บทที่ 2
หลังจากจ้องมองเธออยู่ครู่หนึ่ง ดูเหมือนว่าชายหนุ่มจะคิดถึงอะไรบางอย่างพร้อมส่งสายตาแบบปลงๆ ไม่นานนักเขาก็นึกสนุกอะไรบางอย่างขึ้นมา จึงขมวดคิ้วแล้วกดเสียงต่ำ “อืม”
“……” ซังจื้อที่ขณะนี้ไม่อาจจะเย็นใจต่อไปได้อีก “พ่อกับแม่อนุญาตแล้วหรือไง?”
บรรยากาศเงียบไปอีกครู่หนึ่ง
ชายหนุ่มเลียมุมปากเล็กน้อย แล้วจึงพูดปนหัวเราะ“แล้วทำออกมาหล่อเพอร์เฟ็กแบบนี้ไม่ดีหรือไง?”
เสียงนั่นทุ้มต่ำ ซังจื้อเอะใจ
เปรียบเทียบกับเสียงของซังเหยียนแล้ว ดูเหมือนว่าจะนุ่มนวลไปสักหน่อย หางเสียงก็ลากยาว ทว่าเหมือนเป็นเสียงที่ผูกพันธ์กันมานาน
หากเทียบกับเสียงเย็นชาน่าเตะของพี่ชายเธอ
ไม่มีอะไรเหมือนกันสักนิด
“เด็กน้อย” เขายิ้มแล้วพูดต่อว่า “ลองเข้ามาดูซิว่าพี่ทำมาหล่อไหม?”
ซังจื้อรู้สึกได้ถึงบางอย่างที่แปลกไป
เวลานี้ ด้านหลังของเธอมีการเคลื่อนไหวของใครบางคน เสียงเปิดประตูดังขึ้นตามด้วยเสียงโยนรองเท้าลงบนพื้น
จิตใต้สำนึกของซังจื้อบอกให้เธอต้องหันไปมอง
ทันใดนั้นเธอก็เห็นหน้าของซังเหยียน
ชายไหล่กว้างเอวสอบที่ผอมลงกว่าไม่กี่เดือนที่แล้วเล็กน้อย ผมที่เปียกปอน ไหล่ที่มีผ้าขนหนูพาดไว้เหมือนกับพึ่งไปอาบน้ำมา
เมื่อเห็นซังจื้อ มุมปากของเขาก็กระตุกขึ้นเล็กน้อย หยิบส้อมจากชามผลไม้ในมือเธอจิ้มแตงโมชิ้นหนึ่งแล้วเดินเข้าไป
ราวกับเห็นผี ซังจื้อพูดติดๆขัดๆ “พะ พี่”
“อะไร?” ซางเหยียนปรายตามองครั้งหนึ่งก่อนจะกัดแตงโม “ความหล่อฉันมันตราตรึงหรือไง”
“ฉัน…….”
ยังไม่ทันได้พูดจบ ก็มีเสียงหัวเราะจากชายด้านหลังขัดจังหว่ะการพูดของเธอ
ซังจื้อรู้สึกทำตัวไม่ถูกและต้องมองไปทางเขาอย่างช่วยไม่ได้
สิ่งที่ปรากฏต่อสายตาเธอตอนนี้ คือเขาที่ช่างเจิดจรัสเสียยิ่งกว่าแสงอาทิตย์ที่สาดส่องอยู่ข้างนอกนั่น
คิ้วของชายหนุ่มเหยียดออก ทำให้ท่าทางที่ดูไม่สนโลกของเขาดูผ่อนคลายลงเล็กน้อย หางตาเฉี่ยว นัยน์ตาสีอ่อนทอประกาย
ระเรื่อ ช่างเป็นคนที่เซ็กซี่มีเสน่ห์มากเสียจริงๆ
หัวใจของซังจื้อถึงกับเต้นไม่เป็นจังหว่ะ
เธอโดนตกเข้าอย่างจัง
ฝ่ายซังเหยียนที่นึกว่าเพื่อนของเขานั้นขำตนเอง จึงได้หันไปทางเขาแล้วพูดว่า “ต้วนเจียสวี่ นี่นายหัวเราะงั้นเหรอ------”
เป็นเพราะซังจื้ออยู่ด้วย ซังเหยียนจึงไม่ได้ใช้คำพูดที่หยาบคายนัก เขาจึงเปลี่ยนหัวข้อบทสนทนา เขาหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาแล้วเปิดหน้าข้อความขึ้น จากนั้นก็เขย่าแขนซังจื้อ
“ยัยดื้อ ไปก่อเรื่องมาอีกแล้วล่ะสิ?”
เป็นเพราะบทสนทนาที่เขาได้พูดไปนั้นมาขัดจังหวะ
ทำให้ความรู้สึกที่กำลังใจลอยละล่องของซังจื้อต้องหายวับไปกับตา ซังจื้อโพล่งขึ้นอย่างทันทีทันใด “ฉันจะไปก่อเรื่องอะไรได้”
ซังเหยียนมองน้องสาวพลางเลิกคิ้วขึ้น “ไม่มีก็ดีแล้ว”
“…….” ซังจื้อที่มีเรื่องอยากจะให้ช่วย ได้แต่ขบกรามแน่นแล้วพูดขึ้นว่า “แต่ว่า พี่ ฉันมีเรื่องนิดหน่อย…….”
แต่ด้วยสถานการณ์ตรงนั้นมีคนแปลกหน้าอยู่ด้วย ซังจื้อลอบมองไปทางเขาแล้วกลับมามองที่ซังเหยียน ฉายแววตาถึงสิ่งที่อยากจะพูดแต่ก็พูดไม่ได้
ซังเหยียนก็ไม่ได้สังเกตเห็น
สุดท้าย คนแปลกหน้าผู้นี้ก็เปิดปากพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงร่าเริง “ซังเหยียน นั่นน้องสาวนาย?”
ซังเหยียนเดินไปที่ข้างเตียงแล้วนั่งลง: “ไม่คิดว่าจะเป็นลูกสาวฉันบ้างหรือไง?”
“…….”
ซังจื้อเดินเข้ามาอย่างสงบเสงี่ยมแล้วเอ่ยปากถามว่า: “พี่ คือว่าเขาเป็นใครเหรอ”
ซังเหยียนตอบสั้นๆ: “รูมเมทน่ะ ต้วนเจียสวี่”
“ไม่รู้จักกันแล้วหรอ?” ต้วนเจียสวี่พูด “เมื่อกี้ยังเรียกพี่ว่าพี่ชายอยู่เลย”
คำพูดนั่นทำให้ซังจื้อนึกถึงเรื่องความคิดอันแสนจะโง่เง่าน่าอายนั่นขึ้นมา จากใบหน้าที่ตึงเครียดก็คลายลงทันใด แต่ก็ยังมีติดรำคาญอยู่นิดๆ
ซังเหยียนพ่นลมหายใจออกจมูก : “เนื้อหอมเหมือนกันนี่นาย”
ในระหว่างที่พูด ต้วนเจียสวี่ก็ได้เดินไปหยุดอยู่ตรงหน้าของซังจื้อพร้อมทั่งย่อตัวลงแล้วสบตากับเธออย่างจริงจัง ด้วยนัยน์ตาสีอ่อนคู่นั้นที่ทั้งอ่อนโยนและมีเสน่ห์: “ฉันชื่อต้วนเจียสวี่ เป็นเพื่อนพี่ชายของเธอน่ะ”
ซังจื้อไม่กล้าที่จะสบตา ใจของเธอที่ตอนนี้ไม่อยู่กับเนื้อกับตัว: “อ้อ ค่ะ”
หลังจากที่แนะนำตัวกับเธอเสร็จแล้วต้วนเจียสวี่ก็หันหลังกลับ แล้วกลับสู่ท่าทางไม่สนใจใยดีเช่นที่เป็นอยู่:
“ซังเหยียน”
ซังเหยียนยังคงไม่เงยหน้าขึ้นและยังคงเล่นโทรศัพท์ต่อไป
ต้วนเจียสวี่เอ่ยถาม: “ฉันกับนายนี่ ดูคล้ายกันมากเลยหรอ?”
หมายความว่าไง?
ซังเหยียนผละจากมือถือแล้วเงยหน้าขึ้น: “ไปส่องกระจกไป”
“งั้น” ต้วนเจียสวี่รับชามผลไม้ที่อยู่ในมือของซังจื้อมา “ทำไมน้องคนนี้ถึงได้ถามฉันว่า-------”
“…….”
เขาเว้นจังหวะครู่หนึ่ง
ต้วนเจียสวี่หัวเราะ: “พี่ไปศัลยกรรมมาเหรอ?”
“…….”
ทั้งห้องเงียบไปครู่หนึ่ง
ซังเหยียนพูดเสียงเย็น: “หมายความว่ายังไง?”
“พี่!” ซังจื้อกลัวพี่ชายของตนจะไม่พอใจแล้วไม่ช่วยไปพบอาจารย์ เธอจึงรีบเปลี่ยนเรื่องคุย “ก็พี่บอกเองไม่ใช่หรือไง ว่าวันนี้ไม่กลับบ้านน่ะ?”
“ยัยบ้า” ดูจากท่าทางของซังจื้อเมื่อกี้แล้ว ซังเหยียนจึงเอ่ยเสียงเรียบ “เธอคิดว่าหมอนี่คือพี่งั้นเหรอ?”
“…….ปะ เปล่าซะหน่อย”
“แล้วเธอยังคิดว่าหมอนี่คือพี่ที่ทำศัลยกรรมเสร็จแล้วงี้น่ะหรอ?”
“…….”
“นี่เธอคิดได้ยังไงเนี่ย” ซังเหยียนถึงกับเสียความมั่นใจไปหมดสิ้น จากนั้นก็เอ่ยด้วยน้ำเสียงที่ไม่สู้ดีนักว่า: “ฉันไปศัลยกรรม? ทำแล้วเหมือนหมอนี่เนี่ยนะ--------”
ดูเหมือนว่าเขาจะหาเรื่องเธอไม่จบไม่สิ้น ฝ่ายซังจื้อก็ชักจะเริ่มยัวะขึ้นมาบ้างแล้ว: “ศัลยกรรมเปลี่ยนพี่เป็นเขาก็ดีแล้วไม่ใช่หรือไง!”
“…….”
“ก็แม่ไม่ได้บอกว่าพี่จะพาเพื่อนมานี่” ซังจื้อตอบกลับไปด้วยความโกรธ เผยให้เห็นตัวตนที่แท้จริงของเธอออกมา “ก็แล้วในห้องก็มีคนอยู่แค่คนเดียว ฉันจะคิดอย่างนั้นมันถูกแล้วไม่ใช่หรือไง!”
ซังเหยียนแคะหูอย่างไม่สบอารมณ์: “นี่ เบาหน่อยสิ”
ซังจื้อที่ยังคงหน้างอ: “แล้วทำไมต้องเบาด้วยล่ะ ไม่ได้เดือดร้อนใครสักหน่อย”
สองพี่น้องเผชิญหน้ากัน
ซังเหยียนไม่มีทีท่าว่าจะลดราวาศอกให้กับผู้เป็นน้องสาวแม้แต่น้อย ยังคงหาเรื่องเติมเชื้อไฟอย่างต่อเนื่อง “กระทบฉันนี่ไง”
การต่อสู้ตรงหน้าดูท่าแล้วจะยิ่งไปกันใหญ่
ต้วนเจียสวี่พยามจะลดความตึงเครียดลงจึงได้กวักมือเรียก: “หนูน้อย มากินผลไม้ก่อนมา”
เพราะว่ามีเพื่อนอยูด้วย ซังเหยียนจึงไม่ได้จะใส่ใจกับแกล้งน้องอย่างที่เคยทำบ่อยๆ เขาจึงมองโทรศัพท์แล้วพูดกับต้วนเจียสวี่ว่า: “นายจะอาบน้ำก่อนไหมล่ะ? อาบเสร็จแล้วค่อยกลับโรงเรียน”
“ไม่ล่ะ” ต้วนเจียสวี่พูดพลางจิ้มแตงโมอีกชิ้นแล้วยื่นให้กับซังจื้อ“กินผลไม้ก่อนแล้วค่อยไปเถอะ”
ซังจื้อบุ้ยมุมปากยิ้ม เธอจ้องมองไปยังต้วนเจียสวี่โดยอัตโนมัติ
เวลานี้ ภาพน่าอายที่เธอพึ่งจะทะเลาะกับซังเหยียนอย่างกับเด็กก็ลอยขึ้นมา ยิ่งไปกว่านั้น ดูๆไปแล้วพี่ชายที่อ่อนโยนและน่ารักคนนี้กลับวางเฉยต่อเรื่องน่าอายที่พึ่งเกิดขึ้นของเธอ
ความอับอายถาโถมเข้ามาในใจ
ราวกับว่าเธอถูกคนทั้งโลกทอดทิ้ง
รู้สึกถึงใบหน้าที่ร้อนฉ่าและรอบดวงตาที่ร้อนผ่าว
เธอรู้สึกเขินอายอย่างถึงที่สุด
ซังจื้อรับผลไม้ที่ถูกหยิบยื่นมาให้อย่างเงียบๆ เป็นเพราะความเขินอายและความเกร็งของเธอทำให้เผลอกลั้นหายใจเป็นเวลานานจนสำลัก
ต้วนเจียสวี่หยุดชะงัก
ซังเหยียนได้ยินดังนั้น จึงละสายตาขึ้นมามอง: “......ไม่ใช่แล้วมั้ง”
คำพูดดังกล่าวเหมือนเปิดสวิตช์
ทันใดนั้นน้ำตาของซังจื้อก็ไหลพราก ร้องโฮลั่นบ้านเสียงดังจนไปถึงห้องรับแขก
“…….”
ชายหนุ่มทั้งสองต่างยืนอึ้งตะลึงงันกันไปตามๆกัน
หลีผิงเมื่อได้ยินเสียงจึงรีบวิ่งเข้ามาจากห้องรับแขก: “เกิดอะไรขึ้น?”
ซังเหยียนรีบแก้ตัวอย่างไวแล้วพูดไปอย่างน่าไม่อายว่า “ต้วนเจียสวี่ นายแกล้งน้องสาวฉันทำไม”
ต้วนเจียสวี่ถึงกับยืนแข็งทื่อ
เขาเองก็ไม่เคยเจอเหตุการณ์เช่นนี้มาก่อน เวลานี้เขาจึงไม่รู้ว่าควรจะต้องทำอย่างไรดี
ยังไม่ทันที่เขาจะได้อธิบาย
ซังจื้อก็คว้าชายเสื้อของเขาเอาไว้แล้วยืนหลบด้านหลัง ด้วยท่าทางที่ดูหวาดกลัว เธอมองไปยังหลีผิงและยังคงสะอึกสะอื้น ส่วมมืออีกข้างหนึ่งก็ชี้ไปยังซังเหยียน: “แม่......ฮือๆๆ.....พะ พี่เขา........”
หลีผิงมองไปทางซังเหยียน พร้อมส่งสายตาอันแสนจะเย็นเยียบ
เสียงร้องไห้ของซังเหยียนยิ่งเศร้าสร้อยเข้าไปอีก: “พี่เขาตีหนู........”
ซังเหยียน: “…….”
-
สาวน้อยร้องไห้อย่างน่าสงสาร น้ำตายังคงไหลพรากหยดลงเผาะๆราวกับจะขาดใจ น้อยครั้งมากที่ซังจื้อจะร้องไห้โฮเช่นนี้ หลีผิงจึงปลอบโยนเธออย่างอ่อนโยน จากนั้นเธอก็เปลี่ยนีหน้าแล้วลากซังเหยียนไปสั่งสอนที่ห้องรับแขกยกหนึ่ง
ประตูที่ตอนนี้ได้ปิดลงไล่หลังพวกเขาไป
เพราะมีคนลดลงหนึ่งคนบรรยากาศตอนนี้จึงผ่อนคลายลงมาบ้าง ซังจื้อปล่อยชายเสื้อของต้วนเจียสวี่ เสียงร้องไห้ค่อยๆจางหายไป
ต้วยเจียสวี่หันกลับมามองเธอ
สาวน้อยวัยแรกรุ่นที่ส่วนสูงไม่ถึงร้อยห้าสิบที่ตัวถึงเพียงแค่อกของเขา ตากลมโตที่ตอนนี้เป็นสีแดงก่ำ ทำจมูกฟุดๆ ราวกับกระต่ายน้อย
จากนั้น เธอก็งับแตงโมอย่างน่าเอ็นดู
ในที่สุดเธอก็หยุดร้องไห้
ต้วนเจียสวี่ส่งยิ้มให้เธอและไม่ถามถึงสาเหตุที่เธอนั้นร้องไห้ พร้อมทั้งดึงทิชชู่ส่งให้สองแผ่น: “หยุดร้องแล้วเหรอ?”
อารมณ์เศร้าที่เกิดจากการร้องไห้นั้นได้หายไปแล้ว ซังจื้อรู้สึกดีขึ้นมาก จะมีก็แต่คววามรู้สึกอายที่ยังหลงเหลืออยู่
เธอก้มหน้าก้มตาไม่พูดไม่จา
เป็นเพราะส่วนสูงของทั้งสองที่ต่างกันมาก ต้วนเจียสวี่จึงโน้มตัวลงมาแล้วใช้กระดาษทิชชู่ซับน้ำตาให้กับเธอ: “ไปล้างหน้าล้างตาหน่อยดีมั้ย”
ซังจื้อที่เคยชินกับการประคบประหงมดูแลเช่นนี้จึงยอมทำตามแต่โดยดี
ท่ามกลางความเงียบ
ในหัวของซังจื้อนั้นก็มีความคิดหนึ่งแวบเข้ามา
สำหรับคนแปลกหน้าแล้ว นี่อาจเป็นวิธีที่ออกจะกระทันหันไปสักหน่อย
คิดได้ดังนั้นแล้ว ซังจื้อจึงเอ่ยปากพูด เป็นเพราะพึ่งจะร้องไห้ไปทำให้เสียงที่ออกมานั้นเหมือนกับลูกวัวตัวน้อยที่ภายนอกดูน่ารัก: “พี่จะกลับแล้วหรอ?”
ต้วนเจียสวี่เลิกคิ้วขึ้น: “อื้ม มีอะไรหรือเปล่า?”
“พรุ่งนี้ว่างไหม?”
“พรุ่งนี้?”
“ใช่”ซังจื้อพูดเสียงเบา “พรุ่งนี้”
ต้วนเจียสวี่ส่งยิ้มอ่อน : “ทำไมถึงถามล่ะ?”
เขาไม่เชิงตอบว่าว่าง ซังจื้อก็ไม่กล้าที่จะพูด : “ก็ ก็คือ..........” เธอละล้าละลังไม่ยอมตอบเสียที สุดท้ายก็วนกลับมาที่คำถามเดิม เพียงแต่ครั้งนี้เธอเพิ่มคำเรียกที่ดูให้เกียรติขึ้นมานิดนึง : “พี่ พรุ่งนี้ว่างไหม?”
ต้วนเจียสวี่หลุบตาลงล่าง แล้วพูดอย่างเฉื่อยชาขึ้นว่า: “แล้วถ้าพรุ่งนี้พี่ไม่ว่างล่ะ?”
ซังจื้อโพล่งขึ้น: “ไม่ได้นะ!”
เมื่อกี้เธอพึ่งจะโยนระเบิดใส่ซังเหยียน รายนั้นไม่ยอมช่วยเธอแน่ ตอนนี้ความหวังของเธอก็คือเขาคนนี้เท่านั้น
เธอกำหมัดแน่น แล้วตามตื๊อทื่อๆต่อไป: “พี่ต้องว่างสิ ถ้าพี่ไม่ว่างละก็ หนูจะบอกแม่ว่าพี่สองคนตีหนู พวกผู้ชายสองคนนี้รุมตีหนู........”
“…….”
พวกผู้ชายสองคนนี้รุมตีเนี่ยนะ?
ต้วนเจียสวี่กระตุกมุมปากเล็กน้อย: “แล้วทำไมถึงไม่บอกเหตุผลล่ะคะ? สาวน้อย”
ซังจื้อสบตาเขาแล้วพูดออกมาอย่างไม่มั่นใจนัก: “ก็หนูยังเด็กนี่”
“หืม?”
“ยังไม่รู้ว่าจะอธิบายเหตุผลยังไง”
โอเค
ต้วนเจียสวี่ยิ้มเหมือนไม่ยิ้ม: “บอกพี่ก่อนสิ ว่าพรุ่งนี้เธอจะทำอะไร”
ซังจื้อลังเล ก่อนจะพูดขึ้นอย่างจเย็นว่า: “พี่มาเป็นพี่ให้หนูหน่อยได้ไหม แบบว่าพี่แท้ๆน่ะ”
ต้วนเจียสวี่ขมวดคิ้ว
“แล้วพรุ่งนี้” เธอยังรู้สึกปากหนักอยู่เล็กน้อย แล้วก็พูดด้วยเสียงที่ต่ำลงมา“ก็ช่วยไปพบอาจารย์หน่อยนึง.....”
ต้วนเจียสวี่พอจะเข้าใจสถานการณ์ขึ้นมาบ้าง: “โดนเรียกพบผู้ปกครองงั้นสิ?”
ซังจื้อเงียบเหมือนเป็นการยอมรับกลายๆ
“เหตุผลที่โดนเรียกคืออะไร”
เมื่อนึกถึงเหตุผลที่ตนเองคิดไว้ตอนอยู่บนรถแล้ว ไม่แน่ใจว่าเขาจะยอมเชื่อเธอไหม เธอเกาหัวแกรกๆ แล้วพูดอย่างลังเลว่า: “หนูขอไม่บอกเหตุผลได้ไหม?”
“ได้สิ”
ยังไม่ทันที่ซังจื้อจะได้เปิดปากพูด ต้วนเจียสวี่ก็พูดขึ้นอย่างไม่ใส่ใจนักว่า : “งั้นพรุ่งนี้พี่ไม่ว่าง”