ตอนที่แล้วบทที่ 5
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 7

บทที่ 6


แม้ว่าเสียงของซังจื้อจะไม่ได้ดังและใช้น้ำเสียงอันเรียบนิ่ง แต่อาจเป็นเพราะสิ่งที่เธอพูดออกมาเมื่อครู่นั้นออกจะช็อกเกินไปสักหน่อย ทำให้ในเวลานี้เสียงพูดของเธอก็เป็นเหมือนกับโทรโข่งกรอกหูของเขาทั้งสองคน

ความเงียบถูกทำลายลงและบรรยากาศก็ดูเหมือนจะผ่อนคลายลงไปบ้างแต่ก็กลับมากระอักกระอ่วนอีกครั้ง

ต้วนเจียสวี่หุบยิ้มและยังคงนิ่งเงียบ

หญิงสาวไม่รู้เลยว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่กันแน่ ไม่รู้ว่าโดนแทงใจดำหรือกำลังคิดว่านี่เป็นเรื่องตลก เธอยิ้มแล้วค่อยๆลดโทรศัพท์ในมือลง

ซังจื้อลอบมองต้วนเจียสวี่ครู่หนึ่ง

และบังเอิญสบตากับเขาพอดิบพอดี เธอรีบหลบสายตาแล้วกอดกระเป๋าแนบอกพลางคลำหาโทรศัพท์ เธอทำประหนึ่งว่าตัวเองเป็นเพียงฉากหลังเท่านั้น

ผ่านไปครู่หนึ่ง

ต้วนเจียสวี่เบนสายตาไปทางอื่นพร้อมพูดตามน้ำไป: “อืม ผมก็เป็นคนห่วยแตกแบบนั้นแหละ”

“……..”

“ถึงแม้ช่วงนี้ช่วงนี้จะรับมือไม่ค่อยได้เท่าไหร่” เขาขำน้อยๆพร้อมควงโทรศัพท์ในมือแล้วพูดขึ้นอย่างเอื่อยๆ: “ถ้าเธออยากจะโทรมาละก็ โทรมาเบอร์นี้ได้นะ”

เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่เป็นธรรมชาติราวกับว่าไม่มีอะไรผิดแปลก อีกทั้งใบหน้าที่ไม่ปรากฏท่าทีว่าจะเขินอายแม้แต่น้อย เขาทำตัวเหมือนกับพวกที่พอหน้าตาดีกว่าชาวบ้านเขานิดหน่อยก็มายกตัวข่มท่านยังไงยังงั้นแหละ

ต้วนเจียสวี่ยักคิ้วพร้อมทั้งทำท่าทีดูเหลาะแหละ: “จะเอาไม่เอาคิดดูก่อนก็ได้”

หญิงสาวสูดหายใจลึก พยามที่จะรักษามารยาทเอาไว้: “ไม่เป็นไรค่ะ”

“น่าเสียดายจัง” ต้วนเจียสวี่ถอนหายใจเฮือกหนึ่ง แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงปนเศร้าว่า: “หรือไม่เธอก็ทิ้งช่องทางติดต่อไว้ไหมล่ะ? เผื่อว่าวันหลังผมจะเปลี่ยนใจ......”

ไม่รอให้พูดจบหญิงสาวก็หันหลังเดินจากไปทันที

เหลือเพียงต้วนเจียสวี่และซังจื้อสองคนเท่านั้น

เมื่อรอจนหญิงสาวเดินลับสายตาไปแล้ว ต้วนเจียสวี่จึงหันเหสายตามาทางซังจื้อแล้วพูดขึ้นอย่างติดตลกว่า: “ตัวเล็ก ถ้าพี่หาได้ไม่ครบสามสิบคนจะทำยังไง?”

“………”

น้ำเสียงนั่นที่ทั้งอบอุ่นทั้งสงบนิ่งราวกับว่าตั้งใจจะถามเธอจริงๆ

และรอยยิ้มนั่นที่ราวกับซ่อนใบมีดเอาไว้

ซังจื้อคิดว่ายอมให้เขาโกรธตนเองยังจะดีเสียกว่า

“ยังขาดอยู่อีกหนึ่งคนนี่” ต้วนเจียสวี่ยิ้ม “งั้นจะผ่านเดือนนี้ไปได้ยังไงกันนะ?”

“……..” ซังจื้อไม่กล้าที่จะเอื้อนเอ่ยคำพูดใดๆออกไปทั้งนั้น เธอไอแค็กออกมาอย่างเสแสร้ง สันหลังชาวาบ ความรู้สึกขี้ขลาดตาขาวพลันท่วมท้นในใจอยู่เต็มประดา

ต้วนเจียสวี่ที่ยืนอยู่ข้างๆนิ่งเงียบไม่พูดไม่จา เขาเงียบกว่าที่เคย

ราวกับว่าเขาได้ดำเนินแผนการใหญ่เสร็จสิ้นไปแล้ว

ครั้งนี้ซังจื้อรู้สึกกลัวขึ้นมาจริงๆ แม้แต่ลอบมองเขาเธอก็ไม่กล้า ได้เพียงแต่ยืนสงบเสงี่ยมอยู่ ณ ที่ตรงนั้น ไม่รู้เลยว่าจะมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นอีกไหม เธอลอบกลืนน้ำลายก่อนจะค่อยๆถอยเท้าไปข้างหลังอย่างเงียบเชียบ

เธอรวบรวมความกล้าแล้วตะโกนออกไปว่า: “ไว้เจอกันใหม่นะคะพี่” จากนั้นก็วิ่งออกไปราวกับจะชิ่งหนีปัญหา

ต้วนเจียสวี่เลิกคิ้วแล้วคว้าแขนเธอเอาไว้ได้อย่างง่ายดาย

“จะวิ่งไปไหน?”

วิ่งไปได้ไม่ถึงสองก้าวเธอก็ถูกเขาจับเอาไว้เสียแล้ว

ซังจื้อตระหนักได้ทันทีว่าโอกาสที่เธอจะหนีได้ในตอนนี้นั้นเป็นศูนย์

เธอรู้สึกท้อแท้

“นี่มันก็เย็นมากแล้ว......ช่วงนี้ฟ้ามืดเร็ว” ซังจื้อก้มหน้าลงอย่างร้อนตัวและพูดเสียงเบาอย่างกับยุง “อีกเดี๋ยวแม่ก็กลับบ้านแล้ว ถ้าเห็นว่าหนูยังไม่กลับบ้านเดี๋ยวจะเป็นห่วงเอา”

ต้วนเจียสวี่เงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า: “เย็นขนาดนี้ พี่จะปล่อยเธอกลับบ้านคนเดียวได้ยังไงกัน?”

ซังจื้อตอบขึ้นมาทันที: “ไม่เป็นไร ป้ายรถเมล์ก็อยู่แถวๆนี้เอง พอลงจากรถเดินกลับบ้านก็ไม่ไกลแล้ว พี่เองก็ต้องกลับไปที่มหาลัยนี่ จะไม่ยิ่งค่ำไปกว่าเดิมหรอ”

“หืม?” ต้วนเจียสวี่เอ่ย: “ก่อนหน้านี้ไม่เห็นเธอจะเป็นห่วงพี่ขนาดนี้เลยนี่”

“………” ในเมื่อหนีไม่พ้นและเธอก็ไม่อยากจะทำให้อะไรๆแย่ไปกว่านี้: “พี่ชาย เรื่องเล็กน้อยแค่นี้จะเก็บมันมาใส่ใจทำไม พี่ก็ไม่ได้เสียหายอะไรสักหน่อยไม่ใช่หรอ”

ต้วนเจียสวี่ถามขึ้นอย่างเอื่อยเฉื่อย: “มันจะไม่เสียหายได้ยังไง?”

เธอพูดอย่างชัดเจนมั่นใจ “ก็ที่พี่คิดนานขนาดนั้นไม่ใช่เพราะไม่อยากจะให้เบอร์พี่สาวคนนั้นไปไม่ใช่หรือไง จะปฏิเสธก็เสียมารยาท ถ้าอย่างนั้นไม่ใช่ว่าฉันช่วยพี่ไว้หรอกหรอ? พี่ต้องขอบคุณฉันด้วยซ้ำนะ”

แม่สาวน้อยคนนี้นี่วาจาช่างร้ายกาจเสียจริงๆ พูดได้ตาไม่กระพริบแม้แต่น้อย ต้วนเจียสวี่มองเธอครู่หนึ่งแล้วหัวเราะ : “โอเค” เขาเอ่ย

“แต่ว่านะ พี่ก็พึ่งช่วยฉันไป” การที่เขาตอบกลับเธอมาเช่นนี้แต่ความมั่นใจของซังจื้อก็ไม่ได้เพิ่มขึ้นมาแม้แต่น้อย เธอได้แต่กัดฟันพูด “งั้นตอนนี้เราก็เจ๊ากันแล้ว”

“พูดแบบนี้ไม่ได้หรอก” ต้วนเจียสวี่เอ่ย “ไปเถอะ พี่จะตอบแทนเธอให้ถึงหน้าประตูเอง”

“……..”

เด็กในวัยนี้น่ะมีคำที่จะกลัวที่สุดอยู่สองคำคือ------- “ฟ้องครู” “เรียกผู้ปกครอง”

คนตรงหน้าเธอตอนนี้ก็เอาแต่ขู่เธอด้วยสองคำนั้นอยู่ได้ทำให้เธอเสียอารมณ์ ซังจื้อไม่กล้าที่จะไปหาเรื่องเขาอีกแล้ว “อะไรๆก็ฟ้องพี่มันเด็กชะมัด”

ต้วนเจียสวี่พูดเบาๆ: “ก็ขาดแฟนอีกคนเลยอารมณ์ไม่ดีไง?”

ซังจื้อโพล่งขึ้น: “ก็พี่มาช่วยฉันพบอาจารย์นะ ไม่ได้มานัดบอด”

“โอเค งั้นบอกพี่หน่อย ใครสอนให้ทำแบบนี้?” ต้วนเจียสวี่พูดพลางยิ้ม “แล้วยังจะเปลี่ยนแฟนวันละคนอะไรนั่นอีก พูดอย่างกับพี่เป็นเป็ดยังไงยังงั้น”

ซังจื้อได้แต่กระพริบตาปริบๆเพราะไม่เข้าใจที่เขาพูด: “ทำไมถึงเหมือนกับเป็ดล่ะ?”

“…….”

แล้วเขาก็นึกขึ้นได้ว่าคนที่ยืนอยู่ต่อหน้าเขาตรงนี้เป็นเพียงแค่เด็กน้อยที่พึ่งขึ้นม.1เท่านั้น

ต้วนเจียสวี่เอาลูบหน้าตนเองก่อนจะหยิบกระเป๋าหนังสือของเธอมาถือแล้วพูดด้วยน้ำเสียงอันสงบนิ่ง: “หมายถึงเหมือนกับเลี้ยงสัตว์เลี้ยงน่ะ เลี้ยงเป็ดแล้วหลังจากนั้นก็เปลี่ยนเจ้าของเป็ดรายวันน่ะ”

ซังจื้อคิด แม้ว่าเธอจะรู้สึกว่ามันออกจะแปลกๆไปสักหน่อยแต่ก็ทำเป็นว่าเข้าใจ

“อ้อ”

กระเป๋าหนังสือสีฟ้าได้มาอยู่ในมือของเขาแล้วในตอนนี้

ต้วนเจียสวี่ชั่งน้ำหนักของกระเป๋าด้วยมือแล้วเอ่ยถามขึ้น: “ทำไมเบาจัง?”

ทั้งสองมุ่งหน้าไปยังป้ายรถเมล์

ซังจื้อ: “ก็ไม่ต้องพกอะไรเยอะแยะนี่”

ต้วนเจียสวี่: “การบ้านล่ะ?”

แล้วท่าทีของซังจื้อก็เปลี่ยนไป เธอพูดอย่างช้าๆว่า: “……..หนูไม่อยากทำนี่”

“ไม่อยากทำ?” ต้วนเจียสวี่เอ่ย: “แล้วเธอเอาเวลาไปทำอะไร?”

“…….”

“ยัยเด็กน้อย เธอควรจะเชื่อฟังนะ เวลาเรียนก็ตั้งใจเรียน เคารพกฏของห้อง ปฏิบัติกับอาจารย์เขาดีๆ ทำการบ้านให้เสร็จ” พลันต้วนเจียสวี่ก็นึกถึงเด็กชายที่อยู่ที่ห้องพักครูเมื่อครู่ขึ้นมาได้ จึงกำชับอีกครั้ง “แล้วก็ อย่าพึ่งมีรักในวัยเรียนล่ะ โตแล้วค่อยว่ากัน ตอนนี้ก็เป็นเพื่อนกันไปก่อน”

ซังจื้อมองเขาก่อนจะตอบรับอย่างขอไปที

เห็นท่าทีของเธอที่ดูท่าแล้วจะฟังแบบเข้าหูซ้ายทะลุหูขวา เขาจึงพูดเสริมอย่างไม่จริงจังนัก: “ถ้าเธอโดนเรียผู้ปกครองอีก แผนที่เธอให้พี่มาสวมรอยเป็นพี่ชายของเธอมีหวังได้แตกแน่ ถ้าเป็นอย่างนั้นพี่เองก็คงจะจบเห่ เธอจะมาทวงบุญคุณความแค้นอะไรกันก็ไม่ได้แล้วนะ”

ซังจื้อ: “ครั้งหน้าให้พี่มาก็สิ้นเรื่องแล้ว ………..”

เขาไม่ได้โต้ตอบอะไรเพียงแต่ยิ้มน้อยๆให้กับเธอ

ไม่รู้ว่าทำไมแต่ซังจื้อกลัวว่าเขาจะโกรธและด้วยเหตุนี้ทำให้เธอเสียจุดยืนขอตนเองไป : “หนูรู้แล้ว”

คราวนี้เขาส่งยิ้มให้กับเธอ: “เด็กดี”

น้ำเสียงราวกับให้รางวัลเธอยังไงยังงั้น

ต้วนเจียสวี่โน้มตัวลงมาลูบหัวเธออย่างเอ็นดู

“ไปกันเถอะ พี่ส่งเธอกลับบ้าน”

-

เขาส่งเธอที่ใต้ตึก

ต้วนเจียสวี่เองก็ไม่ได้มีทีท่าว่าจะขึ้นไปข้างบนด้วย เขาเอากระเป๋าวางไว้ด้านหน้าของเธอ: “กลับไปเถอะ”

ซังจื้อพยักหน้าแล้วพูดอย่างว่านอนสอนง่าย: “ขอบคุณนะคะพี่”

เมื่อถึงหน้าประตูห้องเธอจึงหยิบกุญแจออกมาจากกระเป๋าแล้วค่อยๆเปิดประตูออกอย่างช้าๆ ไม่รู้ว่าจะได้เจอกันอีกไหม เธอเองก็ไม่ได้ยินเสียงฝีเท้าเดินออกไป เธอหยุดแล้วค่อยๆหันกลับไปมอง

ต้วนเจียสวี่ยังคงยืนอยู่ตรงนั้นและสบตากับเธอพอดี

ราวกับว่าถูกจับได้ หน้าของเธอก็แดงระเรื่อขึ้นมาทันทีเธอจึงรีบตะโกนออกไป: “ไว้เจอกันใหม่นะคะพี่!”

แล้วเธอก็รีบวิ่งเข้าไป

ยังไม่มีใครกลับมา ที่บ้านว่างเปล่า

ซังจื้อจับไปที่หน้าของตนเองที่ตอนนี้เขินอายจนร้อนผ่าวไปหมด เธอสลัดรองเท้าออกแล้ววิ่งไปที่ระเบียงแล้วมองลอดผ่านตะแกรงออกไป ต้วนเจียสวี่ตอนนี้เดินใกล้จะถึงทางออกแล้ว เวลานี้มือข้างหนึ่งของต้วนเจียสวี่ถือโทรศัพท์แนบหูเหมือนกำลังโทรหาใครบางคนอยู่

ไม่นานนัก ดูเหมือนว่าเขาจะรู้สึกได้ถึงอะไรบางอย่าง จู่ๆก็หันกลับมาแล้วมองมาทางเธอ

ซังจื้อไม่ทันจะได้ตั้งตัวก็ได้แต่กินปูนร้อนท้อง

เธอรีบก้มตัวลง

หัวใจเต้นตึกตักๆราวกับจะหลุดออกมาข้างนอก เธอกลืนน้ำลาย เธออยู่ตรงนั้นพักหนึ่งก่อนจะหันกลับไปมองอีกครั้ง

แต่กลับไม่พบเงาของต้วนเจียสวี่อีกแล้ว

เธอลอบถอนหายใจครั้งหนึ่ง

ในใจรู้สึกว่างเปล่าอย่างบอกไม่ถูก

-

ดูเหมือว่าปัญหาคราวนี้จะผ่านไปได้ด้วยดี

อาจารย์ก็ไม่สังเกตเห็นสิ่งที่ผิดปกติ พ่อกับแม่ก็ไม่รู้เรื่องนี้ ด้วยเหตุนี้ดูเหมือนเธอจะไม่ได้รับบทเรียนอะไรเลย แต่นั่นดูเหมือนจะนำมาซึ่งผลหลังที่ไม่จบไม่สิ้นเสียแล้ว

เธอคิดวนเวียนอยู่แต่กับคนๆนั้นซ้ำไปซ้ำมา

เดี๋ยวก็รู้สึกเศร้าแล้วกลับมามีความสุข

ซังจื้อมีความรู้สึกที่อธิบายไม่ถูกและเธอก็ไม่รู้จะทำอย่างไร ไม่กล้าที่จะบอกใครเพราะเธอรู้สึกเขิน ราวกับว่าในค่ำคืนอันยาวนานมีแต่เธอเพียงคนเดียว เป็นความลับที่บอกใครไม่ได้

ซังจื้อเริ่มที่จะฝันกลางวัน

ในสมุดร่าง ไดอารี่ค่อยๆถูกเติมเต็มไปด้วยชื่อของชายคนนั้น เธอไม่รู้ด้วยซ้ำว่าชื่อเขานั้นพ้องเสียงกับตัวอักษรไหน

ความรู้สึกนี้คงอยู่กับเธอในช่วงเวลาหนึ่ง

บางทีอาจเป็นเพราะไม่ได้เจอกันอีก จึงทำให้ความรู้สึกนั้นค่อยๆจางหายไปตามกาลเวลาหรืออาจเป็นเพราะเธอกดทับความรู้สึกนั้นไว้ทำราวกับว่าไม่เคยรู้สึก

เวลาแค่เพียงพริบตา การสอบกลางภาคก็ได้จบลงและแล้ววันหยุดในเทศกาลไหว้บ๊ะจ่างก็มาถึง

ซังจื้อที่กลับบ้านเร็ว หยิบสตรอเบอร์รี่ถ้วยหนึ่งออกมาจากตู้เย็นหลังจากนั้นเธอก็ปีนขึ้นโซฟาไปนั่งกินสตรอเบอร์รี่อย่างสบายใจ พ่อกับแม่ยังไม่กลับมา ทั้งบ้านมีแต่เธอนอนดูการ์ตูนอยู่เพียงคนเดียว

จู่ๆประตูก็เปิดออก ซังจื้อจึงหันไปมองและพบเข้ากับซังเหยียน

คิดไม่ถึงว่าวันหยุดนี้เขาจะกลับมา ซังจื้ออึ้งอยู่พักหนึ่งก่อนจะทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นพลางเบนสายตากลับมาดูทีวีต่อ

ซังเหยียนที่พูดด้วยน้ำเสียงหงุดหงิดปนหัวเราะ: “นี่ไม่ทักกันหน่อยหรือไง?”

“จะกลับมาทำไมไม่บอกก่อนเล่า” ซังจื้อที่ในมือของเธอนั้นถือสตรอเบอร์รี่ลูกโต กินไปพูดไป “แม่โทรมาบอกให้นายไปหุงข้าว รีบไปสิ”

ซังเหยียนพูดเสียงเย็น: “ฉันไม่ได้บอกแม่ว่าจะกลับบ้าน แม่จะบอกฉันได้ไง”

ซังจื้อยังไม่ละสายตาไปจากทีวี เธอคว้าโทรศัพท์จากด้านข้างขึ้นมาโทรหาหลีผิง หลังจากนั้นเธอก็เปิดสปีคเกอร์: “ถ้าพี่ไม่เชื่อหนูโทรถามแม่ก็ได้”

ซังเหยียนขี้เกียจจะยุ่งจึงเดินไปที่ตู้เย็นหยิบน้ำเย็นๆออกมาดื่ม

ปลายสายรับอย่างรวดเร็ว แล้วเอ่ย: “จื๋อจื่อ มีอะไรหรือเปล่า?”

“แม่คะ” ซังจื้อพูดต่อ “พี่เขากลับมาแล้ว เมื่อกี้แม่บอกให้พี่เขาหุงข้าวใช่ไหม”

ซังเหยียนปิดประตูตู้เย็นลงแล้วมองไปทางซังจื้อ

จากนั้น เขาก็ได้ยินหลีผิงที่เงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะพูดขึ้นว่า: “ใช่แล้ว พี่เขาหุงแล้วหรือยัง?”

ซังเหยียน : “……..”

ซังจื้อกลืนสตรอเบอร์รี่ลงคอ ก่อนจะขึ้นเสียงสูงถามซังเหยียน: “พี่ แม่บอกให้หุงข้าวหุงหรือยัง!”

ซังเหยียนมองซังจื้ออย่างเงียบๆซังจื้อครู่หนึ่งก่อนจะเดินตรงไปที่ครัว ซังจื้อพยุงตัวเองขึ้นมาจากโซฟา เดินไปยังห้องครัวแล้วโผล่หัวออกมาดู: “เขาหุงอยู่ค่ะ”

เธอพูดกับหลีผิงอีกเล็กน้อยก่อนจะวางสาย เธอมองแผ่นหลังของซังเหยียน จู่ๆเธอก็นึกถึงเรื่องราวของต้วนเจียสวี่คนนั้นขึ้นมา

เธอเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะพูดขึ้นว่า: “พี่ อยู่ที่มหาลัยมีความรักบ้างไหม?”

ซังเหยียนยังคงเมินเฉย

“ไม่มีหรอ? ครั้งนึงก็ไม่มีหรอ?” ดูเหมือนเธอนั้นจะให้ความสนใจกับเรื่องนี้เป็นอย่างมาก ตอนนี้เธอดูเหมือนจะเมินการ์ตูนไปโดยสิ้นเชิง

“ฉันพูดจริงๆนะพี่”

ซังเหยียนหันหน้ากลับมามองแล้วถามด้วยน้ำเสียงที่ไม่สบอารมณ์นัก: “แล้วมันจะทำไมล่ะ?”

ซังจื้อพูดด้วยท่าทีที่จริงจัง: “พี่อยากไปทำศัลยกรรมไหม?”

“……..”

ซังเหยียนที่ตอนนี้ไม่อยากจะยุ่งกับเธอแล้ว เขาไม่อยากจะมองหน้าเธอเลยยืนหันหลังให้ เขายิ้มอย่างเย็นชาแล้วพูดขึ้น: “เธอจำพี่คนที่มากับพี่คนนั้นได้ไหม?”

ซัวจื้อถึงกับหยุดเคี้ยวของในปาก เธอหลุบตาลงต่ำแล้วเอ่ยขึ้นอย่างช้าๆ: “จำได้สิ”

“หมอนั่นบอกว่าเธอเหมือนกับฉันเลย”

“……..” ซังจื้อเงียบอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยขึ้นว่า: “หนูไปทำให้เขาโกรธหรอ?”

“อะไรนะ”

ซังจื้อเม้มปากแล้วเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเศร้าๆ: “ถ้าไม่มีแล้วทำไมพี่เขาถึงมาด่าว่าฉันน่าเกลียดล่ะ?”

“………”

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด