้นยืนอย่างเงียบ ๆ แล้วยกเก้าอี้ของต้วนเจียสวี่กลับเข้าที่ จากนั้นก็สังเกตเห็นตุ๊กตาตัวนั้นที่วางอยู่บนโต๊ะของเขา เธอลังเลว่าจะหยิบมันไปดีหรือไม่

เฉียนเฟยที่กำลังใส่รองเท้านั้นเห็นเข้ากับท่าทางของซางจื้อพอดี เขาจึงพูดขึ้นว่า “ตุ๊กตานั่นต้วนเจียสวี่ยังไม่โยนทิ้งไปอีกเหรอ?”

เมื่อได้ยินดังนั้น ทำให้เฉินจวิ้นเหวินมองมาด้วยอีกคน “เหมือนว่าหมอนั่นจะชอบเอาวางไว้บนเตียงนะ”

เฉียนเฟย “นอนทั้ง ๆ ที่มีวางของแบบนั้นอยู่ข้าง ๆ เนี่ยนะ ไม่น่ากลัวไปหน่อยหรือไง”

ซางจื้อจับตุ๊กตาแน่น ก่อนจะรวบรวมความกล้าถามขึ้น “ตุ๊กตาตัวนี้ แฟนพี่ต้วนเจียสวี่เป็นคนให้มาเหรอ?”

เฉินจวิ้นเหวินพูดขึ้น “แฟนเฟินอะไร อย่างหมอนั่นจะเอาเวลาที่ไหนไปมีแฟน”

เฉียนเฟย “ใช่ หมอนั่นยุ่งอย่างกับหมา”

เฉินจวิ้นเหวิน “ทำไมฉันไม่เห็นยุ่งเลย ก็ไม่มีแฟนเหมือนกัน”

“จะเพราะอะไรได้ล่ะ ก็นายมันขี้เหร่ยังไงล่ะ” เฉียนเฟยมองตุ๊กตาในมือของซางจื้อแล้วครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง “ตุ๊กตาตัวนี้เหมือนว่าต้วนเจียสวี่จะได้จากการไปแข่งอะไรมาสักอย่างนี่แหละ ฉันจำได้”

เฉินจวิ้นเหวิน “ใช่ เทอมที่แล้วน่ะ”

พอได้ยินดังนั้น ซางจื้อจึงคลายมือลงแล้วถอนหายใจเบา ๆ

ในหอพักนั้นมีห้องน้ำอยู่สองห้อง แต่เพราะด้วยมีซางจื้ออยู่ด้วยทำให้ชายหนุ่มทั้งสองไม่กล้าที่จะเปลี่ยนเสื้อผ้า เขาจึงต้องเอาเสื้อเข้าไปเปลี่ยนในห้องน้ำแทน

ซางจื้อมองตุ๊กตาในมือก่อนจะค่อย ๆ รูดซิปเปิดกระเป๋าออกกะว่าจะเอาตุ๊กตายัดใส่ในกระเป๋า

แต่ว่าขนาดของตุ๊กตานั้นใหญ่เกินไป ใส่ไปได้เพียงครึ่งตัวอีกครึ่งก็โผล่ออกมา เธอเอาของทุกทั้งหมดออกมาวางบนโต๊ะ

ของต้วนเจียสวี่ ทำให้เหลือพื้นที่เพิ่มอีกครึ่งหนึ่ง ครั้งนี้เธอยัดตุ๊กตาทั้งตัวลงกระเป๋าได้สำเร็จ

ซางจื้อยิ้มอ่อนก่อนจะรูดซิปปิด

ครู่หนึ่ง ซางเหยียนกับรูมเมตอีกสองคนของเขาก็ออกมาจากห้องน้ำ

ซางจื้อสะพายกระเป๋าขึ้น เธอทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นแล้วเดินไปหาซางเหยียน

“คิดออกหรือยัง?” ซางเหยียนว่าพลางใช้กระดาษทิชชูเช็ดมือ

ซางจื้อ “หนูจะกลับไปกินที่บ้าน”

ซางเหยียนพยักหน้า “โอเค งั้นพี่ไปส่งเธอที่ป้ายรถเมล์”

-

เวลา 22.00 น.

เมื่อต้วนเจียสวี่กลับมาถึงหอพัก

เฉินจวิ้นเหวินและเฉียนเฟยที่กำลังนั่งเลนเกมอยู่หน้าคอมพิวเตอร์ด้วยเสียงเอะอะโวยวาย ซางเหยียนที่นอนไม่ไหวติงอยู่บนเตียง แต่เมื่อได้ยินเขาเดินเข้ามาจึงผงกหัวขึ้นมาอย่างขี้เกียจ “เอ้ย ต้วนเจียสวี่”

ต้วนเจียสวี่วางกระเป๋าลงบนโต๊ะ “ว่าไง”

“เมื่อกี้น้องสาวฉันโทรมาน่ะ” ซางเหยียนว่าพลางยื่นโทรศัพท์ให้กับเขา “บอกว่ามีของ ๆ นายติดไปน่ะ ถามว่าคืออะไรยัยนั่นก็ไม่ยอมบอก ลองโทรกลับไปถามดูเองแล้วกัน”

ต้วนเจียสวี่เดินไปเปิดตู้เสื้อผ้าแต่กลับไม่เหลือเสื้อของเขาอยู่ในตู้ “โทรเสร็จแล้วก็เอามาคืนฉันแล้วกัน”

ซางเหยียนง่วงตาจะปิด เขาเพิ่มแสงที่หน้าจอโทรศัพท์แล้วจึงหาเบอร์ของซางจื้อ เมื่อหาเจอแล้วเขาจึงส่งโทรศัพท์ให้กับต้วนเจียสวี่

เขารับและยกหูโทรพลางเดินไปหยิบเสื้อที่ระเบียง

เสียงจากปลายสายพูดขึ้น “พี่?”

ต้วนเจียสวี่พูดด้วยน้ำเสียงออกไปทางขี้เกียจ “เด็กน้อย ของอะไรติดกระเป๋าเธอไปล่ะ”

“…..” ซางจื้อเงียบครู่หนึ่งก่อนจะรีบพูดออกไปอย่างประหม่าว่า “พี่ ไม่ใช่ของของพี่ติดมาหรอก เป็นของของหนูเองที่ติดพี่ไปน่ะ”

“ของอะไร”

“การบ้าน” ซางจื้อบอกไปตามตรง

ต้วนเจียสวี่ตอบรับในลำคออย่างไม่ใส่ใจนัก “เดี๋ยวพรุ่งนี้ก็ฝากพี่ชายเธอไปให้ก็แล้วกัน”

“หนูยังไม่ได้ทำ.......”

“…….”

ต้วนเจียสวี่ที่กำลังเก็บเสื้อผ้าอยู่ถึงกับชะงัก เขาเงียบอยู่ครู่หนึ่ง และแล้วเขาก็เข้าใจแผนการที่เธอนั้นอยากจะคุยกับเขา

“จะให้พี่ช่วยเธอเขียนล่ะสิ”

รู้สึกว่าขอเรียกร้องของเธอเองนั้นมันดูจงใจชัด ๆ ซางจื้ออธิบายอย่างตะกุกกตะกัก “ปกติแล้วหนูก็เขียนเองได้นั่นแหละ ตะ... แต่ครั้งนี้ต้องเขียนไดอารี่ 500 ตัวอักษรแหนะ พรุ่งนี้เช้าไปเขียนที่โรงเรียนไม่ทันหรอก”

“…….”

ต้วนเจียสวี่ยิ้มออกมาอย่างงง ๆ “แล้วทำไมไม่ให้พี่เธอช่วยล่ะ”

ซางจื้อ “หมอนั่นไม่ช่วยเขียนหรอก”

ต้วนเจียสวี่ “ก็เลยมาให้พี่ช่วยเขียนเนี่ยนะ?”

แล้วทั้งสองฝ่ายก็ต่างเงียบ

ครู่หนึ่งผ่านไป เสียงของซางจื้อที่ดูเหมือนจะร้องไห้ พูดขึ้นอย่างอัดอั้นตันใจ “พี่ช่วยเขียนหน่อยเถอะนะ.......อาจารย์คนนั้นน่ะดุจะตาย ก่อนหน้านี้วิชาอื่นไม่ทำก็ได้ แต่วิชาภาษาและวรรณกรรมนี่ หนูไม่กล้า”

“…….”

“ทำไมร้องไห้อีกแล้วล่ะ” ต้วนเจียสวี่ไม่ได้พูดอะไรแต่ในใจกลับมีความสุข “เอางี้นะ พรุ่งนี้เธอก็ตื่นเช้าหน่อย ไปเขียนที่โรงเรียน พี่ก็จะตื่นแต่เช้าเอาไปให้เธอเหมือนกัน โอเคไหม?”

ซางจื้อสะอึกสะอื้น “ไม่เอา”

ต้วนเจียสวี่ถาม “ทำไมไม่เอาล่ะ”

“ก็หนู หนูตื่นไม่ไหว ....ฮือ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ...”

“…..”

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด