บทที่ 191 มีลูกแล้ว
หลิวเหอเป็นหัวหน้าของพวกนั้น แต่เขามักจะแสร้งทำตัวดี
ตอนแรก โจวหมิงเซิงเคยได้รับความช่วยเหลือจากหลิวเหอหลายครั้ง ทำให้เขาคิดว่าหลิวเหอเป็นคนดี
แต่ภายหลัง หลิวเหอทำผิดหลายครั้ง โจวหมิงเซิงแม้ไม่ใช่คนโง่ ก็เริ่มสังเกตเห็นความผิดปกติของหลิวเหอ
เขาเคยพยายามพูดกับหลิวเหอและขอความช่วยเหลือจากอาจารย์คนอื่นในสำนัก แต่ก็ไม่ได้ผล
จนกระทั่งครั้งสุดท้าย ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น โจวหมิงเซิงถึงกับทะเลาะกับหลิวเหอและพวกต่อหน้าหัวหน้าสำนัก แถมยังมีการใช้กำลังกันอีกด้วย
โจวหมิงเซิงเป็นฝ่ายลงมือก่อน เมื่อรวมกับการใส่ร้ายของหลิวเหอและพวก โจวหมิงเซิงจึงถูกไล่ออกจากสำนักไป
ซูเล่อหยุนคิดถึงภาพครั้งที่สองที่พบกับฉินซิ่ว ตอนนั้นโจวหมิงเซิงกลับมาพร้อมกับบาดแผล คาดว่าเหตุการณ์นั้นคงเกิดขึ้นในวันที่เขาถูกไล่ออก
"ข้าเพิ่งรู้เรื่องนี้เมื่อไม่นานมานี้เอง ข้าได้ยินพวกเขาคุยกันในบ้านตระกูลหลิว" หลิวฉินยิ้มขมขื่น
"หลังจากนั้นข้าจึงถามหาที่อยู่ของโจวหมิงเซิงจากทางสำนัก และนำของขวัญไปขอโทษ จึงได้รู้ว่าเขาถูกไล่ออก ตอนนี้เลยต้องตั้งแผงลอย เขียนภาพและตัวหนังสือเพื่อหาเลี้ยงชีพ"
แม้จะเป็นความผิดของหลิวเหอ แต่ในฐานะพี่สาว หลิวฉินรู้สึกผิดแทน
นางทำได้เพียงให้เงินช่วยเหลือเท่านั้น เรื่องอื่นก็ช่วยอะไรไม่ได้อีก
"ในเมื่อโจวหมิงเซิงไม่ได้อยู่ที่สำนักฉีหมิงแล้ว ทำไมหลิวเหอต้องมาหาเรื่องเขาอีก?"
ซูเล่อหยุนถามหลังจากคิดครู่หนึ่ง
หลิวชิ่นเองก็ไม่เข้าใจ "เล่อหยุน เมื่อครู่ทำไมเจ้าถึงห้ามข้าไม่ให้ถามต่อ?"
"โจวหมิงเซิงไม่อยากตอบ แสดงว่าต้องมีปัญหาอะไรบางอย่าง เจ้าถามเขาไปก็เปล่าประโยชน์ ลองไปถามคนอื่นน่าจะดีกว่า"
"คนอื่นหรือ?"
หลิวชิ่นขมวดคิ้ว ก่อนจะเข้าใจในทันที
"เจ้าหมายถึง ฉินซิ่ว ใช่ไหม?"
ในฐานะภรรยาของโจวหมิงเซิง บางทีฉินซิ่วอาจรู้เรื่องราวบางอย่าง
ซูเล่อหยุนพยักหน้า "แต่ข้าคงไม่ไปกับเจ้า เรื่องนี้ข้าไม่ควรเข้าไปยุ่ง"
หลิวฉินเข้าใจดี ซูเล่อหยุนเพียงแค่รู้จักฉินซิ่วผิวเผิน การไปถามเรื่องนี้ตรงๆ คงไม่เหมาะ
แต่นางในฐานะพี่สาวของหลิวเหอ ไปถามคงไม่เป็นปัญหา
ทั้งสองแยกกันที่แยกถนน
หลังจากทานอาหารกลางวันที่บ้านตระกูลซุนแล้ว ซูเล่อหยุนพักผ่อนเล็กน้อย จากนั้นก็ออกไปข้างนอกพร้อมกับซุนเจียงหรูและฉินจื่อเยี่ยน โดยพาซุนอวี้เซวียนไปด้วย
ภายในรถม้า ซุนอวี้เซวียนมองดูถนนภายนอกด้วยความตื่นตาตื่นใจ
เขาแสดงสีหน้าอิ่มเอมเป็นระยะ
"พี่สาว นั่นคืออะไร?"
ซุนอวี้เซวียนดึงแขนเสื้อของซูเล่อหยุน พลางชี้ออกไปนอกหน้าต่างรถม้า
เห็นชายชราคนหนึ่งแบกหุ่นฟาง ซึ่งปักด้วยขนมถังหูลู่หลายแท่ง
มีเด็กๆ หลายคนวิ่งไปขอเงินจากพ่อแม่ ก่อนจะวิ่งไปหาชายชราด้วยความดีใจ
"นั่นคือถังหูลู่ เดี๋ยวพี่สาวจะซื้อให้เจ้า"
ซูเล่อหยุนลูบศีรษะซุนอวี้เซวียนอย่างอ่อนโยน
ฉินจื่อเยี่ยนเห็นภาพนั้นก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ
"ระหว่างทางกลับมา เด็กคนนี้สนใจทุกอย่าง..."
คำพูดของนางไม่ได้เป็นการตำหนิ แต่แฝงด้วยความรู้สึกผิด
ซุนเจียงหรูเหลือบมองฉินจื่อเยี่ยนแล้วยิ้ม "เซวียนเอ๋อร์อยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือนานขนาดนั้น ความสนใจเป็นเรื่องธรรมดา เล่อหยุนว่างบ่อยๆ อยู่แล้ว ให้พาเซวียนเอ๋อร์ไปเที่ยวเล่นบ่อยๆ ก็ได้นะ"
ฉินจื่อเยี่ยนได้ยินดังนั้น ก็คิดอะไรบางอย่างขึ้นมา ก่อนจะกระซิบข้างหูซุนเจียงหรูว่า
“เล่อหยุนกลับมาแล้ว แล้วเรื่องแต่งงานกับตระกูลหลี่จะว่าอย่างไรดี?”
การแต่งงานครั้งนี้เดิมทีเป็นของซูเล่อหยุน จะให้ปล่อยให้ซูหว่านเอ๋อร์ไปได้ง่ายๆ คงไม่ดี
ซุนเจียโหยวส่ายหัว “เรื่องแต่งงานของเล่อหยุน ข้าปล่อยให้เป็นการตัดสินใจของนางเอง”
ฉินจื่อเยี่ยนได้ยินเช่นนั้นก็เข้าใจในสิ่งที่ซุนเจียงหีูไม่ได้พูดออกมา
“ก็จริงนะ ทั้งสองคนโตมาด้วยกันตั้งแต่เล็ก ถ้าเล่อหยุนเข้าไปยุ่งเกี่ยว คงดูไม่ดีนัก”
รถม้าจอดลงหน้าร้านผ้า
ซูเล่อหยุนจูงมือซุนอวี้เซวียนลงจากรถม้า แล้วเดินตรงไปหาขนมถังหูลู่
“ท่านลุง ข้าขอถังหูลู่หนึ่งไม้” ลุงคนขายขนมทำอย่างคล่องแคล่ว หยิบถังหูลู่จากหุ่นฟางส่งให้ซูเล่อหยุน
เหลียนซินก้าวไปข้างหน้าเพื่อจ่ายเงิน
ซุนอวี้เซวียนรับถังหูลู่จากมือของซูเล่อหยุน แล้วกัดเข้าคำหนึ่ง ก่อนจะพูดออกมาอย่างไม่ชัดถ้อยชัดคำ
“พี่สาว ท่านไม่กินหรือ?”
“พี่สาวไม่กิน”
ซูเล่อหยุนยิ้ม ลูบหัวซุนอวี้เซวียนแล้วจูงเขาเดินตรงไปยังร้านผ้า
แต่ก่อนที่พวกเขาจะก้าวเข้าไปในร้าน ก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้นจากข้างหลัง
“ซูเล่อหยุน ทำไมไม่เจอเจ้าแค่ไม่กี่วัน เจ้าถึงมีลูกแล้ว?”
ซูเล่อหยุนชะงักฝีเท้า ริมฝีปากของนางกระตุกอย่างควบคุมไม่ได้
เมื่อหันกลับไปก็เห็นหญิงสาวในชุดสีแดง ผู้ที่ไม่ใช่ใครอื่นนอกจากองค์หญิงหย่งผิง
“องค์หญิง ถ้าท่านใช้สมองคิดสักนิด ท่านก็น่าจะรู้ว่านี่ไม่ใช่ลูกของข้า”
องค์หญิงหย่งผิงรู้ตัวดีว่าพูดผิดไป แต่เมื่อเห็นซูเล่อหยุน นางก็อดไม่ได้ที่จะพูดอะไรออกมาโดยไม่ทันคิด
นางเม้มปาก มองดูใบหน้าของซุนอวี้เซวียนอย่างพิจารณา เหมือนค้นพบอะไรบางอย่าง
“เด็กคนนี้หน้าตาคล้ายเจ้ามาก ข้าคิดผิดก็ไม่เห็นจะเป็นเรื่องใหญ่”
“ถ้าองค์หญิงพอใจก็แล้วแต่ท่านเถิด”
ซูเล่อหยุนยิ้มแห้ง ตั้งแต่ครั้งแรกที่พบนาง องค์หญิงหย่งผิงก็มักจะทำให้นางพูดไม่ออกทุกครั้ง
นางเริ่มสงสัยว่า องค์หญิงหย่งผิงผู้ที่เติบโตมาในวังหลวงนั้น แท้จริงแล้วโง่จริงหรือแกล้งโง่กันแน่?
องค์หญิงหย่งผิงขมวดคิ้ว “ซูเล่อหยุน เจ้ากำลังพูดประชดข้าอยู่หรือ?”
“องค์หญิงเข้าใจผิดแล้ว” ซูเล่อหยุนดึงตัวซุนอวี้เซวียนไปซ่อนอยู่ด้านหลังอย่างแนบเนียน
“แต่ทว่ามารดาและป้าของข้าอยู่ในร้าน ข้าคงไม่สะดวกที่จะสนทนากับท่าน”
“เจ้าคิดว่าข้าอยากคุยกับเจ้าหรือ ข้าไม่อยากคุยด้วยเสียมากกว่า”
องค์หญิงหย่งผิงส่งเสียงฮึดเบาๆ ก่อนจะเดินเข้าไปในร้านผ้า
ซูเล่อหยุนกับซุนอวี้เซวียนสบตากัน ก่อนที่ซุนอวี้เซวียนจะพูดเบาๆ ว่า “พี่สาว องค์หญิงผู้นี้ไม่ชอบข้าใช่หรือไม่?”
“เสี่ยวเซวียนเข้าใจผิดแล้ว องค์หญิงนางไม่ชอบพี่สาวต่างหาก”
ซูเล่อหยุนพูดล้อเล่นพร้อมกับจูงมือซุนอวี้เซวียนเข้าไปในร้านผ้า
ซุนเจียงหรูและฉินจื่อเยี่ยนกำลังเลือกผ้าอยู่ เมื่อเห็นทั้งสองคนเดินเข้ามา ฉินจื่อเยี่ยนก็หยิบผ้าชิ้นหนึ่งขึ้นมาเทียบกับตัวซุนอวี้เซวียน “เสี่ยวเซวียน สีพวกนี้ เจ้าชอบสีไหน?”
ซุนอวี้เซวียนที่ยังเคี้ยวถังหูลู่ในปากอยู่กวาดตามองผ่านผ้าหลายชิ้น จากนั้นก็ชี้ไปที่ผ้าสีขาวอ่อน
“สีนี้ดูไม่สวยหรือ”
ฉินจื่อเยี่ยนชอบสีอีกสีหนึ่งมากกว่า จึงหยิบผ้าขึ้นมาแล้วถามอย่างไม่ตั้งใจ
ซุนอวี้เซวียนกลืนถังหูลู่ลงไป แล้วส่ายหัว “ท่านแม่ เสี่ยวเซวียนอยากใส่สีนี้ มันดูสะอาดและสวยงาม!”
พูดจบ เขาก็ยื่นมือเล็ก ๆ ออกไปแตะผ้าเบา ๆ
สัมผัสที่นุ่มสบายทำให้เขาหัวเราะออกมาอย่างพอใจ เห็นได้ชัดว่าเขาชอบผ้าผืนนี้มาก
เมื่อเด็กเลือกแล้ว ฉินจื่อเยี่ยนก็ไม่ขัด จึงสั่งให้เจ้าของร้านตัดผ้าผืนนี้
ซูเล่อหยุนเองก็มองเห็นผ้าผืนหนึ่งที่ถูกใจ กำลังจะหยิบขึ้นมา แต่กลับมีมืออีกมือหนึ่งยื่นมาข้างๆ
“เจ้าของร้าน ผ้าผืนนี้ข้าจะเอา”
องค์หญิงหย่งผิงเหลือบมองซูเล่อหยุนราวกับว่าดีใจที่ได้แย่งของที่ซูเล่อหยุนต้องการไป
เจ้าของร้านรู้สึกกระอักกระอ่วนเล็กน้อย มองซูเล่อหยุนด้วยความลังเล
“ยกให้องค์หญิงเถิด”
ซูเล่อหยุนพูดพลางเก็บมือกลับ
ก็แค่ผ้าผืนหนึ่ง นางไม่จำเป็นต้องแย่งกับอีกฝ่าย