ตอนที่แล้วบทที่ 3 บังเอิญสบเข้ากับสายตาอันธพาล
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 5 “เลิกแล้ว” โจวจิงเจ๋อพูดเบา ๆ

บทที่ 4 เธอชอบเขาเหรอ?


เวลาสี่ทุ่ม สวี่สุยอาบน้ำและนอนอยู่บนเตียง เธอกำลังดูตารางเรียนของวันถัดไป วันนี้มีรุ่นพี่เข้ามาตรวจสอบหอพัก ภายในห้องพักมีเธอกับเหลียงส่วงแค่สองคน และอีกคนคือไป่อวี๋เยว่ซึ่งยังไม่กลับมา

ไป่อวี๋เยว่ได้แบ่งอาณาเขตของเธอตั้งแต่วันแรกที่ย้ายเข้ามา เธอยังเน้นว่าเธอมีนิสัยรักความสะอาด ดังนั้นพวกเธอจึงไม่ควรวางข้าวของไว้ข้าง ๆ หรือแตะต้องของของเธอ

เหลียงส่วงค่อนข้างไม่พอใจกับเรื่องนี้ แต่นอกจากเรื่องนี้ไป่อวี๋เยว่ก็ไม่ได้มีเรื่องขัดแย้งกับพวกเธอ อย่างไรก็ตาม พวกเธอก็เป็นเพื่อนร่วมชั้นกัน ดังนั้นเหลียงส่วงจะช่วยเธอ

เมื่อรุ่นพี่เข้ามาตรวจสอบห้อง เหลียงส่วงแสร้งทำเป็นแปลกใจ “อ้อ ลืมไป อาจารย์ของพวกเรามีธุระจึงเรียกเธอไป คาดว่าอีกสักพักเธอน่าจะกลับมา รุ่นพี่คะ เอาแบบนี้ได้มั้ย? ถ้าเธอกลับมาฉันจะให้เธอไปรายงานตัวกับรุ่นพี่”

“ได้สิ งั้นพวกเธอรีบไปนอนเถอะ” รุ่นพี่กล่าว

หลังจากเดินไปส่งรุ่นพี่ เหลียงส่วงก็ถอนหายใจ “ไป่อวี๋เยว่ กล้าหาญเกินไปแล้ว ออกไปเดทดึกขนาดนี้ยังไม่กลับมา”

สวี่สุยวางโทรศัพท์ลง และภาพความสนิทสนมของทั้งสองคนในตอนเย็นก็ปรากฏขึ้น เธอหายใจไม่ออกราวกับหัวใจถูกรัดด้วยเส้นมั้ย เธอลดระดับสายตาลง “เธอน่าจะกำลังรีบกลับมา”

เธอไม่อยากคุยเรื่องนี้ต่อ เธอมองไปที่เตียงว่างฝั่งตรงข้ามและพูดว่า “ฉันได้ยินมาว่าพรุ่งนี้เพื่อนร่วมห้องคนใหม่จะมา”

ในตอนนั้นสวี่สุยสมัครค่อนข้างช้า พวกเธอจึงได้อยู่ในหอพักเดียวกันและมีเตียงว่าง 1 เตียง ฉันได้ยินมาว่าเพื่อนร่วมชั้นคนนี้ได้ลาหยุดหนึ่งเดือนด้วยเหตุผลบางอย่าง และจะมาถึงพรุ่งนี้

“ได้ยินมาว่ามาจากคณะสัตวแพทยศาสตร์ ดีจัง ได้ช่วยเหลือสัตว์ตัวน้อย ๆ ถ้าฉันรู้ก่อนหน้านี้ฉันก็จะเลือกเรียนคณะนี้ ตอนแรกสมองของฉันคงจะได้รับความกระทบกระเทือน ฉันจึงได้เลือกเรียนคณะแพทยศาสตร์ที่ยากเย็นคณะนี้ เวลาเพียงแค่เดือนเดียว แต่หัวของฉันเริ่มล้านแล้ว กลัวว่าเมื่อเรียนจบ ฉันจะต้องเปลี่ยนชื่อเป็น ผมสามเส้น” เหลียงส่วงกล่าว

“ถ้าอย่างนั้น...ฉันให้ยาปลูกผมเธอขวดนึงเป็นไง?” สวี่สุยพูดหยั่งเชิง

“อืม คัมซามีดา!” เหลียงส่วงทำท่าทางเป็นรูปหัวใจ

สวี่สุยหัวเราะออกมา ความรู้สึกอึดอัดเมื่อครู่เจือจางลงเล็กน้อยขณะที่ทั้งสองกำลังพูดคุยกัน ไป่อวี๋เยว่ก็ผลักประตูและเดินเข้ามา เหลียงส่วงบอกเธอเกี่ยวกับเรื่องรายงานตัว ไป่อวี๋เยว่ดูอารมณ์ดีและเธอยังขอบคุณเหลียงส่วง

วันรุ่งขึ้น เมื่อเพื่อนร่วมห้องคนใหม่มาถึง ด้านหลังเธอมีคนสองคนแบกกระเป๋าเดินทางใบใหญ่และใบเล็ก เพื่อนร่วมห้องคนใหม่สวมแว่นกันแดดและแต่งตัวด้วยชุดแบรนด์เนม ชายสองคนที่อยู่ด้านหลังเธอกำลังจะเดินตามเข้า

เพื่อนร่วมห้องคนใหม่เหยียดนิ้วชี้ของเธอออกแล้วสะบัดนิ้วชี้ด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ห้องส่วนตัวของหญิงสาวเป็นที่ที่ผู้ชายเหม็น ๆ อย่างพวกนายเข้ามาได้อย่างนั้นหรอ?”

ชายทั้งสองตัวแข็งค้างเมื่อได้ยินคำพูดนั้น ทั้งคู่ยืนนิ่งทำอะไรไม่ถูก เพื่อนร่วมห้องคนใหม่หยิบธนบัตรสีแดงสองสามใบจากกระเป๋าแล้วยื่นให้เธอพูดอย่างร่าเริง “วางไว้ที่ประตูเลย”

“ได้ครับ คุณหนู งั้นพวกผมไปก่อนนะครับ”

ในหอพักมีเพียงสวี่สุย เธอกำลังอ่านหนังสือ หลังจากได้ยินเสียง เธอจึงปิดหนังสือลงแล้วเดินออกไป “ฉันช่วย”

หลังจากที่ทั้งสองช่วยกันขนสัมภาระเข้ามาในห้อง เพื่อนร่วมห้องคนใหม่ก็ถอดแว่นกันแดดออก ความรู้สึกห่างเหินก็ หายไป เธอแนะนำตัว “สวัสดี ฉันชื่อ หูเชี่ยนซี จากคณะสัตวแพทย์ ห้องสาม เรียกฉันว่า ซีซีก็ได้”

ในตอนนั้นเองสวี่สุยจึงได้เห็นรูปร่างหน้าตาของเธออย่างชัดเจน เธอมีหน้าม้าเหมือนในการ์ตูนมังงะ ตาโตมาก และมีแก้มกลม ๆ เธอดูร่าเริงและน่ารัก

“คณะการแพทย์คลินิก ห้องหนึ่ง สวี่สุย จะเรียกฉันว่าอะไรก็ได้” สวี่สุยกล่าว

เป็นครั้งแรกที่หูเชี่ยนซีได้อยู่ไกลบ้านและต้องอยู่หอในมหาวิทยาลัย การจัดเก็บของจึงค่อนข้างยุ่งยาก และเมื่อเธอจะปูผ้านวม ทั้งตัวของเธอก็เข้าไปในผ้าปูที่นอน เธอปูไปด่าไป สุดท้ายก็ปูไม่สำเร็จ

สวี่สุยไม่รู้ว่าควรหัวเราะหรือร้องไห้ดี จึงตบบ่าเธอเบา ๆ “ฉันช่วยเธอเอง”

หลังจากที่ชุดผ้านวมถูกปูด้วยฝีมือของสวี่สุย ทุกอย่างก็เป็นระเบียบเรียบร้อยขึ้นมาทันที เมื่อทำความสะอาดห้องพักเสร็จสวี่สุยก็พาเพื่อนร่วมห้องคนใหม่ไปลงทะเบียนบัตรมหาวิทยาลัย และซื้อของใช้ในชีวิตประจำวัน

ในขั้นตอนทั้งหมดสวี่สุยไม่ปริปากบ่นเลยแม้แต่คำเดียว หูเชี่ยนซีรู้สึกชอบผู้หญิงที่ดูเฉลียวฉลาดคนนี้มาก

จนถึงตอนนี้ หูเชี่ยนซีได้กลายเป็นจี้รูปมนุษย์ที่ห้อยติดอยู่กับสวี่สุย เพราะเธอตัวติดอยู่กับสวี่สุยตลอดทั้งวัน และเธอยังไม่ลังเลที่จะแบ่งปันภาพเปลือยของไอดอลของเธอให้กับสวี่สุยดู เธอเป็นเพื่อนที่ดีคนนึง

สวี่สุยยกมุมปาก เธอก็ชอบหูเชี่ยนซีเช่นกัน เธอร่าเริงและน่ารัก ในที่สุดสองคนนี้นับวันก็ยิ่งสนิทกันมากขึ้น

ในวันศุกร์ สวี่สุยและเหลียงส่วงกำลังทานอาหาร อยู่ในโรงอาหารที่ 2 เธอกำลังคิดถึงหูเชี่ยนซีที่ยังไม่ได้กินข้าวในหอพัก เธอจึงส่งข้อความไปหาเธอและถามว่าอยากทานอะไร เพื่อที่จะได้ซื้อห่อกลับไปฝาก

หลังจากส่งข้อความไป สวี่สุยก็วางโทรศัพท์ลงและจดจ่ออยู่กับการกิน หลังจากนั้นไม่นานเหลียงส่วงก็ผลักแขนของเธออย่างตื่นเต้นและลดเสียงของเธอลง “เฮ้ ดูนั่นสิ แฟนของไป่อวี๋เยว่ปรากฏตัวแล้ว”

“โจวจิงเจ๋อ”

สวี่สุยชะงักไปครู่หนึ่ง และเงยหน้าขึ้นมองโดยอัตโนมัติ โรงอาหารเต็มไปด้วยผู้คน แต่เธอก็มองเห็นเขา แฟนหนุ่มของไป่อวี๋เยว่พาเธอไปเข้าแถว หลังจากที่ไป่อวี๋เยว่ได้อาหารแล้ว เธอก็ประคองจานข้าวแล้วหมุนตัวกลับมา

ชายหนุ่มอยู่ทางด้านซ้ายของเธอ ยืนเอามือสองข้างล้วงกระเป๋า ท่าทางสบาย ๆ ไป่อวี๋เยว่เงยหน้าขึ้นและพูดกับเขาตลอดเวลา สายตาที่เธอมองมาที่เขาสดใสราวกับดวงดาว ชายหนุ่มก้มศีรษะลงโดยไม่รู้ว่าเธอพูดอะไร และขยับมุมปากเป็นคำตอบ

ทันใดนั้นมีคนมาชนไหล่ของเขาและเกือบจะชนกับไป่อวี๋เยว่ ชายหนุ่มยกมือขึ้นอย่างรวดเร็ว โอบแขนรอบไหล่ ขมวดคิ้วและบอกให้เธอดูถนน

ท้องของสวี่สุยเริ่มทรมานจากการขาดกรดแพนโทเทนิก1 ทำให้กินอะไรไม่ค่อยลง เธอหลับตาและก้มหน้าเคี้ยวเมล็ดข้าว อาหารก็จืดชืด

ทั้งสองคนหาที่นั่งได้แล้วจึงนั่งลง ซึ่งตรงกับด้านหน้าพวกเธอพอดี สวี่สุย มองเห็นแค่ใบหน้าด้านข้างของเขาเท่านั้น

เหลียงส่วงยังคงจ้องมองพวกเขาสองคนเงียบ ๆ ชายหนุ่มคนนี้โดดเด่นมาก หลังจากนั่งได้ไม่นานก็ดึงดูดความสนใจจากผู้คนที่ผ่านไปมาทันที

เหลียงส่วงมองไปถอนหายใจไป “ดูสิ มุมปากของไป่อวี๋เยว่เกือบจะฉีกไปถึงด้านหลังศีรษะอยู่แล้ว แต่ก็นะ ถ้าฉันเจอแฟนที่ทั้งหล่อและเจ๋งแบบนี้ ฉันก็คงจะมีความสุขไม่ต่างกันหรอก”

“นี่เป็นครั้งแรกที่ฉันได้เห็นโจวจิงเจ๋อ ฉันได้ยินมาว่าเขาเปลี่ยนแฟนเร็วมาก สั้นที่สุดไม่เกินหนึ่งเดือนและนานที่สุดไม่เกินสามเดือน เธอทายสิว่าไป่อวี๋เยว่จะอยู่ได้นานแค่ไหน” เหลียงส่วงพลิกถั่วบนจานแล้วถามด้วยใบหน้าที่ต้องการซุบซิบ

“เธอรู้ได้ยังไงว่าชื่อของเขาคือ โจวจิงเจ๋อ?” สวี่สุยถามคำถามกลับ เพราะไม่ต้องการเดาวันหมดอายุของแฟนสาวของเขา

“แน่นอน ฉันไม่ได้บอกหรอว่าฉันต้องการหาแฟนที่เป็นนักบิน พอเข้ามามหาวิทยาลัยฉันก็ติดตามเว็บบอร์ดของเป่ยหางโรงเรียนการบินปักกิ่งทันที ข้อมูลของหนุ่มหล่อสุดฮอตจากโรงเรียนของพวกเขา ฉันรู้หมดแหละ นอกจากนี้ ไป่อวี๋เยว่เป็นคนมีชื่อเสียง ในชั้นเรียนมีหนุ่มหล่อคนไหนบ้างที่เธอไม่เคยคบ”

เหลียงส่วงใช้ตะเกียบของเธอชี้ขึ้นราวกับนักเล่าเรื่อง “เธออยากให้ฉันเล่าเรื่องซุบซิบให้ฟังมั้ยล่ะ?”

สวี่สุยยิ้มอยู่ครู่หนึ่ง แต่ไม่ได้ตอบกลับ

“โจวจิงเจ๋อชายหนุ่มรูปงาม ส่วนสูง 185 ปี เป็นน้องใหม่สาขาวิชาเทคโนโลยีการบินที่มหาวิทยาลัยการบินและอวกาศปักกิ่งผู้ชายคนนี้เจ๋งตรงไหนเธอรู้มั้ย?” เหลียงส่วงตั้งคำถามและต้องการการโต้ตอบจากผู้ฟังของเธอ

สวี่สุยส่ายหัวอย่างให้ความร่วมมือ เหลียงส่วงจึงกล่าวต่อ “ว่ากันว่าแม่ของเขาเป็นนักเล่นเชลโลที่มีชื่อเสียง และพ่อของเขาดูเหมือนจะทำธุรกิจบางอย่าง ฉันได้ยินมาว่าตอนที่เขาอยู่มัธยมต้น เดิมทีเขาเป็นนักเรียนสายศิลป์ เอกเชลโล กำลังจะไปเรียนดนตรีที่ออสเตรียหลังสอบเข้าวิทยาลัย แต่เดาสิว่าเกิดอะไรขึ้น?”

“จู่ ๆ เขาก็เปลี่ยนความตั้งใจกะทันหัน เขาเลือกที่จะอยู่ที่จีนต่อ เพื่อเรียนการบิน หรือในฐานะนักศึกษาวัฒนธรรม และสอบเข้ามหาวิทยาลัยการบินปักกิ่งด้วยคะแนนที่สูงลิ่ว” เหลียงส่วงกล่าว

“คุณตาของเขาเป็นวิศวกรในการผลิตเครื่องบินประจำชาติ แต่ตอนนี้เขาเกษียณมาหลายปีแล้ว และคุณยายของเขาเป็นอาจารย์สอนดนตรีในวิทยาลัยแห่งหนึ่ง ด้วยภูมิหลังเช่นนี้ ฉันรู้สึกว่าเขาสามารถเรียนรู้ทุกอย่างได้เป็นอย่างดี”

เหลียงส่วงพูดและถอนหายใจ “ฉันอิจฉาคนแบบนี้จริง ๆ ที่เก่งทุกอย่างและชำนาญไปทุกเรื่อง”

“เธอก็เก่งนะ แต่ผมน้อยไปหน่อย” สวี่สุยปลอบใจเธอ

เหลียงส่วงหัวเราะออกมา เธอคิดไม่ถึงว่าสวี่สุยที่ดูเป็นผู้หญิงเรียบร้อยจะมีอารมณ์ขันแบบนี้ เหลียงส่วงจำเรื่องซุบซิบได้อีกหนึ่งเรื่องจึงพูดด้วยเสียงเบา ๆ ว่า “ฉันอ่านในโพสต์ที่โจวจิงเจ๋อไปล้างรอยสักของเขาเพื่อที่จะผ่านการตรวจสุขภาพก่อนสอบเข้าวิทยาลัย ฉันคิดว่ามันเป็นเรื่องปลอม พวกเค้าพูดเกินจริงใช่มั้ย”

“ไม่ มันเป็นเรื่องจริง” สวี่สุยพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น

เหลียงส่วงตกตะลึงกว่าสองวินาที จากนั้นจึงหรี่ตาถามเธอ “เธอรู้ได้ยังไงว่ามันเป็นเรื่องจริง?”

เมื่อมีคนสะกิดเรื่องที่อยู่ในใจของเธอโดยไม่ได้ตั้งใจสวี่สุยกำลังดื่มน้ำ เธอสำลักเมื่อได้ยินคำพูดนั้น และไออย่างรุนแรง ใบหน้าของเธอแดงก่ำ เหลียงส่วงรีบยกมือขึ้นเพื่อให้เธอสบายใจ

สวี่สุยและโจวจิงเจ๋อมาจากที่เดียวกัน พวกเขาเป็นเพื่อนร่วมชั้นกัน เธอไม่ได้ตั้งใจจะปกปิดมันจริง ๆ แต่มันยากที่จะอธิบาย

ยิ่งไปกว่านั้น ถึงเธอพูดไปมันก็ไม่มีประโยชน์

โจวจิงเจ๋ออาจจำเธอไม่ได้

สวี่สุยเหลือบมองคนสองคนที่อยู่ไม่ไกลนัก ไป่อวี๋เยว่กำลังรับประทานอาหาร เห็นได้ชัดว่าโจวจิงเจ๋อมาที่นี่เพื่ออยู่กับเธอ เนื่องจากเขาไม่กินอะไรเลย เอาแต่เอนหลังพิงเบาะนั่งอย่างเกียจคร้าน และก้มหน้าเล่นเกมในโทรศัพท์

มืออีกข้างหนึ่งของเขาวางอยู่บนโต๊ะ เห็นเส้นเลือดสีเขียวบนหลังมือของเขาชัดเจน นิ้วของเขาทั้งเรียวและสะอาด

“ฉันเดาว่าหลังมือของเขาน่าจะเป็นร่องรอยที่หลงเหลือจากการลบรอยสัก เพราะมีจุดสีขาว ๆ บนหลังมือด้วย เธอดูสิ” สวี่สุยกล่าว

เหลียงส่วงหันหลังกลับไปและเห็นว่าโจวจิงเจ๋อมีจุดสีขาวบนหลังมือของเขาจริง ๆ ซึ่งดูเหมือนว่ารอยสักเพิ่งถูกลบได้ไม่นาน

“ปรมาจารย์แห่งรายละเอียด” เหลียงส่วงยกนิ้วให้สวี่สุย

หลังจากรับประทานอาหารเสร็จ สวี่สุยก็กลับไปที่หอพัก และเธอยังซื้อกุ้งผัดไข่กลับไปให้หูเชี่ยนซีด้วย หูเชี่ยนซีกอดเธอทันทีและแสร้งร้องไห้ “ขอบคุณนะ สวีสวีของฉัน!”

สวี่สุยตบไหล่เธอเบา ๆ เธอมีท่าทางลังเลเล็กน้อยเมื่อเดินไปหยิบหนังสือที่โต๊ะ เธอไม่ได้ไปที่ดาดฟ้ามาหลายวันแล้ว เพราะเมื่อสัปดาห์ที่แล้วเธอบังเอิญเห็นว่าเขามีอะไรกับผู้หญิงคนหนึ่งบนดาดฟ้า

ในก้นบึ้งของหัวใจเธอกลัวที่จะเห็นฉากนั้นซ้ำอีก สวี่สุยจึงเลือกที่จะไปที่ห้องสมุด

ในตอนเย็นสวี่สุยทำแบบฝึกหัดไปสองสามชุดท่องจำความรู้ทาง การแพทย์และกลับมาที่หอพักจากห้องสมุด หูเชี่ยนซีนั่งอยู่บนเตียงกำลัง ทาเล็บเท้าของเธอ สีม่วงองุ่นและมีกลิตเตอร์แวววาวอยู่ด้านบนด้วย

“สวีสวี เธออยากทามั้ย?” หูเชี่ยนซีเขย่ายาทาเล็บ

“ลืมมันไปเถอะ” สวี่สุยนั่งลงและรินน้ำใส่แก้ว “ฉันกลัวว่าจะยกเท้าไม่ขึ้น”

“ฮ่า ๆ” หูเชี่ยนซีอดหัวเราะไม่ได้ ช่างเป็นปัญหาที่แปลกจริง ๆ

ใบหน้าของสวี่สุยไร้เดียงสา เธอเป็นโรคย้ำคิดย้ำทำ ถ้าเธอทาล่ะก็ เธอคงอดไม่ได้ที่จะลบมันออก ในช่วงวันส่งท้ายปีเก่าของปีที่แล้ว ลูกพี่ลูกน้องของเธอบังคับให้ไปทำเล็บ แต่วันหนึ่ง สวี่สุยก็หักออกจนหมดเหมือนกับลุงหัวล้าน

“จริงสิ สวีสวี พรุ่งนี้วันเสาร์เธอว่างมั้ย?” หูเชี่ยนซีปิดฝายาทาเล็บแล้วถามเธอว่า “เธอช่วยพาฉันไปที่โรงเรียนการบินปักกิ่งได้มั้ย ฉันต้องไปเอาของที่บ้านคุณลุงที่อยู่ที่นั่น”

“ได้สิ ฉันไปเป็นเพื่อนเธอเอง”

ในวันหยุดสุดสัปดาห์ หูเชี่ยนซีนอนหลับจนถึงเที่ยง จากนั้นทั้งสองก็เก็บของและออกไปด้วยกัน เมื่อพวกเขาเดินผ่านโรงอาหาร สวี่สุยกำลังจะผ่านไป แต่หูเชี่ยนซีดึงมือเธอเอาไว้และกะพริบตาให้เธอ “อย่าเพิ่งไป มีคนจะเลี้ยงข้าวพวกเรา”

โรงเรียนการบินปักกิ่งอยู่ติดกับโรงเรียนของพวกเธอ ใช้เวลาประมาณสิบนาทีในการเดินไปที่ประตูโรงเรียน แต่โรงเรียนของพวกเขาใหญ่เกินไป พวกเธอเดินหากว่าครึ่งชั่วโมงก็ยังไม่เจอว่าสถาบันการบินอยู่ที่ไหน

หูเชี่ยนซีโพสต์บ่นใน WeChat: โรงเรียนของคุณมีสมบัติฝังอยู่หรือไง? อย่างกับหนังเรื่องถ้ำที่สาบสูญ ฉันเดินจนเวียนหัวหมดแล้ว

โดยไม่รู้ว่าข้อความในโทรศัพท์ที่ส่งมาคืออะไร หูเชี่ยนซีปิดหน้าจอโทรศัพท์ หันหน้ามาแล้วพูดว่า “ลุงของฉันบอกว่ากำลังมารับ ให้พวกเรารอก่อน”

ในเวลาไม่ถึงสิบนาที หูเชี่ยนซีราวกับได้เห็นโลกใหม่ เธอโบกมือไปฝั่งตรงข้ามด้วยสายตาที่ตื่นเต้น “คุณลุง พวกเราอยู่นี่!”

สวี่สุยอยู่อีกด้านหนึ่งกำลังยืนมองป้ายโฆษณาของโรงเรียนการบินปักกิ่ง เมื่อได้ยินเสียงเธอจึงหันไปมอง และได้พบกับโจวจิงเจ๋อ เขายืนอยู่ตรงกลางโดยมีชายสองสามคนอยู่ข้างหลังเขา โจวจิงเจ๋อถือบุหรี่ไว้ระหว่างนิ้วของเขา และฝีเท้าของเขาเป็นไปอย่างสบาย ๆ ผู้คนที่รายล้อมเขากำลังพูดคุยและหัวเราะ ท่าทางของเขาดูผ่อนคลายใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม

เธอคิดไม่ถึงว่าจะเป็นเขา

เธอบังเอิญเห็นสีแดงสดที่ปลายนิ้วของเขา เมื่อโจวจิงเจ๋อยิ่งเข้ามาใกล้กระดูกคิ้วและสันจมูกของเขาก็ชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ หัวใจของเธอเต้นเร็วมาก ราวกับสีแดงเพลิงนั้นเผาไหม้ทำให้เธออ่อนแรงและควบคุมไฟนั้นไม่ได้

เห็นได้ชัดว่าโจวจิงเจ๋อมองเห็นพวกเธอเช่นกัน มือที่คีบบุหรี่ยกขึ้น และเดินตรงมาที่พวกเธอ มีชายหนุ่มคนหนึ่งยืนอยู่ข้างโจวจิงเจ๋อ เมื่อทั้งสองเข้ามาใกล้กัน เขาก็เลิกคิ้วขึ้นและพูดอย่างจงใจ “โย่ นี่ใช่คุณหนูเชี่ยนซีหรือป่าว?”

หลังจากที่เชี่ยนซีได้ยินเธอก็โกรธมาก หูเชี่ยนซีวิ่งไปสองสามก้าวและต่อยชายคนนั้น เธอขมวดคิ้วและพูดว่า “เซิ่งหนานโจว อย่าเรียกฉันแบบนั้น ถ้านายไม่อยากเรียกชื่อเต็มของฉัน นายก็เรียกชื่อภาษาอังกฤษของฉันสิ ชื่อของฉันคือ เทรซี่”

“เธอบ้าไปแล้วหรอ?” น้ำเสียงของเซิ่งหนานโจวจริงจัง

โจวจิงเจ๋อเห็นว่าพวกเขาเป็นผู้หญิงสองคน ดังนั้นเขาจึงหยิบบุหรี่ออกมาแล้วโยนลงในถังขยะข้าง ๆ โจวจิงเจ๋อ เดินไปที่ด้านหน้าของพวกเธอ เสียงของเขาแหบเล็กน้อยหลังจากสูบบุหรี่ และถามว่า “กินข้าวหรือยัง?”

“ยัง ฉันกำลังรอประโยคนี้ของนายอยู่” หูเชี่ยนซีนึกอะไรบางอย่างได้ คว้าแขนของสวี่สุย “จริงสิ นี่เป็นเมทของฉันชื่อสวี่สุย”

โดยปกติในการสื่อสาร สวี่สุยควรจะเริ่มพูดอะไรบางอย่าง ในเวลานี้ แต่ทั้งสองคนอยู่ใกล้กันเกินไป สมองของเธอจึงขาวโพลน

โจวจิงเจ๋อมองไปที่หญิงสาวที่อยู่ข้างหน้าเขา ความรู้สึกคุ้นเคยแวบเข้ามาในสมองของเขาและผ่านไปอย่างรวดเร็ว เขาขมวดคิ้วยกเปลือกตาขึ้นและเหลือบมองเธอ

“สวัสดี โจวจิงเจ๋อ”

กรดแพนโทเทนิก1 ช่วยเปลี่ยนคอเลสเตอรอลเป็นฮอร์โมนสำหรับต่อต้านความเครียด ป้องกันอาการอ่อนเพลีย ช่วยในการป้องกันโรค และสร้างภูมิคุ้มกันเพื่อต่อสู้กับเชื้อโรค

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด