บทที่ 3
หากคนที่ยืนอยู่ต่อหน้าเธอตอนนี้เป็นซังเหยียนละก็ ซังจื้อไม่มีทางบอกถึงเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นเป็นแน่และเขาก็ไม่คิดจะถามถึงเหตุผลด้วย เธอก็แค่ตามตื๊อต่อไปเรื่อยๆจนกว่าเขาจะยอมไป
แต่ตอนนี้คนที่อยู่ต่อหน้าเธอคือคนที่พึ่งจะเจอกันครั้งแรก
ตั้งแต่ประโยคแรกที่เริ่มคุยกัน ต้วนเจียสวี่ที่ดูจะเป็นคนที่อบอุ่นราวกับว่าไม่มีเรื่องอะไรจะมาทำให้เขาโกรธได้ เธอไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเค้ากำลังคิดอะไรอยู่กันแน่ หรืออาจเป็นเพราะยังไม่คุ้นเคยกันมากพอจึงไม่กล้าที่จะวางท่ามาก
ในตอนแรกน้ำเสียงของเขาเปลี่ยนไปเล็กน้อย ซังจื้อนั้นถึงกับต้องเผยเรื่องราวทั้งหมดอย่างหมดเปลือก
ใจเธอไม่อยากจะสารภาพเลยสักกะนิด ซังจื้อเงียบอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงเอ่ยสารภาพว่า: “หนูไม่ฟังครูพูดในห้องเรียนน่ะ”
ต้วนเจียสวี่: “อืม”
“อาจารย์เรียกให้ตอบคำถาม หนูก็ตอบไปแล้ว” ซังจื้อเว้น ค่อยๆคิดเรียบเรียงคำพูด “แล้วเขาก็ถามอีกว่าอยากจะมาทำงานแทนตำแหน่งเขาเลยไหม ให้มาสอนห้องเราเลย หนูคิดว่ามันไม่น่าจะเหมาะสม ก็เลยปฏิเสธไป”
“……..”
ต้วนเจียสวี่: “?”
ซังจื้อมองครู่หนึ่งเพื่อดูปฏิกริยาของอีกฝ่าย เธอยืนหงิมๆ : “หลังจากนั้นเขาก็เรียกพบผู้ปกครองเลย”
หลังจากพูดประโยคนั้นออกไป
ซังจื้อรู้สึกราวกับว่าโลกทั้งใบเงียบสนิท
ซังจื้อที่ปิดบังเนื้อหาบางส่วนเอาไว้ ก็กลัวว่าจะโดนจับได้ ยิ่งอีกฝ่ายนิ่งเงียบไม่พูดไม่จาด้วยแล้ว เธอก็อดไม่ได้ที่จะพูด: “จริงๆนะ”
ได้ยินดังนั้นแล้ว ต้วนเจียสวี่จึงเอ่ยปากพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงปนหัวเราะ: “เอาจริงๆก็ไม่ค่อยเชื่อน่ะนะ”
ดูท่าเขาจะขำมากจริงๆ ดูจากไหล่และแผ่นออกที่สั่นน้อยๆกับเสียงหัวเราะเบาๆในลำคอและเสียงหายใจนั่นแล้ว จากเดิมที่ก็หล่ออยู่แล้วทำให้เขายิ่งดูมีออร่าขึ้นไปอีก
ระยะห่างของทั้งสองที่ตอนนี้เขยิบเข้าใกล้กัน
ซังจื้อสัมผัสได้ถึงกลิ่นบุหรี่ที่ยังคงติดอยู่บนตัวของเขา ยิ่งทำให้เธอเตลิดเข้าไปใหญ่
“หนูพูดจริงๆนะ” เธอรวบรวมความกล้าพูดออกไป
ต้วนเจียสวี่: “หืม? ไม่ได้จะโกหกกันหรอกใช่ไหม?”
ซังจื้อพยักหน้าอย่างแรง แสดงความบริสุทธิ์ใจอย่างถึงที่สุด: “ไม่ หนูพูดจริงๆนะ ถ้าพี่ไม่เชื่อพรุ่งนี้ก็ได้รู้กัน ถ้าตอนนี้หนูโกหก อาจารย์จะต้องบอกความจริงกับพี่แน่”
“เป็นอย่างนี้นี่เอง......”
สิ้นเสียงพูด ประตูก็ถูกเปิดออก
ซังเหยียนไม่ได้มองพวกเขาทั้งคู่ เพียงแต่เดินตรงไปยังตู้เสื้อผ้าและพูดออกมาว่า : “ยัยบ้า ออกไปได้แล้ว”
แม้ว่าซังจื้อจะรู้สึกผิดอยู่นิดๆเรื่องที่ตนหาเรื่องใส่เขาไปแบบนั้น แต่เธอก็ไม่อยากจะออกไปทั้งๆแบบนี้ : “ฉันอยู่ด้วยไม่ได้หรือไง?” เธอพึมพำ
ซังเหยียนหันกลับมามองพลางยิ้มฝืน: “ฉันจะเปลี่ยนเสื้อ”
“งั้นพี่ชายคนนี้..........” ซังจื้อคว้าชายเสื้อของต้วนเจียสวี่เอาไว้ “ก็ต้องออกไปด้วยน่ะสิ ฉันว่าเขาก็คงไม่อยากเห็นนายเปลี่ยนเสื้อผ้าหรอกนะ”
ซังเหยียนทำหูทวนลม: “ออกไปแล้วก็ปิดประตูด้วย”
ซังจื้อที่ดูเหมือนจะว่าจะบังคับเขากลายๆ ก็ได้ลากต้วนเจียสวี่ออกไปด้วย: “ได้เลย เดี๋ยวปิดให้น้า”
“……..”
ซังเหยียนมองตามทั้งสองนั้นไปแล้วก็โบกมือปัดๆอย่างไม่ใส่ใจนัก
เนื่องจากหัวข้อสนทนานี้ไม่อาจให้บุคคลที่สามมาได้ยินได้
เมื่อออกจากห้องมาแล้วซังจื้อก็รีบลากต้วนเจียสวี่มาที่ห้องของเธอทันที จากนั้นก็ปิดประตูอย่างระแวดระวังแล้วถามอย่างใจร้อน“พี่ชาย พรุ่งนี้พี่จะมาไหม ที่พูดไปทั้งหมดน่ะเป็นเรื่องจริงจริงๆนะ.....”
ต้วนเจียสวี่หลุบตาลงล่างแล้วพูดขึ้นอย่างเอื่ยเฉื่อยว่า: “แล้วทำไมไม่ให้พี่เธอไปล่ะ?”
“มันจะเป็นไปได้ยังไง!” ซังจื้อเบิกตาโต “ก็เมื่อกี้หนูพึ่งจะหาเรื่องใส่เขาไปนี่......ถ้าขืนบอกไปละก็ หมอนั่นต้องเอาเรื่องไปฟ้องแม่แน่”
ต้วนเจียสวี่ยิ้ม: “พี่ชายเธอไม่ใช่คนอย่างนั้นซะหน่อย”
“……..”
น้ำเสียงที่พูดออกมานั้นไม่เพียงแต่จะไม่จริงจังแถมยังฟังดูล้อเล่นอีกด้วย
ซังจื้อที่เมื่อครู่ได้ไปหาเรื่องใส่ชาวบ้านมิหน่ำซ้ำยังเป็นเรื่องที่กุขึ้นมาอีก เวลานี้เธอมืดแปดด้าน
ไม่มีทางให้ถอยอีกแล้ว เธอจึงรื้อเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อกี้ขึ้นมาพูด: “พี่ เมื่อกี้ไม่ใช่ว่าเป็นเพราะพี่พูดแบบนั้นหรอ หนูถึงได้ทะเลาะกับเขา”
ต้วนเจียสวี่ขมวดคิ้ว: “หืม?”
เวลานี้ประตูก็ถูกเปิดออก
ซังเหยียนที่ยืนอยู่ข้างนอกมองมาทางต้วนเจียสวี่: “ไปกันได้แล้ว”
ทำราวกับว่าไม่ได้ยินในสิ่งที่ซังจื้อพูด ต้วนเจียสวี่พยักหน้ารับ: “แล้วเจอกันนะสาวน้อย”
ซังจื้อไม่อยากจะเชื่อ
หมายความว่ายังไงที่ว่าแล้วเจอกัน!
ยังเคลีร์ยกันไม่จบเลยนะ!
เมื่อเห็นว่าต้วนเจียสวี่จะไปแล้วจริงๆ เธอจึงรีบคว้าแขนเขาไว้: “จะไปกันแล้วหรอ? นี่ก็เย็นมากแล้วไม่อยู่ทานข้าวก่อนแล้วค่อยไปล่ะ?”
ต้วนเจียสวี่ปฏิเสธอย่างนุ่มนวล: “เอาไว้ครั้งหน้าแล้วกันนะ”
ซังจื้อจ้องมองไปที่เขาและไม่มีทีท่าว่าจะปล่อยมือ
ครั้งหน้าอะไรกันเล่า!
เรื่องที่พึ่งพูดไปหยกๆเมื่อกี้ลืมแล้วหรอ! เป็นตาแก่สมองเสื่อมหรือไง!
แต่เธอก็ไม่ได้พูดออกไปแต่อย่างใด ได้แต่เอ่ยถามด้วยท่าทางน่าสงสาร: “แล้วครั้งหน้าที่ว่าคือเมื่อไหร่หรอ......”
ต้วนเจียสวี่ได้เพียงแต่ส่งยิ้มให้
เห็นท่าทางอาลัยอาวรณ์ของทั้งสองคนแล้ว ซังเหยียนจึงเลิกคิ้วถาม: “พวกเธอสองคนเห็นแค่แวบแรกก็ปิ๊งกันแล้วหรือไงฮะ? ต้วนเจียสวี่นายอดใจไว้หน่อยเถอะ น้องสาวฉันเพิ่งจะอายุแค่สิบสองเองนะ”
ซังจื้อแย้งขึ้น : “สิบสามแล้ว”
เมื่อได้ยินตัวเลขดังกล่าว ต้วนเจียสวี่ก็รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย สายตามองไปยังตัวของซังจื้อ
“สิบสามแล้วหรอ?”
น้ำเสียงที่ฟังดูแล้วเหมือนจะไม่เชื่อ
ราวกับว่าการที่เธออายุสิบสามนั้นเป็นเพียงเรื่องปรัมปรา
การที่เขามีปฏิกริยาแบบนั้นมันจี้ใจดำซังจื้ออย่างแรง เพียงครู่เดียวซังจื้อก็ลืมเรื่องที่ไปขอความช่วยเหลือเขาไว้จนหมดสิ้น แล้วพูดอย่างไม่สบอารมณ์ว่า: “พี่คิดว่าฉันมันเตี้ยใช่ไหมล่ะ ดูไม่เหมือนเด็กอายุสิบสามใช่ไหม”
ซังเหยียนที่ยืนเอามือเท้าขอบประตูอยู่ พูดซ้ำเติม : “เออ หมอนั่นหมายความว่างั้นแหละ”
ต้วนเจียสวี่ยืนเกาแกรกๆพลางส่ายหน้า: “ไม่ใช่ซะหน่อย”
ที่พูดนั่นมันไม่ใช่สักนิด
ซังจื้อจ้องมองไปที่ชายหนุ่มทั้งสองคนครูหนึ่งแล้วก็รู้สึกโกรธขึ้นมา : “เอาล่ะ ฉันไม่พูดกับพวกพี่แล้ว” แต่ครั้งนี้กลับไม่เหมือนตอนที่ทะเลาะกับซังเหยียน แววตาของเธอฉายแววเจ็บปวดแล้วเอ่ยขึ้นว่า: “เดี๋ยวหนูก็โตแล้ว”
เมื่อเห็นดังนั้นแล้ว ซังเหยียนผู้ที่นานๆทีจะสำนึกรู้สึกผิดกลับรู้สึกละอายใจเล็กน้อย พร้อมทั้งพูดปลอบใจ: “เตี้ยๆแบบนี้ก็ดีแล้วไม่ใช่หรือไง เดี๋ยวคนเขาก็นึกว่าอายุสิบแปดหรอก”
แทนที่จะดีขึ้นกลับจี้ใจดำเธอหนักกว่าเดิม
ซังจื้อยังคงหน้ามุ่ย: “แล้วอย่างพี่ที่แค่ตัวสูงอะ คนเขาคิดว่าพี่เป็นพ่อฉันไหมล่ะ?”
“………”
ความรู้สึกละอายใจในคราแรกของซังเหยียนหายไปหมดสิ้น
สาวน้อยกลอกตาที่ยังคงแดงก่ำอยู่ ภาพของเธอขณะนี้เหมือนสาวน้อยที่โดนแกล้งแต่ไม่อยากจะเผยความอ่อนแอของตนออกมา
ดูเหมือนว่าคนที่ทำให้เธอเป็นเช่นนี้ถึงสองครั้งสองคราจะเป็นตัวเขา ต้วนเจียสวี่ลอบถอนหายใจครั้งหนึ่งให้ตนผ่อนคลายลงแล้วจึงเอ่ยถาม : “สิบสาม เรียนม.2?”
“ม.1” ซังจื้อตอบเสียงแข็งและไม่แม้แต่จะมองเขา
“โรงเรียนอะไร?”
“โรงเรียนมัธยมซวี่รื่อ” ซังจื้อเว้นเล็กน้อย เธอเริ่มไม่แน่ใจว่าความคิดที่แวบเข้ามาในหัวนี่เป็นความคิดที่ดีหรือไม่ แต่ก็พูดเสริมอีกประโยคด้วยเสียงที่หมดอาลัยตายอยากอย่างถึงที่สุด “ม.1/1”
จากนั้น เขาก็โน้มตัวลงมาสบตากับเธอ
“แล้วหนูชื่ออะไรคะ?”
เธอตอบเสียงเบา: “ชื่อซังจื้อ”
“ซังจื้อ?”
“ใช่” ซังจื้อพยายามหลบสายตาอีกฝ่าย “จื้อในคำว่าจื้อชี่*”
ต้วนเจียสวี่หยิกแก้มเด็กสาวด้วยความเอ็นดู: “ถ้าอย่างนั้น เสี่ยวซังจื้อ”
“……..”
เขากดเสียงลงต่ำแล้วพูดกับเธอด้วยเสียงที่แผ่วเบาราวกับว่ากลัวคนอื่นจะได้ยิน
“รู้แล้วใช่ไหมว่าครั้งหน้าคือตอนไหน?”
-
หลังจากที่ทั้งคู่กล่าวลาหลีผิงแล้วก็ออกจากบ้านไป
พระอาทิตย์นั้นได้ลับขอบฟ้าไปแล้ว ท้องฟ้ายามเย็นก็เข้าปกคลุม อากาศเย็นขึ้นเล็กน้อย
ต้วนเจียสวี่ถามขึ้น: “น้องสาวนายปกติแล้วก็เชื่อฟังแบบนี้สินะ?”
“เชื่อฟัง?” ซังเหยียยนพ่นล่มออกจมูก เขาหยิบอมยิ้มที่ไม่รู้มีอยู่ตั้งแต่เมื่อไหร่ขึ้นมากิน “ยัยนั่นน่ะอยู่ในวัยต่อต้าน รับมือยากชะมัด”
วัยต่อต้าน
รับมือยาก
* ตัวอักษรจีนในชื่อของซังจื้อ คือตัวอักษรจื้อในคำว่า稚气(จื้อชี่) แปลว่า ไร้เดียงสา น่าเอ็นดู
แต่ก็ยังดี
ต้วนเจียสวี่ครุ่นคิด ที่แท้ก็เป็นเด็กน้อยที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะและเขาก็ยังไม่รู้แน่ชัดว่าเรื่องที่เกิดขึ้นร้ายแรงมากแค่ไหน เขาจึงหยิบเอาเรื่องนี้ขึ้นมาถามกับซังเหยียน : “น้องสาวนายถูกเรียกพบผู้ปกครองน่ะ เมื่อกี้เธอถามฉันว่าช่วยไปพบอารย์ให้ได้ไหม นายคิดว่าควรทำยังไงดี?”
ซังเหยียนเดาะลิ้นจึ๊ปาก: “ถึงว่าล่ะทำไมยัยนั่นถึงได้รั้งนายไว้ให้อยู่กินข้าว ว่าแล้วรายนั้นไม่มีเจตนาดีหรอก”
ต้วนเจียสวี่ได้ยิ้มอย่างเงียบๆ
: “ดูๆแล้วก็ไม่น่าจะใช่เรื่องใหญ่อะไร โดนเรียกมาตั้งหลายรอบแล้วแต่ละทีก็มีไม่กี่สาเหตุหรอก” ซังเหยียนหันกลับไปถามอย่างไม่ใส่ใจ “พรุ่งนี้นายว่างปะล่ะ? ถ้าว่างก็ช่วยฉันไปหน่อย พรุ่งนี้ฉันไม่ว่าง”
“พรุ่งนี้นะเหรอ.....”
“อืม ไม่ว่างก็ไม่เป็นไร เดี๋ยวฉันค่อยไปพูดกับแม่ก็ได้”
เขาพึ่งจะตบปากรับคำกับเธอไป ไม่ทันไรเรื่องก็ถึงไปหูที่บ้านเนี่ยนะ
ยัยหนูน้อยนั่นได้ร้องไห้อีกแหง
“ไม่มีก็ต้องมีล่ะนะ” ต้วนเจียสวี่พูดด้วยน้ำเสียงสบายๆ “จะมาหลอกสาวน้อยได้ยังไงกัน”
-
เมื่อได้ยินเสียงปิดประตู ซังจื้อแอบมองแล้ววิ่งตรงไปหาหลีผิง: “แม่ ทำไมพี่เขาถึงกลับมาล่ะ?”
หลีผิง: “พี่เขาบอกว่ามาเล่นบอลแถวนี้ เลยแวะเข้ามาอาบน้ำหน่อยน่ะ”
“นี่ก็เย็นมากแล้วทำไมแม่ไม่บอกให้พวกพี่เขาอยู่กินข้าวเย็นกันก่อนล่ะ”
“ก็เพื่อนพี่เขาคนนั้นมีธุระต่อน่ะ” หลีผิงตอบอย่างไม่ใส่ใจนัก แล้วเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงไม่จริงจังนักว่า: “จื๋อจื่อ พี่เขาตีลูกจริงๆเหรอ?”
“……..” ซังจื้อรู้สึกผิดขึ้นมาทันใดและไม่กล้าที่จะถามย้ำจึงวิ่งเข้าห้องของตนไป “หนูต้องทำการบ้านแล้ว ไปก่อนน้า”
เมื่อกลับถึงห้องและล็อคกลอนประตูเรียบร้อยแล้ว
ซังจื้อทิ้งตัวลงบนเตียง หยิบตุ๊กตาขึ้นมากอด อารารมณ์ของเธอขณะนี้ยังไม่ดีนัก เธอนึกถึงสิ่งที่ต้วนเจียสวี่พูดกับเธอ
--“รู้แล้วใช่ไหมว่าครั้งหน้าคือตอนไหน?”
มันควรจะเป็นคำที่เธอต้องพูดไม่ใช่หรือไงว่า “ครั้งต่อไปคือเมื่อไหร่น่ะ”
หมายความว่าเขาจะมางั้นเหรอ?
ซังจื้อถอนหายใจด้วยความโล่งอก กลิ้งตัวและแกว่งขาไปมา ฮัมเพลงอย่างมีความสุข เธอมองไปยังท้องฟ้าที่มืดลงแล้วนึกถึงเรื่องที่พึ่งเกิดขึ้นเมื่อครู่
ยิ่งไปกว่านั้น
ต้วนเจียสวี่ยกมือขึ้นมาหยิกแก้มของเธอ
“……..”
“?”
ซังจื้อลุกพรวดขึ้นนั่ง
เมื่อกี้เธอโดนผู้ชายที่พึ่งจะเจอกันครั้งแรกหยิกแก้มหรือเนี่ย?
ไม่ผิดแน่
เขามาหยิกแก้มของหญิงสาวได้ยังไงกัน?
พึ่งจะเจอกันครั้งแรกเนี่ยนะ!!! เขา! หยิกแก้มของเธอ! ได้! ยังไง! กัน!
หยิกแล้วก็แล้วกันไป
แล้ว! ทำไม! ต้องเข้ามาใกล้ขนาดนั้นด้วย!
ละ....แล้วยังเรียกเธอว่าเสี่ยวซังจื้ออีก......
ช่างเหอะ
ซังจื้อปรับอารมณ์ของตนเอง ทำเหมือนไม่สนใจแล้วเน้นย้ำกับตนเอง: “ช่างมัน”
คิดเสียว่าเขาช่วยเธอจะยอมให้ก็ได้
เธอกวาดตามองไปรอบๆ ไปเจอเข้ากับกระจกที่อยู่บนโต๊ะหนังสือ
เธอสังเกตว่าตนเองนั้นหน้าแดงแป๊ด
ความใจเย็นของเธอเมื่อครู่ได้พังทลายลงไปหมดสิ้น
?
เธอ! ทำไม! ถึงมาหวังอะไรจากเขากันนะ! เธอ! แค่จะมาหาประโยชน์จากเขาก็แค่นั้น! ! ! !
ตั้งแต่เกิดมาจนอายุสิบสามพึ่งจะเคยรู้สึกแบบนี้เป็นครั้งแรก
ซังจื้อทิ้งตัวลงบนที่นอน ด้วยเพราะทำตัวไม่ถูกเธอได้แต่ห่อตัวเองเข้าไปในผ้าห่ม รับรู้ถึงอากาศภายในที่เบาบางลงเรื่อยๆ
เธอก็ได้ยินเสียงหัวใจเต้นรัวไม่หยุด
-
ณ เช้าวันที่สองอันสดใส
หลังจากที่ซังจื้อล้างหน้าแปรงฟันเสร็จแล้ว ขณะที่เดินไปที่ห้องรับแขก ซังหรงและหลีผิงก็ได้นั่งอยู่ที่โต๊ะกินข้าวรับประทานข้าวเช้าอยู่ก่อนแล้ว เธอทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นและไม่ได้พูดถึงเรื่องผู้ปกครอง
เธอเดินมาที่หน้าโต๊ะกินข้าวแล้วนั่งลง
หลีผิงตักโจ๊กเนื้อให้กับซังจื้อ
ด้วยที่พึ่งตื่นนอนจึงยังไม่มีใครอยากจะพูดอะไรนัก
ทั้งบ้านต่างเงียบสนิท
ซังจื้อนั่งกินโจ๊กอย่างช้าๆ แต่พอนึกถึงเรื่องของต้วนเจียสวี่เมื่อวานนี้ เธอก็ถึงกับสำลักออกมา เธอถามพ่อด้วยเสียงที่เบาว่า: “พ่อ หนูน่ะเตี้ยไปหน่อยใช่ไหม”
ซังหรงมองไปทางลูกสาวแล้วเอ่ยถาม: “มีใครมาพูดอะไรงั้นหรอ?”
ซังจื้อพยักหน้า ไม่ว่าจะมีเรื่องอะไรเธอก็จะโยนใส่ซังเหยียนเป็นอันดับแรก: “พี่บอกว่าหนูเตี้ย”
หลีผิง: “อย่าไปฟังพี่เขาเลย”
ซังจื้อเอ่ยพลางใช้ส้อมจิ้มไปที่ก้นถ้วย: “แต่ว่าเพื่อนหนูที่อายุสิบสามเหมือนกันก็สูงกว่าหนูหมดเลย ยินเจินหรูสูงตั้งร้อยหกสิบ”
ซังหรงเอ่ยปลอบใจลูกสาว: “หนูอายุเท่าไหร่เอง ยังโตได้อีกน่า”
“ทุกคนก็สูงกันหมด ทำไมหนูถึงไม่สูงล่ะ ตอนนั่งรถเมล์ยังมีคนลุกให้หนูนั่งอยู่เลย คิดว่าหนูเป็นเด็กประถม” ซังจื้อที่ตอนนี้ท่าทางหงอยๆจึงเอ่ยถามอย่างเศร้าใจว่า: “ตอนพี่อายุสิบสามน่ะ สูงถึงร้อยห้าสิบไหม”
หลีผิงลังเลก่อนจะพูดขึ้น: “พี่เขาเป็นผู้ชาย ดังนั้น..........”
ซังหรงพูดขัดขึ้นทันใด แล้วตอบซังจื้อว่า: “ไม่ถึง”
“……..”
“จะไปสูงขนาดนั้นได้ยังไงเล่า” ซังหรงพูดอย่างใจเย็น “มันนานแล้วพ่อก็จำไม่ค่อยได้ แต่ตอนนั้นพี่ลูกยังสูงไม่ถึงร้อยสี่สิบเลย”
“……..”