บทที่ 7
ซังเหยียนพยายามที่จะอดทนข่มความโกรธเอาไว้ เขาปิดก็อกน้ำลงอย่างแรงแล้วหันไปดีดน้ำใส่หน้าของซังจื้อด้วยมือที่ยังคงเปียกอยู่: “ฉันให้เธอเลือกระหว่างเธอจะกลับไปนั่งดูการ์ตูนโง่ๆนั่นหรือจะอยู่ตรงนี้แล้วโดนฉันทุบซักแอ้ก”
“แค่นี้ทำไมต้องโกรธด้วยล่ะ” ซังจื้อเช็ดน้ำที่อยู่บนหนาพลางขมวดคิ้ว “คนโดนด่าคือฉันไม่ใช่พี่สักหน่อย”
ซังเหยียนใส่หม้อที่ใส่ข้าวลงในหม้อหุงข้าวโดยไม่ได้เงยขึ้นมาหน้าแต่อย่างใด : “ประตูอยู่โน่น”
ซังจื้อยังคงยืนอยู่ตรงนั้นพลางพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เคร่งขรึมจริงจัง: “ยังไงก็อย่าไปเที่ยวบอกคนโน้นคนนี้ว่าฉันเหมือนพี่นะ”
เขาหันกลับมาแล้วพูดด้วยน้ำเสียงที่เย้ยหยัน: “ใครเขาจะไปอยากพูด”
พูดจบ ซังเหยียนก็เดินมาบีบหน้าของเธอและแย่งชามสตรอเบอร์รี่แล้วเดินออกจากห้องครัวไป
ซังจื้อลูบหน้าตนเองป้อยๆ รู้สึกตัวอีกทีมือของเธอก็ว่างเปล่าเสียแล้ว เธอเบิกตาโตและถามขึ้นอย่างไม่อยากจะเชื่อสายตาตั้วเอง: “นี่พี่แย่งของของฉันไปหรอ?”
“มันจะเป็นของเธอได้ยังไง?” ซังเหยียนพูดพลางหยิบสตรอเบอร์รี่ลูกหนึ่งเข้าปาก “เธอหาเงินมาซื้อเองหรือไง?”
ซังจื้อยื่นมือออกไปหวังจะแย่งถ้วยกลับคืนมา: “แต่ฉันเป็นคนหยิบมันออกมาจากตู้เย็นนี่”
ซังเหยียนยกถ้วยขึ้นสูง: “งั้นก็เป็นของตู้เย็นน่ะสิ”
เธอเขย่งสุดปลายเท้าและกระโดดเพื่อที่จะแย่งมันมา: “แต่ฉันเป็นคนหยิบมันออกมาจากตู้นะ”
“ถ้าจะยึดตามเหตุผลนั้น ตอนนี้ฉันแย่งมันมาได้ก็เป็นของฉันแล้วไง”
“…….”
ทั้งสองฝ่ายหยุดนิ่งไม่มีใครเดินหมากต่ออยู่ครู่หนึ่ง
ตอนที่ซังเหยียนกำลังจะกินสตรอเบอร์รี่ลูกที่ห้านั้น โทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกงก็ดังขึ้น เขามองไปที่ซังจื้อครู่หนึ่งก่อนจะลดสตรอเบอร์รี่ในมือลงแล้วใช้มืออีกข้างหยิบโทรศัพท์ออกมา
ซังจื้อเองอาศัยจังหวะนี้กระโดดแย่งถ้วยสตรอเบอร์รี่กลับมา
ซังเหยียนถอนหายใจก่อนจะรับสายโทรศัพท์: “มีไร”
ไม่รู้ว่าอีกฝั่งหนึ่งของสายพูดอะไร
“ฉันกลับบ้านมาแล้ว ที่หอมีเช็คระบบไฟฟ้าวันนึงไม่ใช่หรือไง? ก็เลยกลับบ้านมาเนี่ย” พูดถึงตรงนี้ เขาเว้นไปครู่หนึ่งแล้วพูดด้วยน้ำเสียงที่ทำให้ฉุกคิดถึงอะไรบางอย่าง: “ไม่ต้องพูดแล้ว ฉันว่าไม่น่ากลับมาเลย”
ฝ่ายซังจื้อเธอกลับไปนั่งดูการ์ตูนและเมินพี่ชายของเธอ
ซังเหยียนพูดด้วยน้ำเสียงขี้เกียจ: “ไม่เป็นไร ฉันแค่โชคไม่ดี”
ซังจื้อยกรีโมททีวีขึ้นแล้วกดเพิ่มเสียง
ซังเหยียนไม่กระทบกระเทือนแม้แต่น้อยและยังคงพูดด้วยน้ำเสียงที่ใจเย็นต่อไป: “เฉียนเฟยก็กลับบ้านไปแล้วไม่ใช่หรอ ลองไปถามต้วนเจียสวี่ดู หมอนั่นไม่ได้กลับแต่ไม่รู้ว่าอยู่ที่มหาลัยหรือเปล่านะ”
เมื่อได้ยินชื่อที่ไม่ได้ยินมานาน จิตใต้สำนึกของเธอทำให้ซังจื้อมองไปที่ซังเหยียนแล้วใช้นิ้วกดย้ำไปที่รีโมท เธอกลัวว่าซังเหยียนจะสังเกตเห็นจึงรีบก้มหน้างุดทันที
เธอลดเสียงทีวีให้เบาลงมาเล็กน้อยอย่างเงียบๆ
ความรู้สึกแปลกประหลาดที่เอ่อล้นขึ้นภายในใจของเธอ ความรู้สึกนั้นมันอัดแน่นอยู่ในอก ในหัวของเธอขาวโพลนและจังหวะของลมหายใจของเธอที่ดูเหมือนจะถี่เร็วขึ้น ความสนใจของเธอตอนนี้ตกไปอยู่ที่ซังเหยียน
“นายลืมกุญแจเป็นครั้งที่เท่าไหร่แล้วเนี่ย?” ซังเหยียนเอ่ย “น้าเขาไม่ให้นายแน่ เว้นแต่นายจะอยากไปให้โดนด่า”
หลังจากนั้นเขาก็ไม่ได้พูดถึงต้วนเจียสวี่อีก
คำพูดของซังเหยียนเมื่อครู่ จู่ๆเธอก็มีความคิดที่ไม่ค่อยดีนักเกิดขึ้นในหัว
——— วันไหว้บ๊ะจ่างไม่กลับบ้าน ไม่แน่ว่าจะอยู่ที่มหาลัย
ถ้าหากเป็นอย่างงั้นละก็ แสดงว่าเขามีแฟนแล้วน่ะสิ
แต่ว่าอายุของเขามันก็เหมาะสมแล้วนี่
ตอนไปพบอาจารย์ก็ทำเหมือนกับว่ากำลังคบใครอยู่อย่างนั้นแหละ ต้องมีแล้วแน่ๆ
แต่ว่ามันก็ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเธออยู่ดี
มีก็มีไปสิ
ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรสักหน่อย
ยิ่งคิดซังจื้อก็ยิ่งอึดอัดใจ ทันใดนั้นถ้วยพลาสติกก็หล่นลงที่พื้น
เกิดเสียงดัง
เป็นจังหวะเดียวกันกับซังเหยียนที่นั่งอยู่ที่เก้าอี้โต๊ะกินข้าววางสายและสังเกตเห็นความเฟอะฟะที่เธอก่อพอดี เขามองเธออย่างครุ่นคิดแล้วเอ่ยถาม: “การ์ตูนนั่นทำเธอโมโหได้ขนาดนั้นเลยหรือไง?”
ซังจื้อปิดทีวี
ซังเหยียนพูดพลางถอนหายใจ: “สี่หยางๆโดนฮุยไท่หลัง* จับไปแล้วหรอ?”
“ไม่ได้ดูเรื่องนั้นซะหน่อย” ซังจื้อแย้งขึ้น
ซังเหยียนไม่ได้สนใจก่อนจะดื่มน้ำอึกสุดท้ายแล้วพูดบอกเธอ: “ถ้าเธออยากจะดูต่อก็เปิดเสียงเบาๆหน่อยแล้วกัน พี่จะนอน”
“พี่” ซังจื้อเรียกเขาไว้
“?”
ซังจื้อเกาหัวยิกๆและถามออกไปอย่างลังเลใจ: “ที่หอพี่มีแค่พี่ไม่มีแฟนมาใช่ไหม”
“……….” ซังเหยียนจ้องเธอครู่หนึ่งแลวก็ยิ้มออกมา “นี่ยัยดื้อ ทำไมช่วงนี้เธอดูสนใจเรื่องแบบนี้จังเลยล่ะฮะ?”
ซังจื้อรู้สึกประหม่าขึ้นมาเล็กน้อย: “ก็แค่ถามดูเฉยๆนี่”
“พ่อกับแม่ให้เธอมาถามหรอ?”
“ที่ฉันถามพี่อยู่นี่ก็ไม่ใช่ว่าเพราะเป็นห่วงหรือไง?” ซังจื้อกระซิบกระซาบ “ได้ยินแม่บอกว่า ช่วงนี้คุณย่าเฉินน่ะอยากให้ลูกสาวตัวเองไปนัดบอด ถ้าพี่ไม่มีล่ะก็ ไม่ลองดูไปสักรอบล่ะ”
“…….” ซังเหยียนนิ่งไปครู่หนึ่ง “ลูกสาวของย่าเฉินเนี่ยนะ?”
* อะนิเมชั่นเรื่อง"สี่หยางหยางกับฮุยไท่หลัง" คือ ภาพยนตร์ที่มุ่งกลุ่มผู้ชมไปที่เด็กอายุ 3 - 6 ขวบ โดยตัวละครสี่หยางหยางเป็นแพะที่ชาญฉลาด ส่วนฮุยไท่หลังเป็นหมาป่าที่คอยไล่จับแพะ
“ก็ใช่น่ะสิ”
“เขาไม่ได้อายุสี่สิบแล้วหรอ?”
ซังจื้อกระพริบตาปริบๆ “แล้วไงเล่า พี่ก็เลือกมากไม่ได้อยู่แล้วไม่ใช่หรือไง”
“…….” ซังเหยียนอยากจะด่าเธอด้วยถ้อยคำอันหยาบคาย
แต่ก็กลัวว่ายัยดื้อนี่จะลอกเลียนแบบแล้วใช้มันต่อกรกับเขา
“เธอไม่ต้องเป็นกังวลไปหรอก” ซังเหยียนที่ตอนนี้กำลังโกรธเดินเข้าไปแล้วก็เอาขวดน้ำเคาะที่หัวของเธอ “รู้ไหมว่าทำไมรูมเมทของฉันถึงยังไม่มีใครมีแฟนเลยสักคน?”
ซังจื้อเงียบ
“เพราะว่าพวกนั้นน่ะต่อแถวจีบฉันอยู่ยังไงล่ะ” ซังเหยียนพูด “เพราะเป็นอย่างนั้นฉันเลยหนีกลับบ้านมานี่ไง เข้าใจไหม?”
ซังจื้อมองเขาแต่ครั้งนี้เธอไม่ได้เถียงอะไรกับเขา เธอเพียงแต่พยักหน้าอย่างเงียบๆเท่านั้น
เธอมองซังเหยียนที่โยนขวดน้ำลงถังขยะอย่างไม่สบอารมณ์จากนั้นก็เดินตรงไปที่ห้องแล้วเขาก็หันกลับมาพูดเสริมอีกว่า: “ฉันน่ะแมนทั้งแท่งนะโว้ย”
ซังจื้อพยักหน้ารับ
แต่คำพูดอื่นๆนั้นดูเหมือนว่าจะไม่เข้าหูเธอเลยสักนิด
สิ่งที่เธอฟังอย่างชัดเจนแจ่มแจ้งที่สุดมีเพียงสี่คำก่อนหน้าเท่านั้น
—— ยังไม่มีแฟน
-
เวลาอาหารเย็น ในระหว่างที่ซังเหยียนกินข้าวอยู่นั้นเขาก็นึกถึงเรื่องๆหนึ่งขึ้นมาได้: “อ้อใช่ พ่อ เดี๋ยวสอบเสร็จแล้วผมต้องย้ายวิทยาเขตกลับมาวิทยาเขตหลักน่ะ ถึงตอนนั้นแล้วผมขอยืมรถพ่อหน่อยได้ไหม?”
ซังหรงพยักหน้ารับ: “ของเยอะไหม ต้องจ้างบริษัทขนของย้ายบ้านหรือเปล่า?”
ซังเหยียน: “ไม่ต้องหรอก ขี้เกียจไปขึ้นรถของมหาลัยน่ะ”
หลีผิงถามขึ้น: “วิทยาเขตหลักหรอ ที่อยู่ใกล้ๆกับโรงเรียนของจื๋อจื่อหรือเปล่า?”
ซังเหยียนส่งเสียงตอบรับในลำคอ
ซังหรง: “งั้นถ้ามีเวลาก็ไปรับน้องตอนเลิกเรียนหน่อยก็แล้วกัน”
“……..” มุมปากของซังเหยียนกระตุกเล็กน้อย “ไปเรียนแล้วยังต้องมารับเด็กอีกหรอ?”
ซังจื้อก็คัดค้านด้วยเช่นกัน: “หนูก็ไม่อยากให้พี่เขามารับ”
“ถ้าจะให้ดี” ซังเหยียนยิ้มเยาะเล็กน้อย เขามองไปที่ซังหรงแล้วเอ่ยขึ้น “พ่อก็เอาคันโตโยต้าให้ผมยืม ใหญ่หน่อย จะได้ช่วยเพื่อน
รูมเมทย้ายของได้ด้วย ”
ซังหรง: “อะไรก็ได้ที่ไม่ใช่แกล้งน้อง จะทำอะไรก็ทำ”
ซังจื้อพูดตาม: “ที่ไม่ใช่แกล้งฉันจะทำอะไรก็ทำ”
“…….” ซังเหยียนพยามอดทนอดกลั้นเอาไว้ “รู้แล้ว”
เมื่อได้ยินคำว่า “รูมเมท” ในใจของซังจื้อก็แอบคาดหวังอยู่เล็กน้อย เธอเอ่ยถามขึ้นอย่างลังเล: “พี่ พี่จะช่วยรูมเมทคนไหนย้ายของหรอ?”
ซังเหยียนย้อนถาม: “เธอจะถามทำไม”
ซังจื้อตีหน้านิ่ง: “ก็เผื่อจะไปช่วยขนของไง”
“…….” ซังเหยียนที่กินข้าวอยู่ถึงกับชะงัก แล้วคิดว่านี่เขาไม่ได้หูฝาดไปใช่ไหม เขาเริ่มที่จะสงสัย “เธอจะมาช่วยฉันย้ายหอเนี่ยนะ?”
ซังจื้อ: “ก็ใช่ไง”
ซังเหยียนไม่รู้ว่าจุกประสงค์ของเธอคืออะไรกันแน่ จึงได้แต่พูดย้ำเตือนเธอ: “เธอต้องไปเรียน”
“ก็มีวันหยุดสุดสัปดาห์ไม่ใช่หรอ แล้วก็ สี่โมงยี่สิบฉันก็เลิกเรียนแล้ว” ซังจื้อพูด “เลิกเรียนแล้วค่อยไปช่วยพี่ก็ได้นี่ ยังไงพี่ไม่น่าจะย้ายทั้งหมดนี่เสร็จในเร็วๆนี้อยู่แล้ว”
ซังเหยียน: “บังเอิญจริงๆ ฉันต้องย้ายของให้เสร็จก่อนสี่โมงยี่สิบน่ะ”
เขาปฏิเสธเธออย่างชัดเจน
ซังจื้อมองไปที่เขาแล้วเม้มปากนิ่งเงียบไม่พูดอะไรอีก
ซังหรงจึงพูดขึ้น: “ก็น้องเขาอยากจะช่วยแกจะทำไมเล่า? ไม่ใช่เรื่องไม่ดีอะไรสักหน่อย ไม่เห็นเป็นอะไรเลย”
ซังเหยียนสุดจะจำใจ: “ไม่ใช่ ของมันหนักจะตายเธอจะไปแบกไหวได้ยังไง? ผมก็แค่ไม่อยากให้เธอมีอะไรมากระทบกระทั่งเธอ อีกอย่างยิ่งยุ่งๆอยู่ด้วยจะเอาเวลาที่ไหนมาดูแลเธอกัน ไม่ได้จะมีเจตนาแบบนั้นสักหน่อย”
ซังหรง: “งั้นก็ไปให้น้องเขายืนดูสิ”
ซังเหยียน: “…….”
เขาถอนหายใจเฮือก ก่อนจะมองไปยังซังจื้อแล้วพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงอันอบอุ่น: “งั้นก็ แล้วแต่เลย”
เมื่อได้ยินคำตอบดังนั้นซังจื้อก็ดี๊ด๊าร่าเริงขึ้นมาในทันใด ดวงตากลมที่บัดนี้ยิ้มหยีจนกลายเป็นพระจันทร์เสี้ยว: “เยี่ยม งั้นถ้าถึงเวลาแล้วฉันจะไปดูพี่ย้ายของนะ”
“…….”
-
อันที่จริงแล้วแม้แต่ตัวของซังจื้อเองก็ไม่รู้เหตุผลของการกระทำของตนเองที่เป็นเช่นนี้เหมือนกัน
เธอไม่รู้ว่าทำไมเธอจะต้องไปสืบดูให้แน่ชัดว่าต้วนเจียสวี่ตกลงมีแฟนแล้วหรือยังแล้วก็ไม่รู้ว่าทำไมเธอถึงต้องเสนอตัวเองไปช่วยซังเหยียนด้วย
สัญญาณบ่งบอกมันชัดเจนอยู่แล้ว
เพียงแต่เธอไม่อยากจะยอมรับ
ว่าเธอนั้นนึกถึงแต่เขา
หรืออาจะเป็นเพราะเธออยู่ในวัยของสาวแรกรุ่นแล้วไม่สามารถควบคุมอารมณ์เอาไว้ได้ทำให้แสดงออกไปแบบนั้น
เธออยากจะปลดปล่อยมันออกไป
แต่กลับได้เพียงเก็บมันเอาไว้ กดทับมันไว้ในส่วนลึกของจิตใจ
ซ่อนมันไว้ในที่ที่ไม่มีใครจะรู้
-
วันที่ซังเหยียนจะย้ายหอพักนั้นคือวันพุธ
เสียงกริ่งบอกเวลาเลิกเรียนดังขึ้น ซังจื้อรีบสะพายกระเป่าหนังสือขึ้นหลังไม่ทักทายใครทั้งนั้น ยินเจินหรูถึงกับงงกันเลยทีเดียว
อาจเป็นเพราะมีการย้ายวิทยาเขตเกิดขึ้นจึงทำให้วันนี้คนเยอะกว่าปกติอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว
ซังจื้อรู้ว่าวิทยาเขตหลักของมหาวิทยาลัยหนานอู๋อยู่ที่ไหน ตอนกลับบ้านก็ผ่านอยู่บ่อยๆนอกจากนี้ก็เป็นเพราะพื้นที่ของโรงเรียนมัธยมซวี่รื่อนั้นไม่ใหญ่นัก งานกีฬาครั้งก่อนๆของทางโรงเรียนก็ยืมสนามกีฬาของทางมหาวิทยาลัยในการจัด
เวลาที่โรงเรียนมีการจัดงานศิลปะหรืองานแสดงก็ล้วนแต่ยืมสถานที่ของมหาวิทยลัยหนานอู๋ในการจัดทั้งนั้น
ดังนั้นโรงเรียนมัธยมซวี่รื่อจึงมักจะถูกคนเรียกว่า “โรงเรียนมัธยมของมหาวิทยาลัยหนานอู๋”
ซังจื้อเดินมาถึงประตูของมหาวิทยาลัย เธอหยุดก่อนจะโทรศัพท์หาซังเหยียน
แต่ซังเหยียนดูเหมือนว่าจะลืมไปหมดสิ้นเกี่ยวกับเรื่องที่ว่าเธอนั้นจะมาช่วยเขา ฝ่ายคนรับสายอึ้งไปครูหนึ่ง: “นี่ เธอมาจริงดิ?”
ซังจื้อตอบอย่างซื่อๆ: “ฉันอยู่หน้าประตูแล้ว”
“……” ซังเหยียนพูด “อยู่ที่ประตูหน้าใช่ไหม”
“อื้ม”
“ฉันไม่มีเวลาไปรับ เธอเดินเข้ามาแล้วเลี้ยวขวาแล้วก็เดินตรงมาจะเห็นบันไดก็เดินขึ้นมา อาคาร 9 ชั้น 5 ห้อง525” ซังเหยียนพูดเสริม “ถ้าไม่แน่ใจก็ถามๆเขาเอา บอกว่าหอพักชายอาคาร 9 อยู่ตรงไหน เข้าใจยัง?”
ซังจื้อตอบอย่างเชื่อฟัง: “เข้าใจแล้ว”
ซังจื้อวางสายแล้วเดินไปตามทางที่พี่ชายของเธอบอก
มหาวิทยาลัยหนานอู๋มีนักเรียนในท้องถิ่นจำนวนมาก
ซึ่งวันนี้ก็มีจำนวนไม่น้อยที่ให้คนในครอบครัวมาช่วยกันขนของ ดังนั้นระหว่างทางเดินซังจื้อจึงเห็นบุคคลที่ไม่ใช่นักศึกษาเดินขึ้นไปด้านบนเป็นจำนวนมาก แถมยังมีคนที่เป็นนักเรียนมัธยต้นแบบเดียวกับเธออีกด้วย
เดินมาสักสิบนาทีเห็นจะได้
ซังจื้อมองเห็นบันไดกว้างด้านล่างมีพื้นที่ว่างที่มีรถบัสจอดอยู่หลายคันแล้วยังมีรถบัสเล็กๆอยู่อีกด้วย หากแต่กลับที่มีพื้นที่เหลือเป็นถนนกว้างอีกสามเมตร
เธอกวาดตามองไปรอบๆครั้งหนึ่งก่อนจะโทรหาซังเหยียน จังหวะนั้นเธอไปสะดุดตาเข้ารถของซังหรงที่จอดอยู่ใกล้ๆนั่นพอดี
ซังจื้อลดโทรศัพท์ในมือลงแล้วเดินไป
ในรถไม่มีคนหากแต่ท้ายรถนั้นกลับเปิดอยู่ไม่รู้ว่าเป็นเพราะลืมหรือด้วยเหตุผลอะไร
ด้านในมีกองหนังสือและตุ๊กตาที่สุดจะน่าเกลียดน่าชังอยู่ตัวหนึ่ง
ซังจื้อคิดว่าไหนๆตนก็ต้องขึ้นไปข้างบนอยู่แล้วจึงกะว่าจะหยิบสองสิ่งนั้นขึ้นไปด้วย ซังจื้อลังเลก่อนจะหยิบตุ๊กตาตัวนั้นขึ้นมา โดยคิดว่าจะวางมันไว้ด้านบนของตั้งหนังสือแล้วค่อยหอบขึ้นไป น่าจะสะดวก
แต่ไม่ทันที่เธอจะรวบรวมของต่างๆเสร็จ
จู่ๆเธอก็รู้สึกเหมือนมีเงาตะคุ่มของใครบางคนยืนอยู่ด้านหลังของเธอ
จิตใต้สำนึกนั้นบอกให้เธอต้องหันไปมอง
สายตาของเธอสะดุดเข้ากับชายในเสื้อแขนสั้นสีดำสนิท
เธอไล่สายตาขึ้นมอง
จากลูกกระเดือก สันกราม ริมฝีปากไปจนตาของเขาที่ดูจะยิ้มแต่เหมือนไม่ยิ้ม
ต้วนเจียสวี่ปรายตามองตุ๊กตาในมือของเธอแล้วก็โน้มตัวลงมาสบตากับเธอแล้วยิ้ม: “โจรน้อยมาได้ยังไงเนี่ย?”
เขาขยับเข้ามาใกล้เธอ
ซังจื้อที่ตอนนี้อึกๆอักๆไม่รู้ว่าจะตอบเขาไปอย่างไรดี
จากนั้นต้วนเจียสวี่จึงชี้ไปที่มือของเธอแล้วก็เลิกคิ้วขึ้น: “ว่าแต่ ทำไมถึงขโมยแต่ของของพี่ล่ะคะ”
เขานิ่งไปครู่หนึ่ง
ก่อนจะถามขึ้นอย่างช้าๆ: “ชอบพี่หรอ?”