บทที่ 10
น้ำเสียงของเขาแม้จะดูเย็นชาหากแต่สัมผัสได้ว่าเขาเพียงต้องการจะแหย่เธอ
ซังจื้อไม่รู้ว่าเขานั้นล้อเธอเล่นพูดจริงกันแน่ เธอใช้ปลายนิ้วลูบไล้ที่ขวดนมไปมาและดูเหมือนจะนึกอะไรขึ้นมาได้ จึงเอ่ยถามขึ้น: “นี่พี่ไม่เคยดูหนังสองเรื่องนี้ใช่ไหม?”
ต้วนเจียสวี่ยิ้ม: “เคยดูแต่ทรานส์ฟอร์มเมอร์”
ถึงว่า
ที่แท้ก็เพราะว่าไม่รู้จักนี่เอง เขาเลยพูดแบบนั้นออกมา
รู้อย่างนั้นแล้ว ซังจื้อรู้สึกว่าตัวเองเหนือกว่าเขาขึ้นมานิดหน่อย เธอลุกขึ้นยืนแล้วอธิบายให้ฟังอย่างช้าๆ: “หรูฮวาน่ะ จริงๆแล้วไม่ใช่ชื่อหนังหรอกแต่เป็นบทตัวประกอบในหนังของฮ่องกงที่ชื่อว่า……..”
เธอหยุดครู่หนึ่งเพราะเธอนั้นนึกชื่อหนังเรื่องนั้นไม่ออก: “ชะ ชื่อว่า ——”
ต้วนเจียสวี่อดรอคำตอบของเธอไม่ไหว เขามองดูท่าทางที่ดูเหมือนจะคิดไม่ออกของเธอแล้วก็อดยิ้มไม่ได้:“หรูฮวา ชื่อก็เพราะดีนี่”
ซังจื้อที่กำลังนึกถึงชื่อหนังเรื่องนั้นอยู่จึงไม่ได้สนใจคำพูดของเขา
แต่เขาไม่ได้ถือสาท่าทางหมางเมินของเธอ ต้วนเจียสวี่จึงพูดต่อ: “เธอคงเป็นผู้หญิงที่สวยมากแน่ๆเลย”
แต่ครั้งนี้ซังจื้อไม่สามารถจะทำเป็นหูทวนลมได้อีก เธอเงยหน้าขึ้นและทำท่าจะแย้งในสิ่งที่เขาพูด ครู่หนึ่งเขากลับบีบแก้มของเธอเล่นแล้วพูดต่ออีกว่า: “ก็เหมือนเสี่ยวซังจื้อนี่ว่าไหม?”
ซังจื้อ:“……”
ซังจื้อไม่อยากจะเชื่อหูตัวเอง
เขายังพูดอีกว่าเธอดูเหมือนกับหรูฮวาเลย
เธอรู้สึกเหมือนกับโดนฟ้าผ่ากลางวันแสกๆ!
ไม่นานนักต้วนเจียสวี่จึงล้วงกระเป๋าหยิบโทรศัพท์ออกมาดูเวลาก่อนจะกวาดสายตามองไปรอบๆแล้วชี้ไปที่ร้านสะดวกซื้อที่อยู่ไม่ไกลนัก: “ไปนั่งเขียนที่นั่นกันไหม?”
เธอเงียบ
ต้วนเจียสวี่หันหลังกลับมามอง “หืม? เสี่ยวหรูฮวาทำไมเงียบล่ะ”ต้วนเจียสวี่พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ลากยาวเล็กน้อย
“……”
ยัง ยังจะเป็นเสี่ยวหรูฮวา!
ฟ้าผ่าซ้ำสองไปอีก!
ซังจื้อไม่เข้าใจว่าเขากำลังชมเธอหรือจะเหน็บแนมเธออยู่กันแน่: “อย่าเรียกฉันแบบนั้นอีก หรูฮวาน่ะไม่สวยเลยสักนิด”ซังจื้อเอ่ยด้วยความหงุดหงิด
“หรอ” ต้วนเจียสวี่เลิกคิ้ว “ฟังแล้วก็เพราะดีนี่นา”
ได้ยินดังนั้นซังจื้อก็ถึงกับเงยหน้าขึ้นมอง เห็นท่าทางของเขาแล้ว เธอก็รู้สึกได้ว่ามีบางอย่างแปลกๆ นึกย้อนไปถึงท่าทีของเขาในตอนแรกที่ได้ยินคำว่า หรูฮวา กับเขาในตอนนี้ที่แกล้งทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ ดูๆแล้วมันต่างกันชัดๆ
ไม่นานซังจื้อก็เข้าใจ ที่แท้เขาล้อเธอเล่นนี่เอง
ซังจื้อมองเขาด้วยสีหน้าที่นิ่งเฉยแล้วก็ทำหน้าบึ้ง เดินไปที่ร้านสะดวกซื้อไม่พูดไม่จา
เด็กคนนี้นี่ช่างเจ้าแง่แสนงอนเสียจริงๆ
ต้วนเจียสวี่หัวเราะออกมาเล็กน้อยแล้วก็เดินตามเธอไปอย่างไม่ใส่ใจ
ร้านสะดวกซื้อแห่งนี้ถือว่าไม่เล็กเลยทีเดียว นอกจากจะมีสินค้ามากมายวางขายแล้ว ข้างๆเคาน์เตอร์แคชเชียร์ยังมีเครื่องจำหน่าย
อาหารพร้อมรับประทานอย่างไส้กรอก บะหมี่ฮ่องกงและอาหารสำเร็จรูปอื่นๆและที่ด้านหน้าตู้แช่ก็ยังมีโต๊ะว่างอยู่สองตัว
ซังจื้อเลือกที่จะนั่งโต๊ะตัวในสุด
ต้วนเจียสวี่นั่งลงที่ตรงข้ามกับเธอแล้วจึงหยิบการบ้านของเธอออกมาจากกระเป๋าเป้: “เอาไปทำสิ”
ซังจื้อรับมาแล้วเปิดมันออก
ภายในร้านสะดวกซื้อนั้นเงียบสงบไร้เสียงรบกวน
พนักงานร้านที่อยู่ที่เคาน์เตอร์เก็บเงินก็ทำเพียงแค่เล่นโทรศัพท์เท่านั้น ไม่ได้ทำอะไรมากมายนัก กลิ่นหอมของบะหมี่ฮ่องกงและลูกชิ้นปลาที่ลอยฟุ้งอบอวลไปทั่วทั้งร้าน
ต้วนเจียสวี่เอามือเท้าคางแล้วมองเธอ: “ตัวเล็ก กินข้าวเช้ามาหรือยัง?”
ซังจื้อหยิบปากกาออกมาแล้วทำเป็นไม่สนใจในสิ่งที่เขาพูดเพียงแต่พยักตอบแบบเงียบๆ
ต้วนเจียสวี่: “แล้วอยากกินอะไรอีกไหม?”
เธอส่ายหน้า
“ถ้าอย่างนั้นพี่ไปซื้อข้าวเช้าแล้วนะ?”
ซังจื้อพยักหน้า
ต้วนเจียสวี่ลุกขึ้นแล้วจึงเดินไปทางเคาน์เตอร์แคชเชียร์
ซังจื้อเขียนวันที่ในไดอารี่แล้วแอบมองต้วนเจียสวี่
เวลานี้เขายืนอยู่หน้าชั้นวางของ แสงไฟในร้านเผยให้เห็นผิวที่ขาวของเขา ใต้ตาที่หมองคล้ำ ดูๆไปแล้วเจ้าตัวคงจะนอนดึกมาเป็นเวลานานหากแต่ยังดูสดชื่นมีชีวิตชีวา ดวงตาคู่นั้นที่หรี่ลงอย่างเป็นธรรมชาติยามที่เลือกซื้อของ ทั้งมุ่งมั่นและอ่อนโยน
แต่ร้อยยิ้มกลับยียวนกวนประสาท
เป็นคนหน้าเนื้อใจเสือคนหนึ่งก็ว่าได้
ไม่นานนัก ต้วนเจียสวี่ก็ถือแซนด์วิชเดินกลับมา
ซังจื้อรีบก้มหน้าลง ทำราวกับว่าเธอไม่ได้เงยหน้ามองเขา
ต้วนเจียสวี่หยิบขวดน้ำและสมุดออกมาจากกระเป๋าเป้ จากนั้นเขาก็ฉีกออก แล้วกัดแซนด์วิชด้วยท่าทางดูอ้อยอิ่ง การกินของเขานั้นช่างสุภาพเสียจริงๆ ไม่มีเสียงระหว่างที่กำลังกินเลยถึงกระนั้นสปีดการกินก็ไม่ได้กินช้าแต่อย่างใด
ไม่นานเขาก็จัดการแซนด์วิชนั่นจนหมด
ซังจื้อขยับปากกาอย่างอ้อยอิ่ง กระจิตกระใจของเธอตอนนี้นั้นไม่ได้อยู่ที่การบ้านเลยแม้แต่น้อย แต่กลับลอยไปอยู่ที่เขา
คิดถึงคำพูดของซังเหยียนก่อนหน้านี้ที่บอกว่าพวกเขาจะย้ายวิทยาเขตหลังจากสอบเสร็จ
แสดงว่านี่ก็ปิดเทอมแล้วน่ะสิ
ได้ยินพ่อกับแม่บอกว่า เพราะซังเหยียนมีเรียนคอร์สระยะสั้นอีกเลยยังไม่ได้กลับบ้าน
งั้นนี่ก็คงเป็นคอร์สเดียวกันใช่ไหมนะ?
เมื่อเห็นซังจื้อที่ดูท่าจะนั่งใจลอย ต้วนเจียสวี่จึงเคาะโต๊ะเบาๆ: “ทำการบ้าน”
ซังจื้อดึงสติกลับมาแล้วพยักหน้าหงึกๆ
ด้วยความที่โต๊ะนั้นเป็นวงกลมและไม่ได้มีพื้นที่มากมายนักทำให้สมุดของทั้งสองต้องวางซ้อนทับกัน ต้วนเจียสวี่เห็นดังนั้นจึงพบเก็บสมุดของตนลงพลางนั่งพิงไปด้สนหลังและมอบพื้นที่โต๊ะทั้งหมดให้กับเธอ
พักหนึ่งผ่านไป
ต้วนเจียสวี่สังเกตเห็นขวดนมที่ยังไม่ได้เปิดออก จึงถามขึ้นว่า: “ไม่กินนมหรอ?”
ได้ยินดังนั้นเธอจึงผละสายตาขึ้นมองนมขวดนั้นแล้วมองไปที่ต้วนเจียสวี่ครู่หนึ่งก่อนจะจับขวดนมใส่เข้าไปในกระเป๋าหนังสือของตนเอง
เมื่อเห็นการกระทำของเธอแล้ว ต้วนเจียสวี่ก็ยิ้มออกมา: “ทำไมต้องให้พี่ทำเหมือนจะแย่งเธอด้วย”
ซังจื้อเงียบ
ต้วนเจียสวี่แหย่: “ไม่กินก็มาให้พี่กินนี่มา”
ซังจื้อหันหน้าไปทางอื่นก่อนจะปิดซิปกระเป๋าอย่างรวดเร็ว
“เด็กคนนี่ทำไมขี้โมโหจังเลยน้า” ต้วนเจียสวี่นั่งลงอย่างเอื่อยเฉื่อยพร้อมทำหน้าเหลาะแหละ “พี่ก็แค่ล้อเล่นเอง ไหงเธอถึงไม่พูดด้วยอีกแล้วล่ะ”
ซังจื้อเงียบ
ต้วนเจียสวี่ไม่ได้ถือโทษโกรธเธอ เพียงแต่พูดขึ้นมาเบาๆว่า: “ใจร้าย”
ซังจื้อที่ทนไม่ไหวจึงตอบเขาเสียงแข็ง: “ก็ต้องทำการบ้านนี่”
ต้วนเจียสวี่กวาดตามองไดอารี่ของเธอที่เขียนไปได้ครึ่งหนึ่งแล้ว : “โอเค เธอขียนไปเถอะ”เขาพูด
ดูเหมือนว่าเมื่อพูดประโยคแรกออกไปแล้ว ปรธโยคสนทนาต่อๆมาก็ดูเหมือนจะออกมาง่ายขึ้น ซังจื้อไม้อยากจะทำสงครามเย็นอยู่ฝ่ายเดียวเหมือนเมื่อครู่ เธอเห็นการบ้านนั้นใกล้จะเขียนเสร็จแล้ว เธอจึงพยายามจะทำตัวสบายๆแล้วถามขึ้น: “พี่ยังไม่ปิดทอมใช่ไหม?”
“ยัง”
“โอ้ งั้นบ้านพี่ก็อยู่แถวนี้น่ะสิ”
“ไม่ใช่”
ซังจื้ครุ่นคิด ก่อนจะพูดอย่างเดาๆ: “ถ้าอย่างงั้นปิดเทอมแล้วพี่ถึงจะกลับบ้านหรอ?”
“ไม่ใช่ ทำไมเธอถึงสงสัยเรื่องของพี่จังล่ะ?” ต้วนเจียสวี่ใช้นิ้วชี้ๆที่การบ้านของเธอและพูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “เขียนให้เสร็จเร็วๆ เขียนเสร็จแล้วก็ไปเข้าเรียน”
“…….อ้อ”
เจ็ดโมงสิบห้านาที ซังจื้อได้เขียนไดอารี่ของเธอเสร็จเรียบร้อย
เธอเก็บของสะพายกระเป๋าเดินตามต้วนเจียสวี่ออกจากร้านสะดวกซื้อไป
เมื่อเห็นว่าเวลายังเช้าอยู่ ต้วนเจียสวี่จึงไปส่งเธอที่ประตูโรงเรียน
ซังจื้อที่ยังไม่อยากจะไป จึงทำทุกอย่างอย่างให้ช้าๆ เธอกล่าวลาเขาก่อนจะหันหลังกลับแล้วเดินเข้าโรงเรียนไป
ครู่หนึ่ง ต้วนเจียสวี่เหมือนจะนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้เขาจึงเรียกเธอ ก่อนจะหยิบกระดาษที่พับไว้แผ่นหนึ่งออกจากกระเป๋ากางเกงแล้วส่งให้เธอ “อ้อ ตัวเล็ก พี่ลืมบอกเธอไปเลย”
ซังจื้อรับมาอย่างช้าๆ: “ฮะ?”
“พี่แอบอ่านไดอารี่เธอ” น้ำเสียงของเขาดูเหมือนจะแฝงไปด้วยความรู้สึกขอโทษแต่ซังจื้อกลับสัมผัสไม่ได้เลยสักนิด
แล้วต้วนเจียสวี่ก็ชี้ไปที่ก้อนกระดาษในมือของเธอและพูดต่อว่า: “พี่ก็เลยเขียนอันใหม่มาใช้ให้เธอ”
-
เพราะยังเป็นเวลาเช้า ห้องเรียนจึงยังว่างโล่งอยู่
และยังมีเวลาอีกยี่สิบนาทีก่อนที่คาบเรียนจะเริ่ม เพื่อนๆร่วมชั้นของเธอนั้นมักจะมาตอนเวลาเข้าเรียนพอดี
ซังจื้อเดินมาถึงที่ของตัวเอง แล้วเอาของในกระเป๋าทั้งหมดออกมากาง
เมื่อนำของออกมาจนหมด เธอหยุดมือครู่หนึ่งก่อนจะจับไปที่กระเป๋ากระโปรงของเธอ
หยิบก้อนกระดาษนั้นออกมา
แล้วคลี่มันออก
สิ่งที่เขียนข้างในก็เป็นไดอารี่บทหนึ่ง ดูเหมือนว่าเขาจะลอกเลียนแบบลายมือของเธอ
ลายมือเขียนตัวเล็กๆ สวยงามและคมชัด
ชื่อเรื่อง “ช่วยพี่ชายย้ายหอ” เนื้อหาข้างในที่เขียนอย่างจริงจัง เขาเขียนมันออกมาอย่างลื่นไหล เธอพลิกกระดาษมาอีกด้านหนึ่ง
เขาใช้พื้นที่ด้านหลังกระดาษเขียนไว้ตัวโตว่า: “หมดแล้วจ้า”
ซังจื้อนั่งจินตนาการภาพตอนเขาเขียนไดอารี่เรื่องนี้แทบไม่ออก
เธอนึกถึงตอนนั้นตอนที่ท้องฟ้าเย็นย่ำ แสงจากโคมไฟที่หรี่มืดลง เขานั่งอยู่ที่โต๊ะหนังสือดูท่าทางปวดหัวกว่าจะเขียนไดอารี่บทนี้ออกมาได้
มันอาจเป็นแบบนั้น
นั่นทำให้เธอรู้สึกว่าหัวใจของเธอเต้นเร็วและลมหายใจรัวถี่
จากนั้น บรรยากาศก็ราวกับว่าจะอบอวลไปด้วยความหวานแหวว
ในหัวของซังจื้อตอนนี้ขาวโพลนไปหมด เธออ่านไดอารี่นั้นอย่างละเอียดอีกครั้งและนั่งยิ้มไม่หุบ จากนั้นเธอจึงพับเก็บแนบกระดาษนั่นกับสมุดวาดภาพของตนอย่างระมัดระวัง
พอดีกับที่ยินเจินหรูมาถึงห้องเรียน เธอเข้ามาจากประตูหลังห้องและกล่าวทักทายซังจื้อ
เดินไปได้ไม่กี่ก้าว เธอก็หันหลับมาถาม: “นี่ ทำไมวันนี้ดูมีความสุขจังเลยล่ะ?”
เมื่อได้ยินดังนั้นซังจื้อถึงกับชาวาบ เธอพยามจะทำหน้านิ่งกลั้นยิ้มเอาไว้
“ก็ไม่มีอะไรสักหน่อย แค่คิดถึงเรื่องตลกน่ะ”
ยินเจินหรูไม่ได้ซักไซ้อะไร จากนั้นเธอก็มองเห็นขวดนมที่ตั้งอยู่บนโต๊ะจึงเอ่ยถามด้วยความสงสัย: “เธอไม่ได้แพ้นมวัวหรอกหรอ? ทำไมถึงซื้อมาล่ะ?”
ซังจื้อเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะเก็บนมใส่ลิ้นชัก: “ไม่ทันระวังเลยหยิบผิดมา”
-
หลังจากที่กลับถึงบ้าน ซังจื้อรีบเอานมขวดนั้นแช่ตู้เย็นอย่างรวดเร็ว
เธอเกรงว่าหลีผิงจะมาเห็นเข้า
เธอลังเล สุดท้ายก็เก็บมันไว้ในกล่องสมบัติของเธอ เมื่อเธอนึกถึงเขาเธอจะได้เอามันออกมาดู
หลายวันผ่านไป
ถึงแม้ว่าโรงเรียนของเธอและมหาวิทยาลัยจะอยู่ใกล้กัน แค่เพียงห้านาทีก็สามารถเดินไปถึงที่ที่คนคนนั้นอยู่แล้วแท้ๆ เธอทำได้แม้กระทั่งแสร้งทำเป็นว่าไปเจอซังเหยียนเพื่อเจอเขาคนนั้นที่เธอเฝ้าคิดถึง
แต่เธอกลับไม่กล้า
เธอรู้สึกไม่ปกติ
เธอกลัว กลัวว่าความรู้สึกของเธอมันจะเก็บไว้ไม่อยู่
มีเพียงตัวเธอที่ต้องดูแลความรู้สึกของตนเองให้ดี
ครึ่งเดือนผ่านไป
ปิดเทอมวันแรก ขณะที่ซังจื้อหยิบขวดนมออกมาดู เป็นจังหวะเดียวกันกับที่หลีผิงมาเห็นเข้า เธอจึงนึกว่าซังจื้ออยากจะดื่มนม หลีผิงจึงเข้าไปพูดเตือนเธออย่างนุ่มนวล
แม้จะพูดจบแต่เธอก็ยังคงกลัวว่าซังจื้อจะเผลอดื่มมันเข้าไป เธอจึงอยากจะเก็บมา
ซังจื้อจึงได้แต่เทนมในขวดออก ล้างทำความสะอาดขวดแล้วเอาไปตากแห้งให้แห้ง บางครั้งเธอก็จะพับดาวใส่ลงไปในขวด ดวงแล้วดวงเล่า วันแล้ววันเล่า
หลังจากนั้นเธอก็ได้เอากระดาษไดอารี่ที่ต้วนเจียสวี่เขียนเอาไว้ใส่ลงไปด้วย
ต้นกล้าอ่อนที่ค่อยๆเติบใหญ่ไปเป็นต้นไม้
เธอเริ่มหวังขึ้นมาเล็กๆ
หวังในทุกวัน
หวังว่าวันเวลาจะผ่านไปให้เร็วๆ
หวังว่าเธอจะโตขึ้นเร็วๆ
-
ต้นเดือนสิงหาคม เนื่องจากซังหรงและหลีผิงจะต้องไปร่วมงานแต่งงานของเพื่อนของเขาที่ต่างเมือง ที่บ้านจึงมีแค่ซังเหยียนและซังจื้ออยู่สองคนเท่านั้น ก่อนจะออกเดินทาง หลีผิงได้กำชับกับซังเหยียนไว้หนักหนาว่าให้เขานั้นดูแลน้องสาวให้ดี
ซังหรงที่พูดด้วยน้ำเสียงข่มขู่นั่น ทำให้ซังเหยียนได้แต่ตบปากรับคำ
วันแรกของสองพี่น้องที่ต้องอยู่ด้วยกันสองคน ก็นับว่ายังกลมเกลียวกันดีอยู่
นอกจากเวลากินข้าวแล้ว ซังเหยียนมักจะทำหน้าเหม็นใส่เธอเวลาซังจื้อเรื่องมาก แต่เขาก็ยังคงทำอาหารให้เธอ ส่วนในเวาลาอื่นๆก็เอาแต่ขลุกตัวอยู่ในที่นอนเล่นโทรศัพท์ มีบ้างบางครั้งที่ซังจื้อเข้ามาก่อกวนแต่เขาก็จัดการกับเธอได้อยู่หมัด
วันวันหนึ่งก็ผ่านไปเช่นนี้
แต่วันที่สอง เขามีนัดกับเพื่อนออกไปเล่นเกม
ซังเหยียนไม่อยากจะปฏิเสธ จึงรีบเปลี่ยนเสื้อผ้าออกจากบ้าน
เวลานี้ซังจื้อนั่งดูการ์ตูนอยู่บนโซฟาห้องรับแขก เมื่อได้ยินเสียงบางอย่าง เธอจึงหันมองเขาด้วยใบหน้าที่เรียบเฉยและนิ่งเงียบ
ซังเหยยียนเดินไปที่ประตูเพื่อใส่รองเท้า: “เดี๋ยวออกไปแปปนึง เธออยู่บ้านทำการบ้านไปนะ”
ซังจื้อ: “ออกไปเที่ยวหรอ?”
ซังเหยียนเมินคำถามของเธอ: “ถ้ามีเรื่องอไรก็โทรมาแล้วกัน”
ซังจื้อ: “ไม่อะ”
ซังเหยียนหยุดการกระทำที่ทำอยู่แล้วส่งยิ้มเหมือนไม่ยิ้ม: “จะมาควบคุมกันหรือไง?”
ซังจื้อหันหลับไปดูการ์ตูนแล้วฉีกซองมันฝรั่งทอดออก: “ถ้ามีโจรเข้ามาแล้วจะทำยังไง หนูสู้ไม่ไหวหรอกนะ”
“ก็ปิดประตูให้มันดีๆ ไม่มีใครเข้ามาหรอก”
“แล้วถ้าหนูหิวล่ะ ไม่มีอะไรกินเลยนะ”
ซังเหยียนพยามอดทน มองมันฝรั่งทอดในมือของเธอ: “มีขนมอยูในตู้ พอไม่พอ?”
ซังจื้อกัดมันฝรั่ง: “แต่หนูไม่อยากกินมันฝรั่งทอดนี่”
ซังเหยียนมองมาที่ถุงมันฝรั่งในมือเธอ เขาเงียบครู่หนึ่ง ซังเหยียนที่ไม่อยากจะต่อล้อต่อเถียงกับเธออีกจึงยอมที่จะถอยให้ “งั้นเธออยากกินอะไร” เขาเอ่ย
ซังจื้อ: “ยังไงก็เอาเหอะแต่ไม่อยากกินขนม”
ซังเหยียนที่กำลังอดกลั้นอยู่นั้นก็ได้ถอดรองเท้าออก: “จะกินอะไร จะได้ออกไปซื้อให้”
ซังจื้อที่สบตาเข้าแล้วพูดขึ้น : “ยังไม่รู้”
“…….”
“นี่ยัยดื้อ” ซังเหยียนย่อตัวลงแล้วหยิกแก้มเธอ “ตอนฉันอายุเท่าเธอ ตอนพ่อแม่ไม่อยู่บ้านฉันทำกับข้าวกินเองได้แล้วก็ยังทำให้เธอกินด้วย”
แก้มของเธอโดนดึงอยู่ทำให้พูดออกมาไม่ชัดเจนนัก “มันไม่เหมือนกันนี่”
“ไม่เหมือนกันตรงไหน”
“ก็ตอนที่นายอายุเท่าฉันนายไม่มีพี่ชายนี่” ซังจื้อยิ้มเจ้าเล่ห์ แล้วพูดขึ้นอย่างช้าๆ “----แต่ฉันมี”
“…….”
เพื่อนของเขาโทรตามอีกครั้ง ซังเหยียนไม่สนจะต่อล้อต่อเถียงกับเธอ: “ตอนนี้เธอมีสองทางเลือก ไม่บอกฉันมาตอนนี้ว่าอยากกินอะไรแล้วฉันออกไปซื้อมาให้ กับอีกอย่างคืออยู่บ้านเฉยๆรอความตาย”
ซังจื้อกัดแผ่นมันฝรั่ง: “ฉันเลือกอย่างหลัง”
“……”
พูดจบซังจื้อก็หยิบโทรศัพท์ออกมา แล้วเปิดเบอร์ของซังหรง เธอจับจ้องไปที่หน้าจอแล้วพึมพำ: “ได้ หนูจะบอกพ่อ——”
ซังเหยียนพ่นลมออกจมูก: “ก็ได้ เชิญฟ้องตามสบาย”
เขาเบื่อจะสนใจแล้วหันกลับไปเปลี่ยนรองเท้า
ครู่หนึ่ง เสียงซังจื้อคุยโทรศัพท์ก็ดังขึ้น: “พ่อ”
ซังเหยียนใส่รองเท้าข้างหนึ่ง
ยังไม่ทันที่จะได้ใส่อีกข้าง ก็ตามมาด้วยเสียงของซังจื้อที่พูดกับพ่อด้วยน้ำเสียงจริงจัง: “พี่เขาบอกให้หนูไปตาย”
“…….”