บทที่ 8 ให้ตายเถอะ ใครจะไปทนได้
ในช่วงกลางเดือนพฤศจิกายน หลังจากฝนตก อากาศก็เริ่มเย็นลง เมื่ออากาศเริ่มหนาวสวี่สุยก็เปลี่ยนเสื้อผ้าให้หนาขึ้น เธอกำลังเตรียมตัวเพื่อเข้าร่วมการแข่งขันทักษะทางการแพทย์ที่จะเกิดขึ้นเร็ว ๆ นี้ ดังนั้นเธอจึงถือแก้วเก็บความร้อน โดยมีหนังสือเจ็ดหรือแปดเล่มอยู่ที่ข้อศอกของเธอ และไปห้องสมุด หลังเลิกเรียนทุกวัน
ในวันอังคาร สวี่สุยกำลังเรียนอยู่ในห้องสมุดตามปกติ ยังมีเวลาอีก 2 วันก่อนสอบ เธอวางแผนที่จะจัดระเบียบเนื้อหาทั้งหมดและทบทวนเนื้อหาที่สำคัญ
ห้องสมุดเงียบสงัด เงาสะท้อนเรียงกันเป็นแถว ทุกคนต่างทำหน้าที่ของตัวเอง เวลาสี่ทุ่มครึ่ง สวี่สุยนั่งอยู่ที่โต๊ะ เธอมองดูท้องฟ้าด้านนอก เมฆเริ่มมืดครึ้มลงและดูเหมือนว่าฝนกำลังจะตก
ตอนเช้าเธอลืมพกร่มมาด้วย หูเชี่ยนซีส่งข้อความมาเพื่อเตือนเธอว่าฝนกำลังจะตกให้เธอรีบกลับหอพัก สวี่สุยเปิดสมุดบันทึกโดยตั้งใจจะกลับไปหลังจากทบทวนเนื้อหาสำคัญเรียบร้อยแล้ว
ทันใดนั้น ก็มีชายหนุ่มคนหนึ่งเดินผ่านมา และหอบหายใจเบา ๆ เขาหยิบกระติกน้ำร้อนออกมา คลายเกลียวออก จิบแล้ววางลงบนโต๊ะ จากนั้นจึงหยิบหนังสือออกมาแล้วนั่งลงทบทวน
สวี่สุยเหลือบมองอย่างไม่ใส่ใจนัก เขามาจากคณะเดียวกันกับเธอ แต่เขากำลังอ่านหนังสือปีสาม
เมื่อสวี่สุยกำลังจะเดินออกไป อีกฝ่ายก็เอื้อมมือขวาออกไปหยิบบางอย่าง แต่เมื่อเขาดึงมือกลับเข้าไป เขาก็บังเอิญไปโดนแก้วน้ำเก็บความร้อนซึ่งฝาปิดไม่สนิท ทำให้มันหล่นลงบนโต๊ะจนเกิดเสียงดัง น้ำร้อนกระเด็นโดนสมุดบันทึกของสวี่สุยจนเปียกโชก
สวี่สุยหยิบสมุดบันทึกขึ้นมาและสลัดน้ำออกทันที ซือเยว่เจี่ยรีบขอโทษและยื่นกระดาษทิชชู่ให้ สวี่สุยหยิบกระดาษทิชชู่และเช็ดออกอย่างสบาย ๆ ในขณะที่เธอกำลังจะเดินออกไป
“ฉันขอโทษจริง ๆ เธอส่งสมุดบันทึกของเธอมาสิ ฉันจะช่วยเช็ดให้แห้ง” ซือเยว่เจี่ยเรียกเธอไว้ น้ำเสียงเต็มไปด้วยความรู้สึกผิด
“ไม่เป็นไร”
เสียงนั้นสงบอย่างน่าประหลาด ซือเยว่เจี่ยลืมตาขึ้นมองใบหน้าที่มีผิวขาวเนียนและริมฝีปากสีแดง สวี่สุยรีบพูดและเดินจากไปพร้อมกับหนังสือ
การเคลื่อนไหวเมื่อครู่ไม่ได้เบาเลย ชายหนุ่มข้าง ๆ ถามเขาว่า “รุ่นพี่ ไม่เป็นไรใช่มั้ย?”
ซือเยว่เจี่ยส่ายหัวและยิ้ม “ไม่เป็นไร”
บนถนนฝนเริ่มตกปรอย ๆ สวี่สุยวิ่งเหยาะ ๆ ไปกับหนังสือบนหัว เมื่อผ่านไปครึ่งทางก็มีชายหนุ่มคนหนึ่งเดินเข้ามาหาเธอพร้อมกับร่มด้ามยาวและถามว่า “สวี่สุยใช่มั้ย?”
สวี่สุยพยักหน้าและอีกฝ่ายก็ยัดร่มสีแดงให้เธอและจากไปโดยไม่ได้พูดอะไร หลังจากนั้นไม่นาน โทรศัพท์ของสวี่สุยก็ดังขึ้น เป็นหูเชี่ยนซีโทรมา “เธอได้ร่มหรือยัง?”
“ได้รับแล้ว เพื่อนของเธอเอาร่มมาให้ฉันเหรอ?” สวี่สุยยิ้ม
“ไม่ใช่แน่นอน นั่นเป็นร่มที่ฉันจ้างคนเอาไปให้เธอ” หูเชี่ยนซีนอนอยู่บนเตียง ยกขาขึ้นและพูดว่า “กษัตริย์องค์นี้ไม่เต็มใจที่จะให้นางสนมของเขาโดนฝนสักหยด”
“ขอบคุณนะ กษัตริย์หู!”
ฝนเริ่มตกหนักขึ้นเรื่อย ๆ เทลงมาจนเกิดเสียง “เป๊าะแป๊ะ” บน แอ่งน้ำยังมีดอกไม้เล็ก ๆ หลากสีบานอยู่เต็มไปหมด เมื่อกำลังจะถึงหอพักกางเกงของสวี่สุยก็เปียกไปหมด
สวี่สุยถือที่จับร่มกำลังจะเดินไปข้างหน้า ทันใดนั้นแมวสีส้มที่คุ้นเคยก็กระโดดออกมาจากพงหญ้ามันร้อง “เหมี้ยว” เรียกสวี่สุยและเข้าไปอยู่ใต้ร่มของเธอโดยอัตโนมัติ
คนหนึ่งคนและแมวหนึ่งตัวเดินเข้ามาที่ทางเดินที่ชั้นหนึ่ง สวี่สุยเก็บร่มนั่งยอง ๆ และหยิบขนมปังในกระเป๋าที่เธอไม่ได้กินในตอนเช้ามาป้อนมัน
ลูกแมวก้มหน้าลงบนฝ่ามือของเธอและเริ่มกินขนมปัง ในที่สุดมันก็เลียเศษขนมปังในมือของสวี่สุยจนหมด เธอสัมผัสขนบนตัวของมัน เมื่อเธอยืนขึ้นและกำลังจะจากไป ลูกแมวก็กัดกางเกงของเธอและไม่ยอมปล่อยเธอไป
สวี่สุยแกะมันออก แต่ไม่ว่าเธอจะเดินไปทางไหน ลูกแมวก็ตามเธอไปทุกที่ มันร้องเรียกแต่สวี่สุย เธอจึงบอกกับมันว่า “ฉันเลี้ยงแกไว้ไม่ได้จริง ๆ หอพักไม่อนุญาตให้เลี้ยงแมว ถ้าโดนป้าจับได้ต้องซวยแน่ ๆ”
แต่ลูกแมวก็ยังมองเธออย่างไร้เดียงสา
สวี่สุยเหลือบมองฝนที่ตกอยู่ด้านนอกทางเดิน และไม่มีทีท่าว่าจะหยุดตก ในขณะที่ลูกแมวเปียกโชกไปทั้งตัว หนวดทั้งสองข้างก็สกปรก
สวี่สุยให้อาหารแมวจรจัดตัวนี้มาระยะหนึ่งแล้ว และพบว่ามันเริ่มผอมลงเรื่อย ๆ ราวกับอดมื้อกินมื้อ
ในที่สุดสวี่สุยก็ใจอ่อน นั่งยอง ๆ และอุ้มมันไว้ในอ้อมแขน
สวี่สุยหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาแล้วถามความคิดเห็นของสาว ๆ ในกลุ่มว่า “มีแมวจรจัดอยู่ชั้นล่าง น่าสงสารมาก ขอฉันนำมันกลับมาเลี้ยงสักสองวันแล้วค่อยปล่อยมันไปได้มั้ย?”
หูเชี่ยนซี “ได้สิ”
ไป่อวี๋เยว่กลับมาพร้อมกับพูดว่า “ตามสบาย”
ถึงอย่างไร เธอก็ไม่ค่อยอยู่ในหอพักอยู่แล้ว
สวี่สุยเข้าใจความหมายในทันที ตอนที่เธออุ้มแมวกลับมา หูเชี่ยนซีลุกขึ้นจากเตียงทันที “เจ้าเหมียวช่างน่ารักจริง ๆ เธออยากเลี้ยงมันมั้ย?”
“อืม คงต้องเลี้ยงไปก่อน ฉันว่าจะหาเจ้าของให้มัน ฉันเลี้ยงมันนานไม่ได้หรอก” สวี่สุยอธิบาย
ลูกแมวสกปรกมาก สวี่สุยอาบน้ำให้มันและหยิบผ้าห่มผืนเล็กของตัวเองออกมาทำรังห่อมันไว้ เมื่อเห็นสวี่สุยยุ่งอยู่กับการเลี้ยงแมว เหลียงส่วงก็เหงื่อออกที่หน้าผากและถอนหายใจ “สวี่สุย เธอเหมือนพระโพธิสัตว์หญิงเลย”
สวี่สุยรื้อกล่องนมแพะและนั่งยอง ๆ เทนมลงในกล่องเล็ก ๆ เพื่อป้อนอาหารมัน แล้วพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ใช่ที่ไหนล่ะ ฉันแค่รู้สึกว่ามันน่าสงสาร”
“อีกทั้งสัตว์ตัวเล็ก ๆ ยังรู้จักบุญคุณมากกว่าคนซะอีก” สวี่สุยพูดกับตัวเอง
คนในหอพักทุกคนน่ารักมาก ไม่มีใครว่าเธอเกี่ยวกับการเลี้ยงแมวเลย
ไป่อวี๋เยว่ก่อนหน้านี้บอกสวี่สุยในกลุ่มว่าสามารถเลี้ยงแมวได้สองวัน แต่เมื่อเธอกลับมาไม่รู้ว่าเธอไปทะเลาะกับแฟนเก่ามาหรือป่าว สีหน้าของเธอดูไม่ค่อยดี เมื่อเห็นแมวในหอพัก เธอก็โยนหนังสือลงบนโต๊ะ
“เธอเอาของสกปรกแบบนี้กลับมา จะไม่มีโรคติดต่อใช่มั้ย?” ไป่อวี๋เยว่พูดจาถากถางหาเรื่องสวี่สุย
“ก่อนจะเอากลับมา ฉันเอาไปให้เพื่อนร่วมชั้นในคณะสัตวแพทยศาสตร์เพื่อตรวจแล้ว ไม่มีโรคติดต่อ อีกอย่างมันอยู่ที่นี่ ไม่นานหรอก” สวี่สุยกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบ ๆ ขนตาของเธองอนขึ้น เมื่อเธอพูด “อีกอย่าง คนที่อ่อนโยนก็จะมองเห็นความอ่อนโยน”
ประโยคหลังเธอไม่ได้พูดออกมาชัดเจน แต่ไป่อวี๋เยว่คงจะเข้าใจว่าเธอหมายถึงอะไร
“เธอ” ไป่อวี๋เยว่ขมวดคิ้วเรียวสวยและพูดอะไรไม่ออก
หูเชี่ยนซีหัวเราะ “คิกคิก” โดยบอกว่าสวี่สุยพูดได้ดี ปกติเธอจะไม่เป็นแบบนี้ เธอมีขีดจำกัดของตัวเอง
การแข่งขันทดสอบทักษะกำลังจะมาถึงในเร็ว ๆ นี้ สวี่สุยมาถึงห้องสอบล่วงหน้า ไป่อวี๋เยว่ อยู่ในห้องสอบเดียวกันกับเธอ ไป่อวี๋เยว่เป็นคนสุดท้ายในแถวแรกและสวี่สุยเป็นคนที่สามในแถวที่สอง
คราวนี้ผู้คุมเป็นครูและประธานนักเรียน ขณะที่ซือเยว่เจี่ยกำลังแจกข้อสอบนั้น ตาก็มองไปเห็นสวี่สุยที่สวมเสื้อแจ็คเก็ตขนแกะบาง ๆ เขาจำใบหน้าของเธอได้ในทันที
ในระหว่างการสอบ สวี่สุยกำลังตอบคำถามอย่างตั้งใจ ทันใดนั้น ก็มีก้อนกระดาษโยนมาโดนหลังของเธอ และมันก็กระเด็นไปบนโต๊ะและตกลงมาที่เท้าของเธอ ก่อนที่เธอจะได้เปิดมัน ผู้คุมสอบก็หยิบขึ้นมาและกางออก ถามด้วยสีหน้าจริงจัง “นี่อะไร?”
“ฉันยังไม่ได้เปิดดูค่ะ” สวี่สุยตอบด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง
ครูเมื่อเห็นท่าทางไม่ทุกข์ร้อนของเธอก็รู้สึกโกรธขึ้นมา “นี่เป็นการโกง เธอเห็นครูเป็นอะไร เธอโกงยังไม่ละอายใจอีกเหรอ?”
“ฉันไม่ได้ทำ” สวี่สุยกล่าวเสียงแข็ง เธอวางปากกาลง “ถ้าคุณตัดสินว่าฉันโกงโดยอาศัยเหตุผลที่อธิบายไม่ได้ ฉันก็จะยกเลิกการสอบนี้”
“เธอ”
ซือเยว่เจี่ยเดินเข้ามาและขอให้ครูออกไปนอกทางเดินอย่างสุภาพ ไม่รู้ว่าซือเยว่เจี่ยพูดอะไรกับคุณครู เขาเดินเข้ามาและพูดกับสวี่สุยว่า “เธอทำข้อสอบก่อนเถอะ เมื่อกี้เราจัดการเรื่องนี้ได้ไม่ดีนัก หลังจากสอบเสร็จฉันจะบอกเธออีกทีนะ”
สวี่สุยพยักหน้าและหยิบปากกาทำข้อสอบอีกครั้ง
หลังจากสอบเสร็จ ข้างนอกฝนก็ตกอีกครั้ง สวี่สุยยืนอยู่ที่ทางเดินและจ้องไปที่ม่านฝนด้วยอาการเหม่อลอย คนที่เดินมาด้านหลังเดินชนไหล่ของเธอ
บทสนทนาหลายเสียงดังมาถึงหูของสวี่สุย เสียงนั้นเบาแต่เฉียบคมมาก “นักเรียนดีก็โกงเป็นเหมือนกันนะ”
“ดูไม่ออกเลย ฉันเคยใช้กายวิภาคของเธอเป็นแม่แบบ ไม่คิดว่าจะเป็นคนแบบนี้” ใครบางคนคล้อยตาม
ฝนค่อย ๆ หยุดลง สวี่สุยยืดหลังตรงและเดินออกไปพร้อมกับร่ม
ข่าวที่สวี่สุยถูกจับได้ว่าโกงแพร่กระจายอย่างรวดเร็ว ความคิดเห็นแต่ละคนแตกต่างกัน เหตุการณ์ยังคงดำเนินต่อไป แต่ดูเหมือนเธอจะไม่ได้รับผลกระทบเลย ทั้งการให้อาหารแมวหรือการเรียนหนังสือ หูเชี่ยนซีอยากปลอบใจเธอเหลือเกิน
เมื่อไป่อวี๋เยว่กลับมา ในหอพักมีแค่สวี่สุยเพียงคนเดียว เธอเพิ่งสระผมเสร็จและเช็ดผมด้วยผ้าขนหนู หยดน้ำก็สะบัดไปโดนหลังแมวสีส้มมันสลัดตัวทันที เมื่อเธอเห็นดังนั้นก็หัวเราะออกมา
ไป่อวี๋เยว่เดินไปที่โต๊ะของเธอแล้ววางหนังสือไว้บนนั้น แมวสีส้มเหยียบเท้าของเธอและดมกลิ่น ไป่อวี๋เยว่คิดว่ามันเป็นตัวอะไรบางอย่าง เธอจึงกรีดร้องด้วยความตกใจ และพบว่ามันเป็นแมว เธอจึงเตะมันและด่าว่า “ไปให้พ้น”
แมวสีส้มถูกเตะออกไปอีกด้านหนึ่ง ดวงตาของมันหรี่ลงและทำเสียง “ฟู่ ๆ” กระโดดไปหาเธอ ใบหน้าของไป่อวี๋เยว่ซีดด้วยความตกใจและน้ำตาก็ไหลออกมาจากดวงตาของเธอ
น้ำเสียงของสวี่สุยเย็นชาดังขึ้น “1017 กลับมา!”
1017 เมื่อได้ยินเสียงของสวี่สุยมันก็ผ่อนคลายขึ้น มันวนรอบไป่อวี๋เยว่สองครั้ง แล้วส่งเสียงคำรามใส่เธอสองสามที จากนั้นก้าวกลับไปที่ด้านข้างของสวี่สุย
ใบหน้าของไป่อวี๋เยว่ขาวซีด จากนั้นเธอก็ล้มลงบนเก้าอี้
“ขอโทษนะ แต่ครั้งต่อไปเธอห้ามเตะมันอีก ไม่อย่างนั้นมันจะเป็นแบบนี้”
เมื่อสวี่สุยต้องการจะพูดอะไรอีก ก็มีข้อความจากโทรศัพท์ของเธอ เธอเหลือบมองก่อนจะหยิบร่มแล้วเดินออกไป
โจวจิงเจ๋อและเพื่อน ๆ กำลังฝึกร่างกายในสนามกีฬา แต่ทำไปได้เพียงครึ่งเดียวฝนก็ตกหนัก พวกเขาจึงต้องแยกย้ายกันไป ชายหนุ่มกลุ่มหนึ่งกลับมาที่หอพักทำให้เกิดเสียงดังโครมคราม
ต้าหลิวใช้เท้าเตะประตูหอพักและบ่นว่า “ฝนตกหนักมาก อย่างกับลูกเห็บตกลงมาบนหัวของฉัน”
โจวจิงเจ๋อเอามือล้วงในกระเป๋าเสื้อพร้อมกับเดินเข้าไป หลังจากถอดเสื้อแจ็คเก็ตออก เขาก็รู้สึกไม่สบายตัว จึงใช้มือทั้งสองข้างถอดชุดฝึกสีน้ำเงินออก เผยให้เห็นกล้ามท้องแน่นและเส้นกล้ามเนื้อตามร่างกายของเขา
เซิ่งหนาวโจวสูดลมหายใจ “ให้ตายเถอะ แบบนี้ใครจะทนไหว”
โจวจิงเจ๋อดันปลายลิ้นไปที่แก้มซ้ายและกล่าวว่า “ถ้าอย่างนั้น คืนนี้ ทนหน่อยนะ นายก็รู้ไม่ใช่หรอ?”
เซิ่งหนานโจวฟาดผ้าขนหนูสีขาวลงบนตัวเขา พูดเสียงสั่นว่า “อันธพาล”
หลังจากที่พวกเขาอาบน้ำเสร็จ คนที่อ่านหนังสือก็อ่านหนังสือ คนที่ดูหนังก็ดูหนังไป โจวจิงเจ๋อนั่งอยู่บนเก้าอี้หลังจากฟังเสียงของป้าเซิ่งคิ้วของเขาก็กระตุก
เซิ่งหนานโจวยื่นโค้กกระป๋องหนึ่งให้เขาและถามว่า “แม่ของฉันเป็นอะไรเหรอ?”
“เปล่า คุณป้าบอกว่าตอนที่เธอออกไปเดินเล่น เธอพบว่ามันกระสับกระส่าย และมักจะย้ายบ้านเพราะว่าไม่พอใจ” โจวจิงเจ๋อดึงแท็บออก และฟองอากาศก็ลอยอยู่บนอะลูมิเนียม
“ไม่พอใจอะไรเหรอ?”
โจวจิงเจ๋อปวดหัวเล็กน้อยและอยากจะหัวเราะกับตัวเอง “มันจะเป็นอะไรไปได้อีกก็เจ้า 'ฮัลโหล' คุณป้าไม่อยากเสียมันไป”
“ติดสัดแล้วหรอ ‘ฮัลโหล’ เป็นแค่แมวตัวเมียตัวเล็ก ๆ” เซิ่งหนานโจวรู้สึกแปลก ๆ
“ประมาณว่า” โจวจิงเจ๋อจิบโค้กแล้วเอนหลังพิงเก้าอี้ “พรุ่งนี้ฉันต้องไปตามหาแมว”
“ฮัลโหล” เป็นแมวสีส้ม โจวจิงเจ๋อเก็บแมวจรจัดมาเลี้ยง เมื่อสองเดือนก่อนตอนที่เขาออกไปเดินเล่น เนื่องจากโจวจิงเจ๋อขี้เกียจเกินกว่าจะตั้งชื่อมัน ดังนั้นเขาจึงตั้งชื่อมันว่า “ฮัลโหล”
ในตอนแรกสุนัขเยอรมันเชพเพิร์ดกับแมวสีส้มทะเลาะกันทุกวัน โจวจิงเจ๋อต้องจับแยกจากกันทุกครั้ง แต่ไม่นาน ทั้งสองเริ่มเล่นของเล่นด้วยกัน และความสัมพันธ์ของทั้งคู่ก็ค่อย ๆ ดีขึ้นเรื่อย ๆ
แต่หลังจากที่โจวจิงเจ๋อเลี้ยงแมวได้เดือนกว่า เจ้าแมวตัวนี้ก็หนีออกจากบ้านและไม่กลับมาอีกเลย ในช่วงเวลานั้นสุนัขเยอรมันเชพเพิร์ดไม่มีความสุขเลย โจวจิงเจ๋อออกไปหามันสองสามครั้ง
แต่ในเมืองที่กว้างใหญ่และมีผู้คนมากมาย จึงไม่ง่ายนักที่จะหาแมวที่หลงทาง
“อย่าเพิ่งพูดถึงเรื่องติดสัดเลย คราวที่แล้วนายไปส่งสวี่สุยกลับไปโรงเรียนเป็นยังไงบ้าง?” เซิ่งหนานโจวขยิบตาให้เขา
โจวจิงเจ๋อพูดอย่างเชื่องช้า “ฉันจะถามเธอทีหลัง เซิ่งเหยียนเจี่ยกับเซิ่งหนานโจวพี่น้องคู่นี้ใครน่าต่อยกว่ากัน?”
เซิ่งหนานโจวชนโจวจิงเจ๋อด้วยไหล่ของเขาและพูดว่า “ฉันพูดจริง ๆ นะ ทำไมฉันถึงรู้สึกว่าสวี่สุยสนใจนาย?”
ใบหน้าที่ตื่นตระหนกวาบขึ้นมาในสมองของโจวจิงเจ๋อ “ฉันก็จริงจังเหมือนกัน ดูเหมือนเธอจะกลัวฉันมาก”
“ก็จริง เป็นฉันฉันก็ไม่ชอบผู้ชายเจ้าชู้แบบนาย” เซิ่งหนานโจว สะบัดไหล่เพื่อเลียนแบบนางเอกละครเกาหลี “ซือ เล่ย กี!”
โจวจิงเจ๋อหัวเราะออกมา เขาขี้เกียจเกินกว่าจะคัดค้าน
เช้าวันรุ่งขึ้นฝนตกหนัก เมื่อฝนใกล้จะหยุด โจวจิงเจ๋อก็ออกไปทำธุระที่มหาวิทยาลัยการแพทย์ หลังจากทำธุระเสร็จ เขาก็ส่งข้อความถึงหูเชี่ยนซีตามปกติ “ตอนเย็นมากินข้าวกัน มีอะไรจะให้ช่วย จะพาสวี่สุยมาด้วยก็ได้”
“ได้สิ แต่สวี่สุยคงจะไม่ไป ช่วงนี้เธออารมณ์ไม่ค่อยดี” หูเชี่ยนซีตอบกลับ
โจวจิงเจ๋อ “?”
หูเชี่ยนซีเล่าเรื่องทั้งหมดของสวี่สุยที่ถูกกล่าวหาว่าโกงข้อสอบและถอนหายใจ “ฉันคิดว่าช่วงนี้เธอคงจะไม่ออกไปไหน เพราะเธอไม่มีอารมณ์ตอนนี้มีหลายคนกำลังพูดถึงเธอ ฉันเห็นว่าสวี่สุยค่อนข้างเซื่องซึม แม้ว่าเธอจะไม่ได้พูดอะไรสักคำก็ตาม”
ฝนตกปรอย ๆ จนเกือบจะหยุกตก โจวจิงเจ๋อตอบว่า “โอเค” แล้วใส่โทรศัพท์ลงในกระเป๋าเสื้อของเขา เขาสวมหมวกสีดำ เมื่อเขาเงยหน้าขึ้น เขาเห็นคนสองคนยืนอยู่ไม่ไกลนัก
บุคคลที่หูเชี่ยนซีกล่าวว่า “ไม่มีอารมณ์” และ “เซื่องซึม” กำลังยืนอยู่ที่ประตูโรงเรียนพร้อมกับชายหนุ่มคนหนึ่งในมือถือแก้วชานม
โจวจิงเจ๋อหรี่ตาโดยไม่รู้ตัว หญิงสาวท่าทางเรียบร้อย รูปร่างผอมเพรียวกับชายหนุ่มสวมเสื้อคลุมสีขาว รูปร่างสูงโปร่ง เขาพูดอะไรไม่ออก รอยยิ้มบนใบหน้าที่สดใสของสวี่สุยแทบจะละลายลงในวิปปิ้งครีมที่อยู่ข้างหน้า