ตอนที่แล้วบทที่ 9 ย้ายหอ (3)
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 11 เรื่องน่าอาย (1)

บทที่ 10 หรูฮวา


น้ำเสียงของเขาแม้จะดูเย็นชาหากแต่สัมผัสได้ว่าเขาเพียงต้องการจะแหย่เธอ

ซางจื้อไม่รู้ว่าเขานั้นล้อเธอเล่นพูดจริงกันแน่ เธอใช้ปลายนิ้วลูบไล้ที่ขวดนมไปมาและดูเหมือนจะนึกอะไรขึ้นมาได้ จึงเอ่ยถามขึ้น “นี่พี่ไม่เคยดูหนังสองเรื่องนี้ใช่ไหม?”

ต้วนเจียสวี่ยิ้ม “เคยดูแต่ทรานส์ฟอร์มเมอร์”

ถึงว่า

ที่แท้ก็เพราะว่าไม่รู้จักนี่เอง เขาเลยพูดแบบนั้นออกมา

รู้อย่างนั้นแล้ว ซางจื้อรู้สึกว่าตัวเองเหนือกว่าเขาขึ้นมานิดหน่อย เธอลุกขึ้นยืนแล้วอธิบายให้ฟังอย่างช้า ๆ “หรูฮวาน่ะ จริง ๆ แล้วไม่ใช่ชื่อหนังหรอกแต่เป็นบทตัวประกอบในหนังของฮ่องกงที่ชื่อว่า……..”

เธอหยุดครู่หนึ่งเพราะเธอนั้นนึกชื่อหนังเรื่องนั้นไม่ออก “ชะ ชื่อว่า......”

ต้วนเจียสวี่อดรอคำตอบของเธอไม่ไหว เขามองดูท่าทางที่ดูเหมือนจะคิดไม่ออกของเธอแล้วก็อดยิ้มไม่ได้ “หรูฮวา ชื่อก็เพราะดีนี่”

ซางจื้อที่กำลังนึกถึงชื่อหนังเรื่องนั้นอยู่จึงไม่ได้สนใจคำพูดของเขา

แต่เขาไม่ได้ถือสาท่าทางหมางเมินของเธอ ต้วนเจียสวี่จึงพูดต่อ “เธอคงเป็นผู้หญิงที่สวยมากแน่ ๆ เลย”

แต่ครั้งนี้ซางจื้อไม่สามารถจะทำเป็นหูทวนลมได้อีก เธอเงยหน้าขึ้นและทำท่าจะแย้งในสิ่งที่เขาพูด ครู่หนึ่งเขากลับบีบแก้มของเธอเล่นแล้วพูดต่ออีกว่า “ก็เหมือนซางจื้อน้อยนี่ว่าไหม?”

ซางจื้อ “......”

ซางจื้อไม่อยากจะเชื่อหูตัวเอง

เขายังพูดอีกว่าเธอดูเหมือนกับหรูฮวาเลย

เธอรู้สึกเหมือนกับโดนฟ้าผ่ากลางวันแสก ๆ !

ไม่นานนักต้วนเจียสวี่จึงล้วงกระเป๋าหยิบโทรศัพท์ออกมาดูเวลาก่อนจะกวาดสายตามองไปรอบ ๆ แล้วชี้ไปที่ร้านสะดวกซื้อที่อยู่ไม่ไกลนัก “ไปนั่งเขียนที่นั่นกันไหม?”

เธอเงียบ

ต้วนเจียสวี่หันหลังกลับมามอง “หืม? เสี่ยวหรูฮวาทำไมเงียบล่ะ” ต้วนเจียสวี่พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ลากยาวเล็กน้อย

“......”

ยัง ยังจะเป็นเสี่ยวหรูฮวา!

ฟ้าผ่าซ้ำสองไปอีก!

ซางจื้อไม่เข้าใจว่าเขากำลังชมเธอหรือจะเหน็บแนมเธออยู่กันแน่ “อย่าเรียกฉันแบบนั้นอีก หรูฮวาน่ะไม่สวยเลยสักนิด” ซางจื้อเอ่ยด้วยความหงุดหงิด

“เหรอ” ต้วนเจียสวี่เลิกคิ้ว “ฟังแล้วก็เพราะดีนี่นา”

ได้ยินดังนั้นซางจื้อก็ถึงกับเงยหน้าขึ้นมอง เห็นท่าทางของเขาแล้ว เธอก็รู้สึกได้ว่ามีบางอย่างแปลก ๆ นึกย้อนไปถึงท่าทีของเขาในตอนแรกที่ได้ยินคำว่า หรูฮวา กับเขาในตอนนี้ที่แกล้งทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ ดู ๆ แล้วมันต่างกันชัด ๆ

ไม่นานซางจื้อก็เข้าใจ ที่แท้เขาล้อเธอเล่นนี่เอง

ซางจื้อมองเขาด้วยสีหน้าที่นิ่งเฉยแล้วก็ทำหน้าบึ้ง เดินไปที่ร้านสะดวกซื้อไม่พูดไม่จา

เด็กคนนี้นี่ช่างเจ้าแง่แสนงอนเสียจริง ๆ

ต้วนเจียสวี่หัวเราะออกมาเล็กน้อยแล้วก็เดินตามเธอไปอย่างไม่ใส่ใจ

ร้านสะดวกซื้อแห่งนี้ถือว่าไม่เล็กเลยทีเดียว นอกจากจะมีสินค้ามากมายวางขายแล้ว ข้าง ๆ เคาน์เตอร์แคชเชียร์ยังมีเครื่องจำหน่ายอาหารพร้อมรับประทานอย่างไส้กรอก บะหมี่ฮ่องกงและอาหารสำเร็จรูปอื่น ๆ และที่ด้านหน้าตู้แช่ก็ยังมีโต๊ะว่างอยู่สองตัว ซางจื้อเลือกที่จะนั่งโต๊ะตัวในสุด

ต้วนเจียสวี่นั่งลงที่ตรงข้ามกับเธอแล้วจึงหยิบการบ้านของเธอออกมาจากกระเป๋าเป้ “เอาไปทำสิ”

ซางจื้อรับมาแล้วเปิดมันออก

ภายในร้านสะดวกซื้อนั้นเงียบสงบไร้เสียงรบกวน

พนักงานร้านที่อยู่ที่เคาน์เตอร์เก็บเงินก็ทำเพียงแค่เล่นโทรศัพท์เท่านั้น ไม่ได้ทำอะไรมากมายนัก กลิ่นหอมของบะหมี่ฮ่องกงและลูกชิ้นปลาที่ลอยฟุ้งอบอวลไปทั่วทั้งร้าน

ต้วนเจียสวี่เอามือเท้าคางแล้วมองเธอ “ตัวเล็ก กินข้าวเช้ามาหรือยัง?”

ซางจื้อหยิบปากกาออกมาแล้วทำเป็นไม่สนใจในสิ่งที่เขาพูดเพียงแต่พยักตอบแบบเงียบ ๆ

ต้วนเจียสวี่ “แล้วอยากกินอะไรอีกไหม?”

เธอส่ายหน้า

“ถ้าอย่างนั้นพี่ไปซื้อข้าวเช้าแล้วนะ”

ซางจื้อพยักหน้า

ต้วนเจียสวี่ลุกขึ้นแล้วจึงเดินไปทางเคาน์เตอร์แคชเชียร์

ซางจื้อเขียนวันที่ในไดอารี่แล้วแอบมองต้วนเจียสวี่

เวลานี้เขายืนอยู่หน้าชั้นวางของ แสงไฟในร้านเผยให้เห็นผิวที่ขาวของเขา ใต้ตาที่หมองคล้ำ ดู ๆ ไปแล้วเจ้าตัวคงจะนอนดึกมาเป็นเวลานานหากแต่ยังดูสดชื่นมีชีวิตชีวา ดวงตาคู่นั้นที่หรี่ลงอย่างเป็นธรรมชาติยามที่เลือกซื้อของ ทั้งมุ่งมั่นและอ่อนโยน

แต่รอยยิ้มกลับยียวนกวนประสาท

เป็นคนหน้าเนื้อใจเสือคนหนึ่งก็ว่าได้

ไม่นานนัก ต้วนเจียสวี่ก็ถือแซนด์วิชเดินกลับมา

ซางจื้อรีบก้มหน้าลง ทำราวกับว่าเธอไม่ได้เงยหน้ามองเขา

ต้วนเจียสวี่หยิบขวดน้ำและสมุดออกมาจากกระเป๋าเป้ จากนั้นเขาก็ฉีกออก แล้วกัดแซนด์วิชด้วยท่าทางดูอ้อยอิ่ง การกินของเขานั้นช่างสุภาพเสียจริง ๆ ไม่มีเสียงระหว่างที่กำลังกินเลย ถึงกระนั้นสปีดการกินก็ไม่ได้กินช้าแต่อย่างใด

ไม่นานเขาก็จัดการแซนด์วิชนั่นจนหมด

ซางจื้อขยับปากกาอย่างอ้อยอิ่ง กะจิตกะใจของเธอตอนนี้นั้นไม่ได้อยู่ที่การบ้านเลยแม้แต่น้อย แต่กลับลอยไปอยู่ที่เขา

คิดถึงคำพูดของซางเหยียนก่อนหน้านี้ที่บอกว่าพวกเขาจะย้ายวิทยาเขตหลังจากสอบเสร็จ

แสดงว่านี่ก็ปิดเทอมแล้วน่ะสิ

ได้ยินพ่อกับแม่บอกว่า เพราะซางเหยียนมีเรียนคอร์สระยะสั้นอีกเลยยังไม่ได้กลับบ้าน

งั้นนี่ก็คงเป็นคอร์สเดียวกันใช่ไหมนะ?

เมื่อเห็นซางจื้อที่ดูท่าจะนั่งใจลอย ต้วนเจียสวี่จึงเคาะโต๊ะเบา ๆ “ทำการบ้าน”

ซางจื้อดึงสติกลับมาแล้วพยักหน้าหงึก ๆ

ด้วยความที่โต๊ะนั้นเป็นวงกลมและไม่ได้มีพื้นที่มากมายนักทำให้สมุดของทั้งสองต้องวางซ้อนทับกัน ต้วนเจียสวี่เห็นดังนั้นจึงพบเก็บสมุดของตนลงพลางนั่งพิงไปด้านหลังและมอบพื้นที่โต๊ะทั้งหมดให้กับเธอ

พักหนึ่งผ่านไป

ต้วนเจียสวี่สังเกตเห็นขวดนมที่ยังไม่ได้เปิดออก จึงถามขึ้นว่า “ไม่กินนมเหรอ”

ได้ยินดังนั้นเธอจึงผละสายตาขึ้นมองนมขวดนั้นแล้วมองไปที่ต้วนเจียสวี่ครู่หนึ่งก่อนจะจับขวดนมใส่เข้าไปในกระเป๋าหนังสือของตนเอง

เมื่อเห็นการกระทำของเธอแล้ว ต้วนเจียสวี่ก็ยิ้มออกมา “ทำไมต้องทำเหมือนพี่จะแย่งเธอด้วย”

ซางจื้อเงียบ

ต้วนเจียสวี่แหย่ “ไม่กินก็มาให้พี่กินนี่มา”

ซางจื้อหันหน้าไปทางอื่นก่อนจะปิดซิปกระเป๋าอย่างรวดเร็ว

“เด็กคนนี่ทำไมขี้โมโหจังเลยน้า” ต้วนเจียสวี่นั่งลงอย่างเอื่อยเฉื่อยพร้อมทำหน้าเหลาะแหละ “พี่ก็แค่ล้อเล่นเอง ไหงเธอถึงไม่พูดด้วยอีกแล้วล่ะ”

ซางจื้อเงียบ

ต้วนเจียสวี่ไม่ได้ถือโทษโกรธเธอ เพียงแต่พูดขึ้นมาเบา ๆ ว่า “ใจร้าย”

ซางจื้อที่ทนไม่ไหวจึงตอบเขาเสียงแข็ง “ก็ต้องทำการบ้านนี่”

ต้วนเจียสวี่กวาดตามองไดอารี่ของเธอที่เขียนไปได้ครึ่งหนึ่งแล้ว “โอเค เธอเขียนไปเถอะ” เขาพูด

ดูเหมือนว่าเมื่อพูดประโยคแรกออกไปแล้ว ประโยคสนทนาต่อ ๆ มาก็ดูเหมือนจะออกมาง่ายขึ้น ซางจื้อไม่อยากจะทำสงครามเย็นอยู่ฝ่ายเดียวเหมือนเมื่อครู่ เธอเห็นการบ้านนั้นใกล้จะเขียนเสร็จแล้ว เธอจึงพยายามจะทำตัวสบาย ๆ แล้วถามขึ้น “พี่ยังไม่ปิดทอมใช่ไหม?”

“ยัง”

“อ้อ งั้นบ้านพี่ก็อยู่แถวนี้น่ะสิ”

“ไม่ใช่”

ซางจื้อครุ่นคิด ก่อนจะพูดอย่างเดา ๆ “ถ้าอย่างงั้นปิดเทอมแล้วพี่ถึงจะกลับบ้านเหรอ”

“ไม่ใช่ ทำไมเธอถึงสงสัยเรื่องของพี่จังล่ะ” ต้วนเจียสวี่ใช้นิ้วชี้ ๆ ที่การบ้านของเธอและพูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “เขียนให้เสร็จเร็ว ๆ เขียนเสร็จแล้วก็ไปเข้าเรียน”

“…….อ้อ”

เจ็ดโมงสิบห้านาที ซางจื้อได้เขียนไดอารี่ของเธอเสร็จเรียบร้อย

เธอเก็บของแล้วสะพายกระเป๋าเดินตามต้วนเจียสวี่ออกจากร้านสะดวกซื้อไป

เมื่อเห็นว่าเวลายังเช้าอยู่ ต้วนเจียสวี่จึงไปส่งเธอที่ประตูโรงเรียน

ซางจื้อที่ยังไม่อยากจะไป จึงทำทุกอย่างอย่างให้ช้า ๆ เธอกล่าวลาเขา ก่อนจะหันหลังกลับแล้วเดินเข้าโรงเรียนไป

ครู่หนึ่ง ต้วนเจียสวี่เหมือนจะนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้เขาจึงเรียกเธอ ก่อนจะหยิบกระดาษที่พับไว้แผ่นหนึ่งออกจากกระเป๋ากางเกงแล้วส่งให้เธอ “อ้อ ตัวเล็ก พี่ลืมบอกเธอไปเลย”

ซางจื้อรับมาอย่างช้า ๆ “ฮะ?”

“พี่แอบอ่านไดอารี่เธอ” น้ำเสียงของเขาดูเหมือนจะแฝงไปด้วยความรู้สึกขอโทษแต่ซางจื้อกลับสัมผัสไม่ได้เลยสักนิด

แล้วต้วนเจียสวี่ก็ชี้ไปที่ก้อนกระดาษในมือของเธอและพูดต่อว่า “พี่ก็เลยเขียนอันใหม่มาใช้ให้เธอ”

-

เพราะยังเป็นเวลาเช้า ห้องเรียนจึงยังว่างโล่งอยู่

และยังมีเวลาอีกยี่สิบนาทีก่อนที่คาบเรียนจะเริ่ม เพื่อน ๆ ร่วมชั้นของเธอนั้นมักจะมาตอนเวลาเข้าเรียนพอดี

ซางจื้อเดินมาถึงที่ของตัวเอง แล้วเอาของในกระเป๋าทั้งหมดออกมากาง

เมื่อนำของออกมาจนหมด เธอหยุดมือครู่หนึ่งก่อนจะจับไปที่กระเป๋ากระโปรงของเธอ

หยิบก้อนกระดาษนั้นออกมา

แล้วคลี่มันออก

สิ่งที่เขียนข้างในก็เป็นไดอารี่บทหนึ่ง ดูเหมือนว่าเขาจะลอกเลียนแบบลายมือของเธอ

ลายมือเขียนตัวเล็ก ๆ สวยงามและคมชัด

ชื่อเรื่อง “ช่วยพี่ชายย้ายหอ” เนื้อหาข้างในที่เขียนอย่างจริงจัง เขาเขียนมันออกมาอย่างลื่นไหล เธอพลิกกระดาษมาอีกด้านหนึ่ง

เขาใช้พื้นที่ด้านหลังกระดาษเขียนไว้ตัวโตว่า “หมดแล้วจ้า”

ซางจื้อนั่งจินตนาการภาพตอนเขาเขียนไดอารี่เรื่องนี้แทบไม่ออก

เธอนึกถึงตอนนั้นตอนที่ท้องฟ้าเย็นย่ำ แสงจากโคมไฟที่หรี่มืดลง เขานั่งอยู่ที่โต๊ะหนังสือดูท่าทางปวดหัวกว่าจะเขียนไดอารี่บทนี้ออกมาได้

มันอาจเป็นแบบนั้น

นั่นทำให้เธอรู้สึกว่าหัวใจของเธอเต้นเร็วและลมหายใจถี่รัว

จากนั้น บรรยากาศก็ราวกับว่าจะอบอวลไปด้วยความหวานแหวว

ในหัวของซางจื้อตอนนี้ขาวโพลนไปหมด เธออ่านไดอารี่นั้นอย่างละเอียดอีกครั้งและนั่งยิ้มไม่หุบ จากนั้นเธอจึงพับเก็บแนบกระดาษนั่นกับสมุดวาดภาพของตนอย่างระมัดระวัง

พอดีกับที่อินเจินหรูมาถึงห้องเรียน เธอเข้ามาจากประตูหลังห้องและกล่าวทักทายซางจื้อ

เดินไปได้ไม่กี่ก้าว เธอก็หันหลับมาถาม “นี่ ทำไมวันนี้ดูมีความสุขจังเลยล่ะ”

เมื่อได้ยินดังนั้นซางจื้อถึงกับชาวาบ เธอพยามจะทำหน้านิ่งกลั้นยิ้มเอาไว้

“ก็ไม่มีอะไรสักหน่อย แค่คิดถึงเรื่องตลกน่ะ”

อินเจินหรูไม่ได้ซักไซ้อะไร จากนั้นเธอก็มองเห็นขวดนมที่ตั้งอยู่บนโต๊ะจึงเอ่ยถามด้วยความสงสัย “เธอไม่ได้แพ้นมวัวหรอกเหรอ ทำไมถึงซื้อมาล่ะ”

ซางจื้อเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะเก็บนมใส่ลิ้นชัก “ไม่ทันระวังเลยหยิบผิดมา”

-

หลังจากที่กลับถึงบ้าน ซางจื้อรีบเอานมขวดนั้นแช่ตู้เย็นอย่างรวดเร็ว

เธอเกรงว่าหลีผิงจะมาเห็นเข้า

เธอลังเล สุดท้ายก็เก็บมันไว้ในกล่องสมบัติของเธอ เมื่อเธอนึกถึงเขาเธอจะได้เอามันออกมาดู

หลายวันผ่านไป

ถึงแม้ว่าโรงเรียนของเธอและมหาวิทยาลัยจะอยู่ใกล้กัน แค่เพียงห้านาทีก็สามารถเดินไปถึงที่ที่คนคนนั้นอยู่แล้วแท้ ๆ เธอทำได้แม้กระทั่งแสร้งทำเป็นว่าไปเจอซางเหยียนเพื่อเจอเขาคนนั้นที่เธอเฝ้าคิดถึง

แต่เธอกลับไม่กล้า

เธอรู้สึกไม่ปกติ

เธอกลัว กลัวว่าความรู้สึกของเธอมันจะเก็บไว้ไม่อยู่

มีเพียงตัวเธอที่ต้องดูแลความรู้สึกของตนเองให้ดี

ครึ่งเดือนผ่านไป

ปิดเทอมวันแรก ขณะที่ซางจื้อหยิบขวดนมออกมาดู เป็นจังหวะเดียวกันกับที่หลีผิงมาเห็นเข้า เธอจึงนึกว่าซางจื้ออยากจะดื่มนม หลีผิงจึงเข้าไปพูดเตือนเธออย่างนุ่มนวล

แม้จะพูดจบแต่เธอก็ยังคงกลัวว่าซางจื้อจะเผลอดื่มมันเข้าไป เธอจึงอยากจะเก็บมา

ซางจื้อจึงได้แต่เทนมในขวดออก ล้างทำความสะอาดขวดแล้วเอาไปตากแห้งให้แห้ง บางครั้งเธอก็จะพับดาวใส่ลงไปในขวด ดวงแล้วดวงเล่า วันแล้ววันเล่า

หลังจากนั้นเธอก็ได้เอากระดาษไดอารี่ที่ต้วนเจียสวี่เขียนเอาไว้ใส่ลงไปด้วย

ต้นกล้าอ่อนที่ค่อย ๆ เติบใหญ่ไปเป็นต้นไม้

เธอเริ่มหวังขึ้นมาเล็ก ๆ

หวังในทุกวัน

หวังว่าวันเวลาจะผ่านไปให้เร็ว ๆ

หวังว่าเธอจะโตขึ้นเร็ว ๆ

-

ต้นเดือนสิงหาคม เนื่องจากซางหรงและหลีผิงจะต้องไปร่วมงานแต่งงานของเพื่อนของเขาที่ต่างเมือง ที่บ้านจึงมีแค่ซางเหยียนและซางจื้ออยู่สองคนเท่านั้น ก่อนจะออกเดินทาง หลีผิงได้กำชับกับซางเหยียนไว้หนักหนาว่าให้เขานั้นดูแลน้องสาวให้ดี

ซางหรงที่พูดด้วยน้ำเสียงข่มขู่นั่น ทำให้ซางเหยียนได้แต่ตกปากรับคำ

วันแรกของสองพี่น้องที่ต้องอยู่ด้วยกันสองคน ก็นับว่ายังกลมเกลียวกันดีอยู่

นอกจากเวลากินข้าวแล้ว ซางเหยียนมักจะทำหน้าเหม็นใส่เธอเวลาซางจื้อเรื่องมาก แต่เขาก็ยังคงทำอาหารให้เธอ ส่วนในเวลาอื่น ๆ ก็เอาแต่ขลุกตัวอยู่ในที่นอนเล่นโทรศัพท์ มีบ้างบางครั้งที่ซางจื้อเข้ามาก่อกวนแต่เขาก็จัดการกับเธอได้อยู่หมัด

วันวันหนึ่งก็ผ่านไปเช่นนี้

แต่วันที่สอง เขามีนัดกับเพื่อนออกไปเล่นเกม

ซางเหยียนไม่อยากจะปฏิเสธ จึงรีบเปลี่ยนเสื้อผ้าออกจากบ้าน

เวลานี้ซางจื้อนั่งดูการ์ตูนอยู่บนโซฟาห้องรับแขก เมื่อได้ยินเสียงบางอย่าง เธอจึงหันมองเขาด้วยใบหน้าที่เรียบเฉยและนิ่งเงียบ

ซางเหยยียนเดินไปที่ประตูเพื่อใส่รองเท้า “เดี๋ยวออกไปแป๊บนึง เธออยู่บ้านทำการบ้านไปนะ”

ซางจื้อ “ออกไปเที่ยวเหรอ?”

ซางเหยียนเมินคำถามของเธอ “ถ้ามีเรื่องอะไรก็โทรมาแล้วกัน”

ซางจื้อ “ไม่เอา”

ซางเหยียนหยุดการกระทำที่ทำอยู่แล้วส่งยิ้มเหมือนไม่ยิ้ม “จะมาควบคุมกันหรือไง?”

ซางจื้อหันหลับไปดูการ์ตูนแล้วฉีกซองมันฝรั่งทอดออก “ถ้ามีโจรเข้ามาแล้วจะทำยังไง หนูสู้ไม่ไหวหรอกนะ”

“ก็ปิดประตูให้มันดี ๆ ไม่มีใครเข้ามาหรอก”

“แล้วถ้าหนูหิวล่ะ ไม่มีอะไรกินเลยนะ”

ซางเหยียนพยายามอดทน มองมันฝรั่งทอดในมือของเธอ “มีขนมอยูในตู้ พอรึเปล่า”

ซางจื้อกัดมันฝรั่ง “แต่หนูไม่อยากกินมันฝรั่งทอดนี่”

ซางเหยียนมองมาที่ถุงมันฝรั่งในมือเธอ เขาเงียบครู่หนึ่ง ซางเหยียนที่ไม่อยากจะต่อล้อต่อเถียงกับเธออีกจึงยอมที่จะถอยให้ “งั้นเธออยากกินอะไร” เขาเอ่ย

ซางจื้อ “ยังไงก็เอาเหอะ แต่ไม่อยากกินขนม”

ซางเหยียนที่กำลังอดกลั้นอยู่นั้นก็ได้ถอดรองเท้าออก “จะกินอะไร จะได้ออกไปซื้อให้”

ซางจื้อที่สบตาเข้าแล้วพูดขึ้น “ยังไม่รู้”

“…….”

“นี่ยัยดื้อ” ซางเหยียนย่อตัวลงแล้วหยิกแก้มเธอ “ตอนฉันอายุเท่าเธอ ตอนพ่อแม่ไม่อยู่บ้านฉันทำกับข้าวกินเองได้ แล้วก็ยังทำให้เธอกินด้วย”

แก้มของเธอโดนดึงอยู่ทำให้พูดออกมาไม่ชัดเจนนัก “มันไม่เหมือนกันนี่”

“ไม่เหมือนกันตรงไหน”

“ก็ตอนที่นายอายุเท่าฉันนายไม่มีพี่ชายนี่” ซางจื้อยิ้มเจ้าเล่ห์ แล้วพูดขึ้นอย่างช้า ๆ “...แต่ฉันมี”

“......”

เพื่อนของเขาโทรตามอีกครั้ง ซางเหยียนไม่สนจะต่อล้อต่อเถียงกับเธอ “ตอนนี้เธอมีสองทางเลือก อย่างแรกบอกฉันมาตอนนี้เลยว่าอยากกินอะไร แล้วฉันออกไปซื้อมาให้ กับอีกอย่างคืออยู่บ้านเฉย ๆ รอความตาย”

ซางจื้อกัดแผ่นมันฝรั่ง “ฉันเลือกอย่างหลัง”

“……”

พูดจบซางจื้อก็หยิบโทรศัพท์ออกมา แล้วเปิดเบอร์ของซางหรง เธอจับจ้องไปที่หน้าจอแล้วพึมพำ “ได้ หนูจะบอกพ่อ......”

ซางเหยียนพ่นลมออกจมูก “ก็ได้ เชิญฟ้องตามสบาย”

เขาเบื่อจะสนใจแล้วหันกลับไปเปลี่ยนรองเท้า

ครู่หนึ่ง เสียงซางจื้อคุยโทรศัพท์ก็ดังขึ้น “พ่อ”

ซางเหยียนใส่รองเท้าข้างหนึ่ง

ยังไม่ทันที่จะได้ใส่อีกข้าง ก็ตามมาด้วยเสียงของซางจื้อที่พูดกับพ่อด้วยน้ำเสียงจริงจัง “พี่เขาบอกให้หนูไปตาย”

“…….”

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด