บทที่ 5
ซังจื้อไม่รู้แน่ชัดว่าเขาอายุเท่าไหร่กันแน่ แต่เห็นเขาพูดเช่นนี้เธอก็นึกถึงอายุของซังเหยียน เธอก็ดึงหน้านิ่งและพูดอย่างหงุดหงิดว่า: “งั้นพี่ก็แก่มากเลยสินะ”
“...........”
งั้นพี่ก็แก่มากเลยสินะ
แก่มาก
แก่
แม้ว่าโดยปกติแล้วต้วนเจียสวี่ไม่ได้ใส่ใจกับเรื่องอายุมากนัก แต่ประโยคเมื่อครู่กลับรู้สึกเจ็บใจจี๊ดๆเหมือนโดนมีดแทง
เขาที่พึ่งจะอายุได้ยี่สิบปีเต็มโดนเรียกว่า “แก่”เนี่ยนะ ต้วนเจียสวี่ไม่รู้ว่าอธิบายความรู้สึกของเขาตอนนี้ว่าอย่างไรดี เขาได้แต่พ่นลมออกจากปากอย่างช้าๆ พร้อมถามย้ำขึ้น: “พี่เนี่ยนะแก่?”
ซังจื้อพยักหน้า: “พี่น่ะแก่”
“...........”
ครู่หนึ่ง
“สาวน้อย ถ้าเธอคิดว่าพี่แก่” ต้วนเจียสวี่หันมาสบตากับเธอโดยตรง คล้ายกับจะบอกว่านี่มันออกจะตลกและไร้สาระเกินไปแล้ว : “ถ้าอย่างงั้น ไม่เรียกอาไปเลยล่ะ”
“อ้อ” ซังจื้อคิดครู่หนึ่ง เธอรู้สึกว่าที่เขาพูดก็พอจะสมเหตุสมผลอยู่ เธอจึงพูดขึ้นทันใด: “คุณอา”
“...........”
ดวงตาของสาวน้อยที่กลมโตใสสะอาดไร้สิ่งเจือปน เธอพูดอย่างจริงใจราวกับว่านั่นเป็นคำพูดจากก้นบึ้งของจิตใจของเธอ
ซ้ำยังใช้ท่าทีที่ใสซื่อจนใจเจ็บนั่นอีก
เฉินหมิงซวี่ที่อยู่ด้านข้างนั้นก็ได้ขัดบทสนทนาของทั้งสองลง เขายื่นน้ำแก้วหนึ่งมาให้กับต้วนเจียสวี่ พร้อมพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เก้อเขินว่า: “ต้องขออภัยด้วย คุณนั่งรอก่อนนะครับ พอดีดื่มน้ำมากไปหน่อยขอไปห้องน้ำสักครู่”
ต้วนเจียสวี่ปรับท่าทีของตนเอง : “อ่อ ได้ครับ”
บางทีอาจเป็นเพราะเขาว่างมากหลังจากที่เฉินหมิงซวี่เดินออกไป ต้วนเจียสวี่หันหน้ากลับมาพูดสิ่งที่ยังค้างคาไว้เมื่อครู่ต่อ: “รู้ไหม ถ้าเธอเรียกพี่แบบนี้ พี่ชายเธอก็ต้องเรียกแบบนั้นเหมือนกันน่ะสิ?”
ซังจื้อตอบอย่างไร้เดียงสา: “ไม่รู้”
ต้วนเจียสวี่: “ตกลงจะเรียกพี่หรือเรียกอา”
ซังจื้อคิดๆดูแล้วจึงแค่นตอบ: “งั้นเรียกพี่ก็ได้”
คิ้วของต้วนเจียสวี่ที่ผ่อนคลายลงแล้วพูดอย่างเอื่ยๆว่า: “ปกป้องพี่ชายเธออยู่สินะ”
“ปกป้องอะไร” ซังจื้อไม่เข้าใจสิ่งที่เขาเอ่ยถึง “เรื่องอะไรจะต้องไปปกป้องหมอนั่นกัน รายนั้นน่ะชอบแกล้งอยู่ได้หนูแค่ไม่อยากให้หมอนั่นต้องเรียกพี่ว่าอาแค่นั้นเอง”
“ทำไมล่ะ?”
“ก็เขาดูแก่กว่าพี่นี่”
“............”
คิดไม่ถึงว่าเธอจะให้คำตอบเขาเช่นนี้ ต้วนเจียสวี่ถึงกับอึ้งไปครู่หนึ่งก่อนจะขำพรืดออกมาแล้วยิ้ม “นี่ซังเหยียนดูแก่ว่าพี่อีกหรอ?”
ซังจื้อ: “ก็ใช่น่ะสิ”
แม้ว่าจะแข่งกันเรื่อง “ความแก่” เขาก็ได้รับชัยชนะไป
ต้วนเจียสวี่อารมณ์ดีขึ้นมาก เขากระแอมเล็กน้อยก่อนจะถามขึ้นอย่างอ่อนโยนว่า“สาวน้อย เธอดูตรงไหนว่าเขาแก่กว่าพี่ล่ะ?”
พูดจบเขาก็เสริมอีกว่า “พี่ว่าจริงๆเราก็พอๆกันนะ”
ซังจื้อมองสำรวจใบหน้าของเขาแล้วก็หลุบตาลง เธอตอบด้วยน้ำเสียงเอื่อยเฉื่อยว่า: “จริงๆก็มีต่างกันนิดหน่อย”
“............”
ไม่นานนัก ก็มีผู้หญิงคนหนึ่งมาเคาะประตูห้อง สายตาของเธอมองไปรอบๆด้วยท่าทีเคอะเขินเล็กน้อย: “สวัสดีค่ะ ครูประจำชั้นของฟู่เจิ้งชูอยู่ที่นี่หรือเปล่าคะ”
อาจารย์จางรีบลุกขึ้นทันที: “ค่ะ! พี่สาวของเจิ้งชูใช่ไหมคะ?”
หญิงสาวส่งยิ้มก่อนจะเดินเข้ามา: “ใช่ค่ะ”
ฟู่เจิ้งชูที่มารออยู่นานมากแล้วก็อดที่จะตัดพ้อไม่ได้: “พี่ ทำไมพึ่งจะมาเอาป่านนี้เล่า”
ซังจื้อที่ได้ประโยชน์จาสถานการณ์นี้มองข้ามในสิ่งที่เกิดขึ้น
หญิงสาวที่มีดวงตาคล้ายกับฟู่เจิ้งชู ในชุดเดรสสีขาวแต่งหน้าอ่อนๆและใบหน้าสะสวย เธอพูดอธิบายกับฟู่เจิ่งชูเบาๆ: “ฉันเลิกเรียนก็มาเลยเนี่ยแต่มันไกล”
พูดจบ หญิงสาวจึงสังเกตเห็นต้วนเจียสวี่ที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ เธอสบตาเขาครู่หนึ่งก่อนจะปรายตาไปทางอื่น ท่าทางการพูดของเธอนั้นดูเหมือนจะประหม่าเล็กน้อย: “ขอโทษด้วยค่ะ อาจารย์จาง ให้รอเสียนานเลย”
อาจารย์จางโบกมือปัดป่าย: “ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ทางนี้ก็รบกวนเหมือนกันที่จะต้องให้มาพบอีกรอบนึง”
เป็นเพราะคำพูดของซังจื้อเมื่อครู่ทำให้ต้วนเจียสวี่ถึงกับหัวเราะอยู่พักใหญ่ มุมปากของเขายังคงยกยิ้ม สายตายังคงไม่ละไปจากซังจื้อ: “เมื่อไหร่ครูเธอจะมาสักที?”
ซังจื้อมองตอบ: “เดี๋ยวก็มาแล้ว”
“เสี่ยวซังจื้อ พี่ชักจะเบื่อแล้วสิ” ต้วนเจียสวี่ที่ตอนนี้เบื่อจะแย่อยากจะหาเรื่องแหย่เธอเสียหน่อย : “เธอช่วยพูดอะไรให้พี่หายเบื่อหน่อยสิ”
ซังจื้อมองอย่างสงสัย: “พูดอะไร”
“ก็อย่าง” ต้วนเจียสวี่หยุดคิดอยู่ครู่หนึ่ง “พี่เจียสวี่หล่อที่สุดในโลก”
“หนูไม่ใช่กล่องอัดเสียงซะหน่อย” ซังจื้อฉุน
“ก็ให้เธอชมพี่” ต้วนเจียสวี่พูด “ไม่ได้ให้มาเป็นกล่องอัดเสียงซะหน่อย”
ซังจื้อปฏิเสธ: “ไม่อะ”
ต้วนเจียสวี่ไม่ได้ถือโทษโกรธเธอแต่อย่างใด เขาลากเสียงยาวและพูดด้วยน้ำเสียงที่หยอกเล่น: “ยายขี้งก”
เวลานี้เฉินหมิงซวี่ไปเข้าห้องน้ำเมื่อครู่ก็เดินกลับเข้ามา เขานั่งลงแล้วหัวเราะ“ขอโทษด้วยจริงๆครับ พอดีว่าท้องไส้ปั่นป่วนนิดหน่อย”
ต้วนเจียสวี่: “ไม่เป็นไรครับ ผมไม่รีบ”
จากนั้นเขาเลื่อนแก้วน้ำที่ยังไม่ได้ดื่มมาหยุดอยู่ตรงหน้าของซังจื้อ: “จะดื่มมั้ย?”
“ยัยขี้งก”นิ่งไม่ตอบ
ต้วนเจียสวี่ใช้นิ้วเคาะแก้วสองสามครั้ง: “ดื่ม”
แล้วจึงละสายตามาที่เฉินหมิงซวี่และสนทนากับเขาด้วยท่าทีเอาจริงเอาจัง
ซังจื้อหยิบแก้วน้ำขึ้นดื่มอย่างเงียบๆ เธอมองไปยังโต๊ะที่ตอนนี้ว่างเปล่าแล้วนึกขึ้นได้ว่าตั้งแต่มาที่นี่เขายังไม่ได้ดื่มน้ำสักแก้วเลย เธอลุกขึ้นตั้งหลักสักพัก ก่อนจะเดินไปยังตู้กดน้ำเพื่อเอาน้ำให้กับเขา
-
สิ่งที่เธอรำคาญเฉินหมิงซวี่ที่สุดก็คือสิ่งที่เขาพูดนั้นเหมือนเดิมทุกครั้งที่เรียกพบผู้ปกครอง ซังจื้อฟังมาหลายครั้งหลายหนจนได้หมดแล้ว เฉินหมิงซวี่ต่างหากที่เหมือนกับกล่องอัดเสียงที่พวกเขาพึ่งพูดถึงไปเมื่อครู่
เธอรู้สึกเบื่อจนอยากจะหาวและเริ่มคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย
ทันใดนั้นความสนใจของเธอก็ตกไปอยู่ที่อีกฟากฝั่งหนึ่งของห้องที่บรรยากาศดูเหมือนจะเงียบสงบดีไม่เหมือนกับฝั่งเธอที่มีเฉินหมิงซวี่เอาแต่ฟ้องไม่หยุด
ซังจื้อเงี่ยหูฟัง
อาจารย์จางจู่ๆก็หัวเราะขึ้นมา: “เจิ้งชูน่ะถึงจะคะแนนไม่ค่อยดี แต่อย่างอื่นก็ดีหมดเลยค่ะ ครั้งนี้ก็ไม่ใช่ว่าเขาทำผิดอะไรถึงเรียกคุณมาหรอกนะคะ ก็เมื่อวานนี้จู่ๆเขาก็วิ่งพรวดเข้ามาในห้องพักครู ตะโกนเสียงดังอยากให้เรียกผู้ปกครอง ฉันละก็ตกใจหมดเลย”
“…….”
ได้ยินดังนั้น ฟู่เจิ้งชูก็รีบหันมองไปทางซังจื้อทันที
ทั้งสองสบตากัน
------ เงียบ
คิดไม่ถึงว่าเธอจะได้ยิน ฟู่เจิ้งชูถึงกับหน้าเจื่อน เขาอับอายอย่างถึงที่สุด ถ้าเป็นไปได้เขาแทบจะขุดโพรงแล้วหลบไปอยู่ในนั้น
ซังจื้อเห็นท่าทีที่ดูแปลกๆของเขา เธอจึงเอานิ้วชี้ๆไปที่ขมับ
ทำท่าบุ้ยใบ้: “สมองนายมีปัญหารึไง”
มีคนปกติที่ไหนอยู่ดีๆอยากโดนเรียผู้ปกครองกัน?
ฟู่เจิ้งชูทำเป็นใจเย็นแล้วขยับปากบอกเธอ: “เดี๋ยวไว้อธิบายให้ฟังวันหลังนะ” จากนั้นเขาก็เบนสายตาไปทางอื่น
เขาหันหน้ากลับไป พลันสายตาของซังจื้อก็สังเกตเห็นสายตาของพี่สาวฟู่เจิ้งชูพอดี สายตานั่นมองมาทางเธอแต่กลับไม่ได้มองเธอ
ซังจื้อจึงมองตามสายตานั่นไป
แล้วก็ไปหยุดอยู่ที่ต้วนเจียสวี่จริงๆเสียด้วย
ตอนแรกเธอคิดว่านี่เป็นเพียงเรื่องบังเอิญ แต่ซังจื้อก็เห็นว่าเธอนั้นมองมาหลายครั้ง
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะบังเอิญหรือด้วยเหตุผลอื่น
ซังจื้อหลุบตาลงกระชับหมัดแน่น จากนั้นก็เคลื่อนตัวอย่างเงียบเชียบไปอยู่ในตำแหน่งที่เป็นบดบังสายตาของหญิงสาว
-
การพูดคุยครั้งนี้กินเวลาถึงสี่สิบนาที
เฉินหมิงซวี่พูดฟ้องจนหมดแล้วก็จิบน้ำอึกหนึ่ง: “ก็ประมาณนี้แหละนะครับ จริงๆแล้วผมก็ไม่อยากจะรบกวนคุณให้ต้องมาสักเท่าไหร่ แต่ซังจื้อเด็กคนนี้ทำผมปวดหัวเสียจริงๆ ผมให้เธอลุกขึ้นตอบคำถาม แต่เธอก็ยังมาย้อนถามผมว่าทำได้หรือไม่ได้ แล้วยังพูดอีกว่าที่เรียกเธอขึ้นมาคือให้มาสอนผมใช่ไหม มิหน่ำซ้ำยังจะมาพูดอีกว่าไม่อยากจะแย่งงานผม ทำแบบนี้นี่ทำให้เด็กคนอื่นๆไม่มีกระจิตกระใจจะเรียนกันไปหมดแล้วน่ะครับ”
ต้วนเจียสวี่หยุดครู่หนึ่งก่อนปรายตามองไปยังซังจื้อ: “ยังมีเรื่องนี้ด้วยหรอครับ?”
ซังจื้อก้มหน้างุด แสร้งว่าตนรู้สึกผิด
เฉินหมิงซวี่พยักหน้า: “ก่อนหน้านี้ผมเองก็เคยพูดคุยแลกเปลี่ยนกับแม่ของเธอหลายครั้ง เสียเวลาพวกคุณไปก็ไม่น้อยเลย แต่ก็เพราะหวังดีกับเด็กคนนี้น่ะครับ ซังจื้อแกเป็นเด็กฉลาดนะ ถ้าตั้งใจเรียนละก็ อีกหน่อยจะต้องสอบเข้ามัธยมปลายได้อย่างแน่นอน คุณลองกลับไปกวดขันเธอหน่อยเถอะครับ”
“ครับ” ต้วนเจียสวี่เอ่ย “ผมจะกลับไปอบรมเธออย่างดีครับ”
ทั้งสองคนได้เดินออกจากห้องพักครูมาแล้ว
ทุกอย่างราบรื่นกว่าที่คิด เฉินหมิงซวี่ไม่สงสัยเลยสักนิด เหมือนยกภูเขาอันหนักหนักอึ้งออกจากอกของซังจื้อ เธอมองต้วนเจียสวี่ ที่ขณะนี้เธอก็คุ้นเคยกับเขามากขึ้นแล้ว: “ขอบคุณนะพี่”
ต้วนเจียสวี่พูดตอบรับ: “จะกลับบ้านแล้ว?”
“ค่ะ” ซังจื้อกระพริบตาปริบๆ เป็นเพราะเขาช่วยเหลือเธอ น้ำเสียงที่ใช้พูดตอนนี้จึงดีขึ้นมาหน่อย “จะอยู่ทำไมล่ะคะ?”
“แต่ว่า”ต้วนเจียสวี่เว้นจังหวะก่อนจะพูดขึ้นด้วยเสียงเนิบนาบ “ยังไม่ได้เริ่มอบรมเธอเลยนะ”
“……….”
คำพูดนั่นราวกับโดนคนเอาน้ำเย็นมาราด ความสุขของเธอหายไปหมดสิ้นในทันที เธอพูดอย่างไม่เต็มใจ“พี่ก็จะมาด่าฉันอีกคนหรือไง?”
“ไปกันเถอะ” ต้วนเจียสวี่ไม่ได้ตอบโต้อะไร “พี่ส่งเธอกลับบ้าน”
ด้วยที่เขาไม่ได้ว่าอะไร ซังจื้อจึงนึกว่าเป็นเพียงการล้อเล่นเท่านั้นหากแต่ก่อนที่เธอจะได้วางใจเขาก็เอ่ยขึ้นว่า
“ระหว่างทางค่อยว่ากัน”
ซังจื้อ: “……..”
ทั้งสองเดินข้างกันไปยังประตูโรงเรียน
เขาให้เวลาเธอสงบสติอารมณ์ เขาไม่ได้เอื้อนเอ่ยสิ่งใดขึ้นมาอีกในระหว่างที่อยู่ในรั้วโรงเรียน ซังจื้อที่ตอนนี้ที่ใจคอไม่ค่อยดีนัก มือของเธอบีบสายกระเป๋าแน่นและอดที่จะพูดขึ้นไม่ได้: “พี่ชายหนูน่ะมาช่วยพบครูก็จริง แต่เสร็จแล้วก็ไม่เคยมาว่าหนูเลยนะ”
ต้วนเจียสวี่: “จริงหรอ?”
ซังจื้อ : “ก็จริงน่ะสิ!”
ต้วนเจียสวี่จ้องมองเธอ ราวกับว่าต้องการจะรู้ให้ได้ว่าเธอนั้นพูดจริงหรือหลอกกันแน่ จากนั้นก็หยิบโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋า “ไหนลองถามดูซิ”
“........”
“เดี๋ยวก่อน!” ซังจื้อตกใจแล้วก็กระโดดแย่งโทรศัพท์ “ถ้าพี่ถามเขา เขาก็รู้น่ะสิ! หมอนั่นรู้โลกก็รู้! งั้นที่พี่มาวันนี้ก็เสียเปล่าน่ะสิ”
“พี่ก็แค่จะถามเท่านั้นเอง” ต้วนเจียสวี่ทำเหมือนกับว่ากำลังหยอกเล่นกับเจ้าแมวตัวน้อย เขายกโทรศัพท์หลบไปมาไม่ให้เธอจับได้“พี่มาไกลนะ จะมาโดนเด็กน้อยหลอกได้ยังไง งั้นพี่ก็น่าสงสารแย่น่ะสิ”
เวลานี้ก็มีเสียงหญิงสาวจากด้านหลังดังขึ้นขัดบทสนทนาของพวกเขาทั้งสองลง เสียงเล็กระคนประหม่าที่เบาเสียจนแทบจะไม่ได้ยิน: “สะ สวัสดีค่ะ!”
ทั้งสองหันหน้ามองตามเสียงนั้น
เป็นพี่สาวของฟู่เจิ้งชูนั่นเอง เวลานี้เธอยืนอยู่เพียงคนเดียวไม่รู้ว่าฟู่เจิ้งชูหายไปไหน
หญิงสาวที่ไม่สูงมากนัก ร่างกายผอมบางโครงหน้าเรียวและใบหน้าที่แดงเพราะความเขินอาย เธอมองไปที่ต้วนเจียสวี่แล้วหยิบโทรศัพท์ออกจากกระเป๋าอย่างรีบร้อน: “รบกวนขอข้อมูลติดต่อคุณไว้ได้ไหมคะ”
บรรยากาศตอนนี้กลายเป็นบรรยากาศที่เปราะบางขึ้นมาทันที
ต้วนเจียสวี่มองเธอแต่ไม่ได้เอ่ยคำพูดใดออกไป
ราวกับว่าเป็นการปฏิเสธเธอกรายๆ
ท่าทีของหญิงสาวดูประหม่าขึ้นเรื่อยๆ
ตากลมโตของซังจื้อมองไปที่ทั้งสอง เธอไม่อาจรู้ได้ว่าการที่ต้วนเจียสวี่นิ่งเงียบนั้นคือคิดอะไรอยู่ในหัวกันแน่ จู่ๆเธอจึงเงยหน้าพูดสิ่งที่น่าตกใจขึ้น “พี่สาว พี่ชายหนูคนนี้น่ะมีแฟนตั้งยี่สิบเก้าคน”
ต้วนเจียสวี่ถึงกับช็อกแล้วมองมาที่เธอ
“พี่ไม่ต้องกังวลหรอกค่ะ ยังไงเดี๋ยวเขาก็ให้” ซังจื้อไม่กล้าสบตากับต้วนเจียสวี่ เธอแสร้งพูดด้วยน้ำเสียงที่เป็นมิตร “เขาเปลี่ยนวันละคนน่ะค่ะ” เดือนนี้จะว่าไปแล้วก็ยังขาดอยู่หนึ่งคน ดูเหมือนคนนั้นจะเป็นพี่นะคะ
“........”