บทที่ 78: โรงพนันใต้ดิน
ปัจจุบันมู่ไป๋ไป่ไม่รู้ว่าตนเองเดินมานานแค่ไหนแล้ว เธอรู้สึกเจ็บขาไปหมด ในที่สุดเธอก็มาถึงจุดสิ้นสุดของอุโมงค์และประตูหินหนา ๆ ก็ปรากฏขึ้นตรงหน้า
แม่เจ้าโว้ย มีอะไรซ่อนอยู่ใต้อุโมงค์นี้ด้วย!
เด็กหญิงจินตนาการถึงฉากเบื้องหลังประตูและเงยหน้ามองเด็กหนุ่มตรงหน้าอย่างระแวดระวังมากขึ้น
หน้ากากสีเงินบนใบหน้าของเซียวถังอี้ดูเหมือนจะเรืองแสงเย็นเยียบภายใต้แสงเทียนที่ส่องสว่าง
หลังจากนั้นก็มีเสียงของกลไกที่กำลังเริ่มทำงานดังขึ้น
มู่ไป๋ไป่ตระหนักว่าประตูหินบานใหญ่ตรงหน้ากำลังจะเปิด เธอจึงรีบไปซ่อนตัวอยู่ด้านหลังคนตัวสูงกว่า
เซียวถังอี้ที่สังเกตเห็นการเคลื่อนไหวของคนตัวเล็กก็ยกริมฝีปากขึ้นเล็กน้อย
เมื่อประตูหินเปิดออก เสียงเซ็งแซ่ก็ดังเข้ามาในหูของมู่ไป๋ไป่ และเธอก็ได้แต่อ้าปากค้างจนกรามแทบหลุด ในขณะที่จ้องมองไปยังโลกภายนอกที่อยู่ด้านหลังประตู
ภายใต้เท้าของฮ่องเต้ ภายใต้เมืองหลวงมีโรงพนันขนาดใหญ่ซ่อนอยู่!
ใช่แล้ว ภายในประตูหินมีโรงพนันขนาดใหญ่ที่เต็มไปด้วยควัน ผู้คนเดินพลุกพล่าน และมีโต๊ะพนันที่มีคนยืนล้อมจนแน่น
ขณะที่มู่ไป๋ไป่มองไปรอบ ๆ เธอก็ยังมองไม่เห็นจุดสิ้นสุด
“เด็กโง่…” เสียงพึมพำของเซียวถังอี้แทบจะเรียกสติเด็กน้อยกลับมาอีกครั้ง เธออยากจะสวนเขากลับ แต่เมื่ออีกฝ่ายเอามือไพล่หลังแบบไม่แยแส เธอก็รีบยกมือขึ้นปิดปากตัวเองทันที
ลืมมันไปเสีย กุลสตรีย่อมไม่ทะเลาะกับคนอื่น
ให้เขาด่าเธอว่าโง่สัก 2-3 ครั้ง มันก็ไม่ทำให้เธอกลายเป็นคนโง่จริง ๆ สักหน่อย
สิ่งสำคัญที่สุดในตอนนี้ก็คือต้องรักษาชีวิตตัวเองเอาไว้!
เมื่อประตูหินถูกเปิดออก มันก็เกิดเสียงอึกทึกครึกโครม และหลายคนก็หันมามองพวกเธอ
ไม่รู้ว่ามู่ไป๋ไป่ตาฝาดไปเองหรือไม่ เพราะทันทีที่คนพวกนั้นเห็นเธอกับเซียวถังอี้ เสียงโหวกเหวกโวยวายของพวกเขาก็ดูจะเงียบลงมาก
เธอไม่รู้ว่าเด็กหนุ่มกำลังจะไปไหน ดังนั้นเธอจึงเดินตามเขาไปอย่างใกล้ชิดในขณะที่สายตาคอยมองดูผู้คนในโรงพนันใต้ดินอย่างอยากรู้อยากเห็น
เธอเห็นว่าคนพวกนั้นแต่ละคนมีท่าทางน่ากลัว และทุกคนก็มีอาวุธอยู่ในมือ เพียงแค่มองปราดเดียวก็บอกได้ว่าคนเหล่านั้นไม่ใช่คนใจดีหรือบริสุทธิ์
มู่ไป๋ไป่แอบคิดในใจว่า คนพวกนี้อาจจะเป็นอาชญากรที่ทางราชสำนักต้องการตัวหรือไม่?
ไม่ว่าจะมองอย่างไร มันก็ไม่ผิดไปจากที่เธอคิดสักนิด
ทางด้านเซียวถังอี้ เขาเดินผ่านโรงพนันไปโดยเอามือไพล่หลังและเข้าไปในห้องด้านในสุด
ภายในห้องนี้เงียบกว่าภายนอกมาก ด้านในมีชายหญิงหลายคนที่มีหน้าตาน่ากลัวอยู่เช่นกัน
“นี่ คุณชายเซียว ทำไมวันนี้ท่านถึงดูอารมณ์ไม่ดีเลยล่ะ?” สตรีนางหนึ่งในชุดสีแดงที่แต่งตัวเปิดเผยมากเดินถือแส้เข้ามาพร้อมกับพูดด้วยน้ำเสียงเย้ายวน “ท่านมาที่นี่เพื่อพบหน้าข้าน้อยโดยเฉพาะหรือ?”
ตอนที่ผู้หญิงคนนั้นกำลังเข้ามาใกล้ เซียวถังอี้ก็เบี่ยงตัวหลบไปอย่างราบรื่น
ส่วนมู่ไป๋ไป่ที่ตามเขามาไม่ทันระวังจึงบังเอิญไปสะดุดตาคนเหล่านั้น
“นั่นเด็กนี่!” ชายหัวล้านที่อยู่ข้างในชี้ไปที่เด็กผู้หญิงราวกับเห็นผี “เวลาเช่นนี้จะมีเด็กอยู่ที่นี่ได้อย่างไร ไม่สิ ยิ่งไปกว่านั้น เด็กคนนี้ยังกำชายเสื้อของคุณชายเซียวเอาไว้อีก คุณชายเซียวพาลูกมาเอง!”
“จุ๊ ๆ พี่สาม ท่านจะพูดวกไปวนมาทำไม” ชายร่างเตี้ยกระโดดขึ้นไปตบหัวของชายหัวล้าน แล้วเขาก็นั่งลงบนเก้าอี้พลางมองดูเด็กน้อยด้วยความสนใจ “เจ้าหนู เจ้าอยู่ที่ไหน? เจ้ามาจากไหนหรือ?”
มู่ไป๋ไป่รีบหดคอหนีและหันไปมองเซียวถังอี้โดยไม่รู้ตัว
ในที่นี้เธอรู้จักเพียงเจ้าสัตว์ประหลาด แม้ว่าเขาจะฆ่าคนโดยไม่กะพริบตา แต่เขาก็ไม่เคยคิดจะลงมือปลิดชีวิตเธอเลย
ดังนั้นระดับความอันตรายของเขาจึงลดต่ำลงเมื่อเทียบกับคนที่มีสายตามุ่งร้ายเหล่านี้
อย่างไรก็ตาม หลังจากที่เซียวถังอี้เข้ามา เขาก็ทำเป็นไม่สนใจเธอและนั่งลงดื่มสุราบนโต๊ะ ราวกับว่าการที่คนตัวเล็กเข้ามาที่นี่ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรกับเขา
มู่ไป๋ไป่ยิ่งรู้สึกเป็นกังวลและอ้าปากจะเรียกชื่ออีกฝ่าย แต่เมื่อพยายามนึกย้อนกลับไปแล้ว เธอก็เพิ่งนึกขึ้นได้ว่าตนไม่รู้จักชื่อเขาด้วยซ้ำ
หลังจากฟังที่ผู้หญิงคนนั้นเรียกเด็กหนุ่ม เธอก็ได้รู้ว่าเขาแซ่เซียว
“เด็กน้อย ข้าขอถามอะไรหน่อยสิ!” จู่ ๆ มู่ไป๋ไป่ก็รู้สึกเจ็บปวดบนใบหน้า เพราะสตรีในชุดแดงเอื้อมมือมาบีบหน้าเธอไว้ “เจ้ามาจากไหน เจ้ามีความสัมพันธ์อะไรกับคุณชายเซียวของเรา?”
ผู้หญิงคนนั้นบีบแก้มมู่ไป๋ไป่เต็มแรง ทำให้ผิวของเธอเปลี่ยนเป็นสีแดงทันที
หลังจากที่คนตัวเล็กถูกทำให้หวาดกลัวจนขีดสุด เธอก็ยังถูกพามาสถานที่ที่เต็มไปด้วยคนแปลกหน้า อีกทั้งตอนนี้ใบหน้าของเธอยังถูกผู้หญิงสารเลวบีบอีก เธอจึงยิ่งรู้สึกหวาดกลัวมากขึ้น
มู่ไป๋ไป่รู้สึกแสบจมูก สุดท้ายเธอก็ส่งเสียงร้องออกมา “ฮืออออ ๆๆๆ!!”
ซึ่งเสียงร้องไห้ของเธอมันดังมากจนทำให้ทุกคนในห้องตกตะลึง ก่อนจะมองหน้ากันเลิ่กลั่ก
มู่ไป๋ไป่ไม่สนใจว่าใครจะทำอะไรอีกต่อไป พอเห็นว่าผู้หญิงในชุดแดงเผลอปล่อยมือ เธอก็รีบพุ่งเข้าไปอยู่ในอ้อมแขนของเซียวถังอี้ซึ่งยังคงยกสุราขึ้นดื่มอยู่ตามลำพัง
เธอคว้าคอเสื้อของเด็กหนุ่มเอาไว้แน่นพร้อมซุกหน้าเล็ก ๆ ที่เปียกชื้นจากน้ำหูน้ำตาลงในอ้อมอกของเขาด้วยความกลัวว่าเขาจะดึงเธอออกและโยนเธอเข้าไปในฝูงชนอีกครั้ง
“นี่… ข้ายังไม่ได้ออกแรงสักหน่อย” สตรีที่สวมชุดแดงรู้สึกหงุดหงิดกับเสียงร้องไห้จึงแค่นเสียงในลำคอ “เฮอะ! เพราะอย่างนี้ข้าจึงรังเกียจพวกเด็ก ๆ มากที่สุด แค่แตะนิดแตะหน่อยก็ทนไม่ไหวแล้ว”
“พี่รอง ดูรอยบีบบนหน้าของเด็กน้อยคนนั้นสิ คุณชายเซียวจะต้องชำระแค้นกับท่านในภายหลังแน่” ชายร่างเตี้ยพูดพร้อมกับเหยียดยิ้มมุมปาก
ผู้หญิงในชุดแดงรู้สึกสับสนกับสิ่งที่อีกฝ่ายพูด แล้วนางก็เหลือบมองเซียวถังอี้เล็กน้อย ก่อนจะผ่อนคลายลงเมื่อเห็นว่าอีกคนยังคงนั่งดื่มไม่หยุด
ถึงแม้ว่าปกติแล้วนางมักจะออกไปไหนมาไหนกับเซียวถังอี้และหยอดคำหวานใส่เขาเป็นบางครั้ง แต่นางก็ไม่อยากทำให้ราชานรกที่ยังคงมีชีวิตอยู่พระองค์นี้โกรธเคืองจริง ๆ
“เจ้าร้องพอแล้วหรือยัง?” เด็กหนุ่มยกสุราดื่มอีก 2-3 จอก แล้วค่อยเอ่ยถามขึ้นมา แต่เจ้าเกี๊ยวที่อยู่ในอ้อมแขนของเขาก็ยังร้องไม่หยุด ตรงกันข้าม มันกลับดังขึ้นเรื่อย ๆ
“ไม่!” มู่ไป๋ไป่เงยหน้าที่มีรอยแดงขึ้นมองอีกฝ่ายพลางเบะปาก “ข้ากลัว ข้าหยุดร้องไม่ได้หรอก”
เขายังเป็นมนุษย์อยู่หรือไม่ ทำไมถึงได้โหดร้ายขนาดนี้!?
เซียวถังอี้รู้สึกขบขันเมื่อเขาเห็นตุ๊กตากระเบื้องเคลือบตัวน้อยกำลังร้องไห้
ในตอนที่เขาฆ่าคน เห็นอยู่ชัด ๆ ว่าตุ๊กตาตัวนี้สั่นกลัวมากเพียงใด แล้วตอนนี้นางยังกล้ากระโดดเข้ามาร้องไห้อยู่ในอ้อมแขนเขาเช่นนี้อีก
เจ้าเด็กนี่เจ็บแล้วไม่จำจริง ๆ!
ยามนี้มู่ไป๋ไป่ร้องไห้หนักมาก ถึงสถานการณ์ปัจจุบันมันจะแปลกประหลาดไปสักหน่อย แต่เธอก็ทำไม่รู้จะทำอย่างไรแล้ว จึงทำได้เพียงร้องไห้ต่อไป
สถานที่แห่งนี้เป็นที่แหล่งซ่องสุมของบุคคลอันตราย โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มคนที่อยู่ในห้องนี้
แต่เธอก็ยังเห็นความกลัวที่แล่นผ่านดวงตาของผู้หญิงคนนั้นในยามที่นางมองมาที่เจ้าสัตว์ประหลาดเมื่อสักครู่นี้
‘เจ้าสัตว์ประหลาด’ เป็นคนที่มีอารมณ์แปรปรวน เขาอาจจะดื่มมากไป หรือคิดว่าเธอน่ารำคาญ ดังนั้นเขาจึงทิ้งเธอไว้กับคนพวกนั้น
เธอจะต้องปกป้องตัวเอง!
มู่ไป๋ไป่เม้มริมฝีปาก ในขณะที่สมองคิดหาวิธีอย่างรวดเร็ว
จากนั้นเด็กหญิงก็ปาดน้ำตา แต่ยังคงสะอื้นไม่หยุด ก่อนจะกางแขนสั้น ๆ ทำท่าทางขอให้เขากอด แล้วพูดด้วยน้ำเสียงออดอ้อนว่า “ท่านพ่อ ข้ากลัว ขอกอดหน่อย”
ทันใดนั้นทั่วทั้งห้องก็เงียบกริบ ชายหญิงที่อยู่ภายในห้องจ้องมองมู่ไป๋ไป่เป็นตาเดียว ในขณะที่พวกเขาแทบไม่อยากเชื่อหูตัวเอง