บทที่ 4
ซังจื้อที่อยู่ดีๆก็เจริญอาหารขึ้นมา หยิบถ้วยโจ๊กขึ้นมาซดจนหมดและปฏิเสธที่จะให้พ่อขับรถไปส่งที่โรงเรียน เธอสะพายกระเป๋าแล้วออกไปขึ้นรถไปโรงเรียนเหมือนอย่างเคย
เมื่อถึงที่ป้ายรถประจำทาง ซังจื้อก้มหน้าหาบัตรนักเรียนในกระเป๋า
หางตาเหลือบไปเห็นร้านสะดวกซื้อที่อยู่ข้างๆ เธอลังเลว่าจะเดินเข้าร้านดีหรือไม่
ร้านสะดวกซื้อแห่งนี้ไม่ใหญ่นัก บริเวณทางเข้ามีเครื่องดื่มวางเรียงรายอยู่ในตู้แช่เย็น ซังจื้อจ้องมองนมที่วางอยู่นั้น แล้วกระพริบตาปริบๆ ไม่รู้ว่าในหัวของเธอคิดอะไรอยู่กันแน่
เธอยืนอยู่ตรงนั้นอยู่พักหนึ่ง พนักงานแคชเชียร์ที่ยืนอยู่จึงอดถามไม่ได้ว่า: “หนูน้อยจ๊ะ อยากจะซื้อนมหรือเปล่า?”
ถ้าเป็นในยามปกติละก็เธอคงจะไม่ใส่ใจอะไรมาก แต่เวลานี้เธอหันขวับแล้วชี้ที่เครื่องแบบนักเรียนของตนเอง: “ฉันอยู่ม.ต้นแล้ว ไม่ต้องเรียกฉันอย่างนั้นก็ได้ค่ะ”
ไม่รอให้พนักงานคนนั้นได้ตอบกลับมา ซังจื้อก็พูดต่อว่า: “ฉันไม่ซื้อหรอกค่ะ แค่มาดูๆเฉยๆ”
พูดจบเธอก็กล่าวลาแล้วเดินออกมาจากร้าน ประจวบเหมาะกับรถที่มีผู้โดยสารอัดแน่นอยู่เต็มคันมาถึงพอดี
ซังจื้อก็รีบขึ้นไปทันที เธอเบียดตัวขึ้นไปบนรถและหาที่ยืน
รถโคงเคลงเป็นอย่างมาก
ด้วยนิสัยอืดอาด ทำให้เธอยืนได้อย่างไม่มั่นคงนัก เธอจึงเขย่งคว้าห่วงจับเอาไว้ดูแล้วท่าทางทุลักทุเล เมื่อรถเบรคเอี๊ยดเธอจึงเสียหลักล้มพรวดไปข้างหน้า ทันใดนั้นก็มีคนคว้าที่กระเป๋าหนังสือของเธอเอาไว้จากด้านหลัง
ท่ามกลางเสียงก่นด่า
ซังจื้อยื่นมือออกมาพยายามจับเสาเอาไว้
ในที่สุดเธอก็หาที่ปักหลักได้ เธอมองไปด้านหลังตามช่องว่างระหว่างคนและสบตาเข้ากับฟู่เจิ้งชูพอดี
ชายหนุ่มสูงราวร้อยเจ็ดสิบ ท่าทางดูคล่องแคล่วดูๆไปแล้วทั้งอ่อนโยนและอ่อนเยาว์ ใบหน้าที่รวมๆแล้วดูราวกับเป็นผู้ใหญ่: “เธอไม่เป็นไรนะ”
ซังจื้อพยักหน้าหากแต่ก็ไม่ได้เอ่ยตอบแต่อย่างใด
ฟู่เจิ้งชูสละที่ยืนของตัวเองให้กับเธอ: “เธอมายืนตรงนี้นี่”
ด้วยความสูงของเขาจึงพอที่จะจับห่วงจับได้ ซังจื้อจึงรับน้ำใจนั่นเอาไว้พลางเอ่ย: “ขอบใจ”
แล้วความเงียบก็เข้าปกคลุมอีกครั้ง
ครึ่งทางผ่านไป ฟู่เจิ้งชูจึงได้พูดออกมาประโยคหนึ่ง: “ฉันเห็นยินเจินหรูบอกว่าเธอถูกเรียกผู้ปกครองหรอ?”
ซังจื้อมองมาทางเขาอย่างไม่สบอารมณ์นัก: “ทำไมอะไรๆเธอก็บอกนายหมดเลยนะ”
“ก็เมื่อวานเธอไม่ได้ไปร้านหนังสือด้วยกันนี่ ฉันก็เลยถามดูน่ะ” ฟู่เจิ้งชูถึงกับเลิ่กลั่ก “ไม่มีอะไรจริงๆนะคือฉันก็แค่ถามเธอดูน่ะ เพราะฉันก็โดนเรียกเหมือนกัน”
ซังจื้อชะงัก: “นายก็โดนเรียกพบผู้ปกครองเหมือนกันงั้นเหรอ?”
“อืม”
“ทำไมล่ะ?”
ฟู่เจิ้งชูที่ยังนึกคำตอบไม่ออกจึงตอบไปก่อนว่า: “ฉันไม่ฟังครูสอนน่ะ”
ซังจื้อพยักหน้า: “ฉันเองก็ไม่ต่างกัน”
“ทำไมเธอไม่ฟังที่อาจารย์พูดล่ะ?”
“ก็มันง่ายจะตายไป” ซังจื้อเอ่ย “ใครมันจะไปอยากฟัง”
“……..” ฟู่เจิ้งชูเกาหัวแกรกแล้วเอ่ยขึ้น “ฉันก็เหมือนกัน”
ซังจื้อถามอย่างสงสัย: “ไม่ใช่ว่าสอบครั้งที่แล้วนายได้ที่สุดท้ายหรอกหรอ?”
ฟู่เจิ้งชูถึงกับเหงื่อแตกพลั่กพลางเบนสายตาไปทางอื่นพร้อมทั้งกระชับห่วงจับในมือแน่น: “อื้ม ก็หัวข้อมันง่ายเกินไปน่ะ ฉันก็เลยขี้เกียจเขียน”
ทำราวกับว่ากับเหตุผลนั้นฟังขึ้น ซังจื้อจึงได้แต่ตอบไปอย่างเรียบๆ “อ่อ” จากนั้นไม่ได้พูดอะไรต่อ
บรรยากาศเงียบลงอีกครั้ง
ความเงียบนั่นทำให้เกิดความรู้สึกกลืนไม่เข้าคายไม่ออกเกิดขึ้นเล็กน้อย
ฟู่เจิ้งชูจึงกระแอมครั้งหนึ่งเพื่อทำลายความรู้สึกน่ากระอักกระอ่วนนั่น: “ครั้งที่แล้วเธอสอบได้ที่เท่าไหร่น่ะ?”
ซังจื้อ: “ที่หนึ่ง”
“……..” ฟู้เจิ้งชูกัดฟันส่งยิ้มแห้ง: “โอเค ครั้งหน้าฉันจะลองได้ที่หนึ่งดูบ้าง”
ซังจื้อกวาดตามองเขาหัวจดเท้า: “ครั้งหน้านายจะเอาที่หนึ่ง?”
ฟู้เจิ้งชูพยักหน้า หลุบเสียงต่ำลง: “........ทำไมล่ะ?”
“เปล๊า แค่จะเตือนนายหน่อยน่ะ” ซังจื้อเอ่ยอย่างไม่สนใจนัก “มีฉันอยู่ละก็ ไม่มีทางซะหรอก”
“……..”
เมื่อเป็นเช่นนี้ก็ดูเหมือนว่าทั้งสองจะกลายเป็นศัตรูกันโดยปริยาย
ฟู่เจิ้งชูไม่รู้จะพูดอะไรต่อดี ประสบการณ์ที่เผชิญหน้ากับอีกฝ่ายก็ไม่มีแล้วยังขืนถามคำถามชวนกระอักกระอ่วนอีก เขาเลยได้แต่สงบปากสงบคำ
หลังจากถึงที่ป้ายรถประจำทางแล้ว
ซังจื้อจึงลงจากรถแล้วก็ก้าวฉับๆเข้าโรงเรียน
ฟู่เจิ้งชูที่เดินตามหลังพยายามคิดอย่างหนักว่าจะกู้สถานการณ์อย่างไรดี ไม่ทันไรเขาก็ได้พบกับเพื่อนที่รู้จัก เพื่อนชายเดินเข้ามาทักทายอย่างเป็นธรรมชาติ คล้องคอเขาแล้วพาเดินไป
ด้วยความที่ยังหนุ่มแน่นจึงทำให้เดินเร็วแซงหน้าซังจื้อไปในที่สุด
ฟู่เจิ้งชูหันกลับมาตะโกน: “ซังจื้อ ฉันไปก่อนน้า”
ซังจื้อโบกมือให้พอเป็นพิธี
ชายหนุ่มหันมองซังจื้อก่อนส่งเสียง “โอ้” ด้วยน้ำเสียงจริงใจแล้วก็ยิ้มแฉ่งไม่หยุด
“นายเป็นบ้าไปแล้วรึไง”
ซังจื้อไม่ได้สังเกตว่าพวกเขาพูดอะไรกัน
เธอไม่ได้ฟังหรือใส่ใจแม้แต่นิดเดียว ในหัวของเธอนั้นคิดแต่เรื่องที่เธอโดนเรียกผู้ปกครองรวมไปถึงเรื่องของชายที่ได้เจอเมื่อวานนี้
ก็เรื่องว้าวุ่นเมื่อวานนั่น ซังเหยียนที่อยู่ดีๆก็ปรากฏตัวขึ้นมา ต้วนเจียสวี่ที่รับปากกับเธอว่าจะมาและยังไม่ทันจะพูดอะไรที่เป็นมั่นเป็นเหมาะ ซังจื้อที่ไม่มีช่องทางติดต่อเขาได้เลย แล้วก็ไม่รู้จะบอกเขาอย่างไรว่าให้มาตอนสี่โมงครึ่ง
แล้วเธอก็ไม่รู้ด้วยว่าเขาจะมากี่โมง
เป็นเพราะเรื่องนี้ทำให้วันนี้ทั้งวันซังจื้อไม่ฟังที่ครูพูดเลยสักคาบ เวลาที่ล่วงเลยผ่านไป สายตาที่ทอดมองออกนอกหน้าต่างไปยังประตูโรงเรียน จะดึงสติกลับมาบ้างก็ตอนที่ถูกอาจารย์ตำหนิ
นาฬิกาที่แขวนอยู่บนผนังยังคงเดินต่อไปเรื่อยๆ
เวลาสี่โมงยี่สิบนาทีกริ่งบอกเวลาเลิกเรียนก็ดังขึ้น ในที่สุดคาบเรียนสุดท้ายก็จบลง
ยินเจินหรูคิดว่าซังจื้อคงจะกลับบ้านกับพี่ชายจึงไม่ได้รอเธอ จึงกล่าวลาแล้วออกไปจากห้องเรียน
ซังจื้อที่นั่งว่างๆจึงหยิบสมุดออกมาวาดภาพ เวลาล่วงเลยผ่านไปนาทีแล้วนาทีเล่า เงยหน้าขึ้นมาอีกทีก็พบว่าขณะนี้ห้าโมงเย็นเสียแล้ว
ในห้องเรียนที่กว้างขวางขณะนี้เหลือแต่เพียงเธอคนเดียว
เธอนิ่งไปครู่หนึ่ง
ต้วนเจียสวี่ก็ยังไม่มา
ซังจื้อไม่รู้ว่าเขาไม่รู้หรือเปล่าว่าโรงเรียนมัธยมต้นนั้นเลิกเรียนเร็วหรือว่าลืมเรื่องนี้ไปแล้วกันนแน่ เธอพยายามบังคับจิตใจตนเองและวาดรูปต่อไป แต่ครั้งนี้ใจของเธอกลับอยู่ไม่สุขอีกต่อไปแล้ว ในหัวของเธอยุ่งเหยิงไปหมด
เธอรออีกสิบห้านาที
ซังจื้อได้ยินเสียงปิดประตูห้องที่ดังมาจากห้องอื่น หรือนี่อาจจะเป็นกระบวนการทางจิตวิทยาอะไรบางอย่าง เธอรู้สึกบรรยากาศตอนนี้เงียบลงกว่าเมื่อกี้เสียอีก
แม้การเคลื่อนไหวเพียงเล็กน้อยก็ทำให้เกิดเสียงดังได้ในตอนนี้
ประโยคที่เขาพูดเมื่อวันก่อนดูท่าจะเป็นการพูดเล่น
ซังจื้อไม่รออีกต่อไปแล้ว เธอลุกขึ้นอย่างโมโห
เสียงเลื่อนเก้าอี้ดังบาดหู เธอหยุดนิ่งขอบตาคู่นั้นบัดนี้ค่อยๆเปลี่ยนเป็นสีแดงระเรื่อ เธอพยายามที่จะฝืนไม่ทำหน้าเศร้าและปลอบใจตนเอง
“พอกันที”
ซังจื้อยัดหนังสือเข้ากระเป๋า สะพายมันขึ้นแล้วออกจากห้องไป
ด้วยความที่นักเรียนชั้นม.1นั้นเลิกเรียนเร็วทำให้บัดนี้ที่เป็นเวลาห้าโมงก็ดูเหมือนว่าตามระเบียงนั้นจะค่อนข้างว่างเปล่า เหลือคนเพียงไม่กี่คนเท่านั้น
ซังจื้อก้มหน้าก้มตาวิ่งลงบันได
เธอวิ่งอย่างเร็วโดยไม่มองทางข้างหน้าเสียด้วยซ้ำ ทันใดนั้นเธอก็ชนเข้ากับใครบางคน ซังจื้อกระเด็นถอยไปสองสามก้าว เธอกล่าวขอโทษขึ้นอย่างซึมๆ
เธอไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้น ยังคงก้มหน้าก้มตาเดินต่อไป
ขณะเดียวกัน เสียงจากบุคคลที่เธอชนเมื่อครู่ก็ดังขึ้น: “นักเรียน เธอพอจะรู้ไหมว่าห้องม.1/1ไปทางไหน”
เสียงของชายหนุ่มตวัดขึ้นเล็กน้อยพยางท้ายที่ยานคางนิดๆแสดงให้เห็นถึงความอืดอาดของเจ้าตัว ราวกับว่าคำพูดนั้นมาพูดอยู่ข้างๆหูพร้อมกับลมหายใจนั่น หัวใจของเธอเต้นแรง
เสียงที่คุ้นเคย
ซังจื้อหันหลังกลับไปมอง
ต้วนเจียสวี่ยืนอยู่ข้างๆราวบันได ในเสื้อสีขาวกางเกงสแล็ค ปอยผมที่ยาวปรกคิ้วและใบหน้าคมคายหล่อเหลา เขาหลุบตาลงแล้วมองที่หน้าของเธอ : “ซังจื้อ?”
ซังจื้อมองเขาแล้วรีบก้มหน้างุด
จะว่าไปไม่รู้ว่านี่เป็นการเจอกันตามคาดหรือเหนือการคาดหมายกันแน่
ต้วนเจียสวี่สังเกตเห็นว่าตาของเธอนั้นแดงก่ำจึงย่อตัวลงมา: “ร้องไห้อีกแล้วหรอ?”
“……..”
เขานึกขันขึ้นมา: “เธอกลัวจะเป็นอย่างนั้นรึไง?”
ซังจื้อเม้มปากและได้แต่เงียบ
ต้วนเจียสวี่: “ไม่ต้องร้องนะ พี่ชายคนนี้จะไปโดนดุแทนเธอเอง”
ซังจื้อเงยขึ้นสบตากับเขา
ต้วนเจียสวี่ลูบหัวอย่างแผ่วเบาและถามเธอว่า: “เอาล่ะ ตอนนี้เราต้องไปที่ห้องเรียนหรือห้องพักครู?”
ซังจื้อไม่ได้ตอบคำถามนั้นแต่อย่างใด เธอตัดพ้อขึ้น: “ใครเขามาสายขนาดนี้กันเล่า”
ได้ยินดังนั้น ต้วนเจียสวี่ก็เลิกคิ้วขึ้นถามอย่างอารมณ์ดีว่า: “ถ้าอย่างนั้นต้องกี่โมงล่ะคะ?”
ซังจื้อตอบเสียงแข็ง: “สี่โมงยี่สิบก็เลิกเรียนแล่ว”
“เร็วขนาดนั้นเชียว? ก็พี่ไม่รู้นี่ พี่ขอโทษแล้วกันนะคะโอเคมั้ย?” ต้วนเจียสวี่พูดด้วยน้ำเสียงอันอ่อนโยนและนุ่มนวลราวกับเธอเป็นเพียงสัตว์เลี้ยงตัวน้อยๆ: “พี่ผิดเองแหละ”
ซังจื้อเกรงว่าอาจารย์ท่าจะรอเธออยู่นานแล้ว: “ไปเหอะ”
“ไปไหน?”
“ห้องพักครู”
หากเดินถึงชั้นหนึ่งแล้วเลี้ยวซ้ายก็จะเจอกับห้องพักครู
ขณะนี้ทั้งสองหยุดอยู่ห่างจากบานประตูเพียงแค่ห้าเมตร
ซังจื้อครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนเอ่ยขึ้นว่า: “หนูน่ะเคยโดนเรียกผู้ปกครองมาแล้ว อีกเดี๋ยวอาจารย์ก็รายงานพฤติกรรมพี่ก็ตามๆน้ำไปแล้วกันนะ”
ต้วนเจียสวี่ตอบ อืม ในลำคอด้วยน้ำเสียงอันเอื่อยเฉื่อย
นี่เป็นเรื่องที่ที่ซีเรียสจริงจังที่สุดที่เธอเคยทำมา
คือการที่เธอรวมหัวกับเขาหลอกอาจารย์
ซังจื้อที่ตอนนี้แสดงท่าทีเคร่งเครียด : “อ่อแล้ว พี่ต้องพยายามพูดให้น้อยที่สุดเลยนะ ถ้าเกิดโดนจับได้ขึ้นมาพวกเราสองคนซวยแน่”
ต้วนเจียสวี่เลียปากแล้วยิ้ม: “ทำไมฟังดูน่ากลัวจังเลยล่ะ”
ซังจื้อที่ตอนนี้ประหม่าอย่างมาก กำลังพยายามวางมาดใจดีสู้เสือ: “พี่ก็กล้าๆหน่อยสิ”
“โอเค” ต้วนเจียสวี่หัวเราะคิก “พี่จะกล้าหาญนะ”
เวลานี้ในห้องพักครูมีอาจารย์เพียงแค่สองท่านเท่านั้น
คนหนึ่งคือเฉินหมิงซวี่ ส่วนอีกคนคือครูประจำชั้นของห้องหกและเป็นครูภาษาอังกฤษที่มีแซ่ว่าจาง โต๊ะของทั้งสองอยู่ติดกัน เฉินหมิงซวี่กำลังตรวจแก้การบ้านและพูดกับคุณครูจางไปด้วย
ซังจื้อเดินเข้าไป: “อาจารย์คะ”
เฉินหมิงซวี่เงยหน้าขึ้น: “มาแล้วหรอ?”
ซังจื้อก้มหน้าก้มตาพูด: “อื้ม พี่ชายมาน่ะค่ะ”
ต้วนเจียสวี่ที่ยืนอยู่ข้างกายกลับไม่ได้มีท่าทีร้อนรนเท่าเธอ ซ้ำยังเปิดปากพูดอย่างใจเย็น “สวัสดีครับอาจารย์ ผมซังเหยียนพี่ชายซังจื้อครับ”
ตอนแรกซังจื้อกลัวว่าเขาจะตื่นกลัวจนพูดไม่ออก แต่เขากลับพูดชื่อ “ซังเหยียน” ได้อย่างโกหกหน้าตายโดยไม่มีท่าทีลุกลี้ลุกลนแม้แต่น้อย นั่นทำให้เธอมั่นใจขึ้นเป็นอย่างมาก
เธออดที่จะสบตาเขาไม่ได้
เฉินหมิงซวี่ลุกขึ้นยืน แล้วพูดอย่างรีบๆ: “ผมเป็นอาจารย์ประจำชั้นของซังจื้อ แซ่เฉิน ขอโทษที่ต้องรบกวน เชิญนั่ง”
อาจารย์จางที่อยู่ด้านข้างพูดติดตลก: “นี่ครั้งที่เท่าไหร่แล้วล่ะ”
เฉินหมิงซวี่กดเสียงต่ำ พูดอย่างไม่สบอารมณ์: “เธอก็เหมือนกันไม่ใช่หรือไง?”
ซังจื้อพึ่งจะสังเกตเห็นว่าจริงๆแล้วห้องนี้มีกันอยู่ห้าคน ฟู้เจิ้งชูที่ยืนหลบมุมอยู่ด้านหลังอาจารย์ทั้งสองไม่พูดไม่จาราวกับล่องหน
หลังจากทั้งสองสบตากันครู่หนึ่ง
ฟู่เจิ้งชูขยับอย่างรวดเร็วราวกับหนีอะไรบางอย่าง ไม่นานเขาก็เดินเข้ามาและยืนในตำแหน่งที่ห่างจากซังจื้อเพียงแค่สองเมตร ตรงหน้าของอาจารย์จางพอดิบพอดี
ระยะห่างของทั้งสองนั้นช่างใกล้กันเหลือเกิน
อายุอานามที่ก็ใกล้กันเหลือเกิน
ชวนที่จะให้เข้าใจผิดได้อย่างง่ายดาย
ต้วนเจียสวี่ที่นั่งอยู่ข้างเฉินหมิงซวี่ มองดูทั้งคู่ด้วยสายตาที่ล้ำลึกแล้วกวักมือเรียกเธอ : “มานี่”
ซังจื้อก็เดินมาแต่โดยดี: “มีอะไรงั้นเหรอ?”
เฉินหมิงซวี่ที่ง่วนอยู่กับการหาข้อมูลอยู่อีกฝั่ง จึงไม่ได้สังเกตเห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
ต้วนเจียสวี่เอามือข้างหนึ่งเท้าคางและใช้มืออีกข้างหนึ่งกวักเรียกซังจื้อ
ซังจื้ออึ้งไปเล็กน้อยแต่เธอก็เดินเข้ามาหา
“สาวน้อย” เขาก้มหน้าลงแล้วพูดด้วยน้ำเสียงอันแผ่วเบาว่า “มีรักในวัยเรียนรึไง?”
การที่เขาพูดต่อหน้าเธอเช่นนี้ ซังจื้อเริ่มรู้สึกเคืองขึ้นมาเล็กน้อย แต่คำที่พูดออกมานั้นทำให้เธอสมองตื้อไปชั่วขณะ
“ว่าไงนะ”
ทันใดนั้นก็หน้าแดงเป็นมะเขือเทศ ไม่มีใครรู้ว่าเธอนั้นหน้าแดงเพราะเขินอายหรือเพราะรำคาญกันแน่ เธอกลัวว่าอาจารย์จะมาได้ยินเข้า: “นายนั่นแหละ!”
“………”
“หืม? จริงๆก็อยากอยู่นะ”
ต้วนเจียสวี่พิงพนักเก้าอี้แล้วพูดขึ้นอย่างเอื่อยๆ: “แต่ว่าอายุเท่านี้ก็ไม่น่าจะได้แล้วมั้ง”