ตอนที่ 43 เทือกเขาหยุนอู๋
ตอนที่ 43 เทือกเขาหยุนอู๋
ฉู่เสวียนเก็บดาบบังเหินเทียนกังลงทันที และทะยานลงไปข้างหน้าอย่างช้าๆ
ทันทีที่เขามาเหยียบลงบนเทือกเขาหยุนอู๋ ในขณะที่เขากำลังจะเข้าไปในเทือกเขา ก็มีร่างสี่ร่างบินมาหาเขาจากทางด้านซ้ายและขวา ซึ่งทั้งสี่ได้สวมเสื้อคลุมของนิกายเสินกัง 2 คน และวัดจินหลง 2 คน แต่ผู้บ่มเพาะทั้งสี่ก็เป็นแค่ผู้บำเพ็ญที่อยู่ในช่วงกลั่นลมปราณเท่านั้น พวกเขาทั้งสี่มองดูฉู่เสวียนด้วยสีหน้าไร้ความปรานี
ฉู่เสวียนขมวดคิ้ว นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเดินทางมาที่เทือกเขาหยุนอู๋ เหตุใดเขาถึงไปสะดุดตาคนของนิกายเสินกังและวัดจินหลงขึ้นมาในเวลาเดียวกัน?
ฉู่เสวียนแสร้งทำเป็นตื่นตระหนก เขายกมือขึ้นแล้วพูดว่า "ข้าเป็นเพียงผู้บ่มเพาะธรรมดา จึงสงสัยว่าเหตุใดพวกเจ้าทั้งสี่ถึงมาหยุดข้าไว้เช่นนี้"
ผู้บ่มเพาะทั้งสองที่เป็นศิษย์ของวัดจินหลงก็ได้ยิ้มออกมาและพูดเบา ๆว่า "เจ้ามาจากไหน และเจ้ากำลังจะไปที่ไหน?"
ฉู่เสวียนตอบว่า "ข้ามาจากคฤหาสน์ไป่ฉุย และต้องการเข้าไปในเทือกเขาหยุนอู๋เพื่อฆ่าสัตว์อสูรเอาหินจิตวิญญาณ"
คฤหาสน์ไป่ฉุย เป็นคฤหาสน์ที่ตั้งอยู่ตรงเชิงเขาหยุนอู๋
เขาไม่ได้บอกว่าเขามาจากคฤหาสน์ชิงเหอ
เพราะท้ายที่สุดแล้ว คฤหาสน์ชิงเหอนั้นก็ตั้งอยู่ใจกลางแคว้นตงโจว ซึ่งห่างไกลจากเทือกเขาหยุนอู๋เป็นอย่างมาก หากว่าเขาปกปิดตัวตน และบอกว่าเป็นเพียงผู้บ่มเพาะธรรมดาที่อยู่ในช่วงกลั่นลมปราณ มันเป็นไปไม่ได้เลยที่จะเดินทางมาถึงที่นี่เพื่อฆ่าสัตว์อสูรเอาก้อนหินวิญญาณ
ศิษย์ของนิกายเสินกังมองดูตั้งแต่หัวจรดเท้า "เจ้าบอกว่าเจ้าเป็นเพียงผู้บ่มเพาะธรรมดาๆ แล้วเจ้าพอจะมีหลักฐานอะไรที่แสดงถึงตัวตนของเจ้าหรือไม่?"
ฉู่เสวียนเกาหัวอย่างกังวล "หลักฐานหรือ นี่ ... ข้าเป็นเพียงผู้บ่มเพาะธรรมดามาห้าสิบปีแล้ว!"
ศิษย์ของนิกายเสินกังหัวเราะเยาะ "ข้าคิดว่าเจ้าจงใจแสร้งทำเป็นเป็นผู้บ่มเพาะธรรมดา เพื่อเข้าไปช่วยคนนิกายเดียวกันในเทือกเขาหยุนอู๋ ตาข้าไม่ได้บอด ดูก็รู้ว่าเจ้าเป็นเศษเดนของนิกายสายมาร ทุกคน ลงมือฆ่าสัตว์ร้ายตัวนี้ซะ!"
ทันทีที่เสียงนั้นดังขึ้น คนทั้งสี่ก็เข้ามาล้อมรอบตัวเขา ศิษย์สองคนของนิกายเสินกังชักดาบศักดิ์สิทธิ์ชิงกังออกมา ส่วนศิษย์อีกสองคนของวัดจินหลงก็นำสากวัชระขึ้นมา เห็นได้ชัดว่าพวกเขาต่างก็เชี่ยวชาญอาวุธที่อยู่ในมือไม่น้อย
อาวุธเวทย์มนตร์ทั้งสี่ทำงานร่วมกันจนเป็นเหมือนกับตาข่ายที่ไม่อาจทะลุทะลวงออกไปได้ ไม่ว่าฉู่เสวียนจะหนีไปทางไหน เขาก็ไม่สามารถรอดพ้นจากการโจมตีดังกล่าวได้เลย
พวกเขาทั้งสี่จึงยิ้มออกมาด้วยความพึงพอใจ ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา พวกเขาได้ใช้วิธีนี้ในการสังหารผู้บ่มเพาะทั่วไปมาแล้วแปดคน ซึ่งก็ไม่มีผู้บำเพ็ญช่วงกลั่นลมปราณคนไหนที่จะสามารถทะลวงผ่านตาข่ายนี้ออกไปได้เลย
ทว่าในตอนนั้น ดวงตาของทั้งสี่คนก็ดูตื่นตระหนกขึ้นมาอีกครั้ง เพราะมีเพียงวิญญาณชั่วร้ายเท่านั้นที่ยังคงอยู่ในวงล้อมของพวกเขา แต่กลับไม่มีร่องรอยของฉู่เสวียนเลย
เมื่อทั้งสี่คนรู้ตัวศีรษะของพวกเขาก็หลุดออกจากบ่าโดยไม่ทันได้ตั้งตัวแล้ว เลือดของพวกเขาพุ่งกระฉุดออกมาราวกับน้ำพุ
ฉู่เสวียนเดินออกมาจากที่ซ่อน แล้วรีบไปเก็บศพของทั้งสี่ใส่ถุงเก็บของไปอย่างรวดเร็วเพราะกลัวว่าจะมีคนมาเห็น
เขาตรวจสอบถุงเก็บของของคนทั้งสี่คนอย่างระมัดระวัง จากนั้นก็พบว่าพวกเขาทั้งสี่คนดูเหมือนจะร่วมมือกันเพื่อฆ่าผู้บ่มเพาะทั่วไปจำนวนมาก และชิงเอาสมบัติของพวกเขามา และเขายังพบว่าในถุงเก็บของของชายคนหนึ่งมีกระดาษคำสั่งจากผู้บำเพ็ญช่วงสร้างรากฐาน
ปรากฏว่าพวกเขารู้ตำแหน่งที่หลิวเจิ้งสงและคนอื่นๆไปหลบซ้อนแล้ว เนื่องจากว่าพวกเขาได้หลบหนีมาทางใต้ และในที่สุดก็ซ่อนตัวอยู่ในเทือกเขาหยุนอู๋อันกว้างใหญ่นี้ ผู้บำเพ็ญช่วงสร้างรากฐานหลายคนได้นำผู้บำเพ็ญช่วงกลั่นลมปราณจำนวนมากขึ้นไปบนเทือกเขาเพื่อค้นหาคนของนิกายอู๋จี๋ ซึ่งในขณะที่เหล่าศิษย์ที่อยู่ในช่วงกลั่นลมปราณก็ยังคงเดินทางมาถึงตีนเขา
“ตราบใดที่เจ้าสามารถฆ่าผู้บำเพ็ญสายมารได้หนึ่งคน เจ้าจะได้รับความช่วยเหลือมากมายจากนิกาย”
“ปรากฏว่าศิษย์ในช่วงกลั่นลมปราณที่ประจำการอยู่ข้างนอกเหล่านี้ คอยดักผู้บ่มเพาะที่หลงเข้ามาที่นี่แล้วฆ่าทิ้งเพื่อเอาความดีความชอบ” ฉู่เสวียนเยาะเย้ยออกมา
เขาไม่อยากเสียเวลาอยู่ที่นี่ต่อ และรีบเข้าไปในเทือกเขาทันที
เดิมทีเขาคิดว่าเขาทำได้เพียงเดินทางมาที่นี่ และฆ่าสัตว์อสูรช่วงสร้างรากฐานเพื่อเอาวิญญาณของพวกมันมาเป็นวิญญาณชั่วร้าย แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าจะมีตัวเลือกที่ดีกว่า
เพราะเขาตั้งใจจะเอาวิญญาณของผู้บำเพ็ญช่วงสร้างรากฐานที่เดินลึกเข้าไปในเทือกเขาหยุนอู๋นี้มาเป็นวิญญาณชั่วร้าย? อย่างไรก็ตาม เขายังสามารถเอาธงหมื่นวิญญาณออกมาใช้ได้อีกด้วย!
.....
ในถ้ำบนเทือกเขาหยุนอู๋
สวีหมิง, เฉินเกอ, เว่ยหัว และไป่เฟิง ต่างก็ตัวสั่นงันงกไม่กล้าที่จะส่งเสียงใดๆออกมา
ตรงหน้าพวกเขามีอู๋เถิงนอนหมดสติอยู่บนพื้น ใบหน้าของเขาซีดเซียวและยังมีบาดแผลยาวคาดบนหน้าอกของเขา โดยมีแสงสีทองติดอยู่ที่บาดแผล ซึ่งยากที่จะรักษาได้
หลิวเจิ้งสงส่งพลังวิญญาณทั้งหมดของเขาเข้าไปในตัวของอู๋เถิง ทว่าเขาก็ไม่สามารถกำจัดแสงสีทองนั้นให้หลุดออกมาได้
“เทคนิคนี้เป็นเทคนิคระดับสูงอันเป็นเอกลักษณ์ของวัดจินหลง ซึ่งยากต่อการรักษาจริงๆ”
หลิวเจิ้งสงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องถ่ายทอดพลังวิญญาณของเขาเข้าไป แต่ก็ไม่สามารถทำอะไรได้เลย
สวีหมิงอดไม่ได้จึงถามออกไปว่า "อาจารย์อาขอรับ แล้วเราควรทำอย่างไรดี?"
หลิวเจิ้งสงยิ้มอย่างขมขื่น "เราทำได้เพียงค่อยๆถ่ายทอดพลังวิญญาณเข้าไปเท่านั้น ใครจะไปคาดคิดว่าหลานชายของอู๋เถิงจะแอบไปบอกนิกายเสินกังให้ทราบ อนิจจาจริงๆ ... "
ในเวลานี้ จู่ๆพวกเขาก็ได้ยินเสียงเครื่องดนตรีวิเศษดังมาจากข้างนอกถ้ำ
ทุกคนได้แต่หันมามองหน้ากันด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“ไม่ต้องพูดอะไร ข้าจะออกไปดูเอง” หลิวเจิ้งสงกล่าวอย่างจริงจัง
สวีหมิงและศิษย์คนอื่น ๆ พยักหน้ารับ
หลิวเจิ้งสงร่ายมนตร์เพื่อปกปิดปราณของเขาจนถึงที่สุด ก่อนจะเดินออกจากถ้ำไป
เขาเร็วราวกับสายลม หลังออกจากถ้ำได้ไม่นาน เขาก็เห็นร่องรอยของการต่อสู้อยู่ข้างหน้า
เมื่อตรวจสอบดูแล้ว ก็พบเพียงกองเลือดอยู่ในจุดนั้น
“ร่องรอยการต่อสู้ครั้งนี้...จะต้องเป็นการต่อสู้ระหว่างผู้บำเพ็ญในช่วงสร้างฐานราก และการที่มันจบลงเร็วแบบนี้ ก็แสดงว่าอีกฝ่ายหนึ่งจะต้องแข็งแกร่งเป็นอย่างมาก เป็นไปไม่ได้ที่จะเป็นฝีมือของผู้บ่มเพาะทั่วไป” หลิวเจิ้งสงตรวจสอบอย่างรอบคอบ และแอบรู้สึกสงสัยอยู่ในใจ
เทือกเขาหยุนอู๋แห่งนี้กว้างใหญ่และเป็นสถานที่ซึ่งผู้บ่มเพาะทั่วไปจำนวนมากจะมาหาสมุนไพรและล่าสัตว์อสูรเพื่อรับหินวิญญาณ ซึ่งวันนี้เขาก็ได้เห็นผู้บ่มเพาะทั่วไปถูกฆ่าตายมาหลายครั้งแล้ว และมันก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร
มีแค่ทางสายมารเท่านั้นที่จะนำไปสู่เป้าหมายอันยิ่งใหญ่ เพราะการเดินบนทางสายธรรมนั้นไม่มีทางได้ผลงานที่น่าพึงพอใจ ผู้บำเพ็ญสายธรรมบางคนจึงเกิดความคิดที่จะฆ่าคนบริสุทธิ์เพื่อเอาความดีความชอบมาเป็นของตน แสร้งทำเป็นว่าผู้บ่มเพาะทั่วไปเป็นผู้บ่มเพาะสายมารแล้วฆ่าพวกเขาเพื่อรับการสนับสนุนจากนิกาย
สำหรับสถานการณ์เหล่านี้ นิกายเสินกังและวัดจินหลงต่างก็รู้ดี แต่พวกเขาก็เลือกที่จะเมินเฉย
อย่างไรก็ตาม ในสายตาของพวกเขา ผู้บ่มเพาะทั่วไปนั้นไม่มีพื้นฐานหรือรากฐาน ดังนั้นการฆ่าพวกเขาก็ไม่ต่างจากฆ่าหนูตัวหนึ่ง
หลิวเจิ้งสงอยูที่นั่นได้ไม่นาน และจากไปในทันที
หลังจากนั้นไม่นาน ร่างหลายร่างก็มาปรากฏตัวที่นี่ ซึ่งผู้บ่มเพาะวัยกลางคนที่เป็นผู้นำมีชื่อว่าซุนชือและเขาก็เป็นซุนชือคนเดียวกับที่ส่งเหอเลี่ยงไปหลอกล่อฉู่เสวียน ส่วนผู้บ่มเพาะหนุ่มที่อยู่ข้างๆเขาชื่อจางซือ ทั้งสองเป็นผู้บำเพ็ญช่วงสร้างรากฐานของนิกายเสินกัง และต่างก็มีชื่อเสียงมายาวนาน
ทั้งสองมาพร้อมกับลูกศิษย์ที่อยู่ในช่วงกลั่นลมปราณห้าคน ซึ่งทุกคนต่างก็มีความสามารถ แตกต่างอย่างสิ้นเชิงจากศิษย์ช่วงกลั่นลมปราณที่ให้เฝ้าเชิงเขาเอาไว้
“สัญญาณขอความช่วยเหลือของศิษย์น้องจ้าวถูกส่งมาจากที่นี่” จางซือมองดูรอยเลือดที่เปื้อนอยู่บนพื้นด้วยสีหน้าไม่ค่อยดีนัก “แต่เราก็มาช้าไปอยู่ดี”
ซุนซือก็มีสีหน้าที่มืดมนเช่นกัน “เป็นหลิวเจิ้งสงอย่างนั้นหรือ เขาต้องทนทุกข์ทรมานจากการหลบหนี แม้เขาจะไม่ได้รับบาดเจ็บแต่เขาจะมาฆ่าศิษย์น้องจ้าวได้อย่างไร ค้นหาต่อไป! แม้ว่าเราจะต้องพลิกแผ่นดินหา เราก็ต้องลากตัวของเศษเดนนิกายอู๋จี๋มาให้ได้!”
"ขอรับ!" จางซือและศิษย์คนอื่นๆ ตอบรับอย่างเคร่งขรึม
ทันทีที่หลิวเจิ้งสงกลับมาที่ถ้ำ เขาก็จามโดยไม่มีเหตุผล
“น่าแปลก…ผู้บำเพ็ญที่อยู่ในช่วงสร้างรากฐานอย่างข้าจะจามได้อย่างไร? เป็นไปได้ไหมว่ากำลังมีคนพูดถึงข้าอยู่” เขาดูสับสนเป็นอย่างมาก
...
อีกถ้ำหนึ่ง บนเทือกเขาหยุนอู๋
เจ้าของถ้ำเดิมคือหมีตาบอดที่เป็นโสดมานานหลายปี และเป็นสัตว์อสูรที่อยู่ในช่วงกลั่นพลังช่วงกลั่นลมปราณ
ฉู่เสวียนได้เชิญให้มันไปพบยมบาลอย่างสุภาพ ก่อนที่เขาจะเข้ามายึดครองที่นี่ไว้
“ใช่สิ ตอนนี้ข้าก็ได้วิญญาณของผู้บำเพ็ญในช่วงสร้างรากฐานมาแล้ว และยังได้ถุงเก็บของมาอีกหลายใบ ไม่แปลกใจเลยที่เขาว่ากันว่า คนชั่วฆ่าคนได้สายสะพายทองคำ คนดีซ่อมสะพานกลับไม่เหลือซากศพ มันหมายถึงการฆ่าคนเพื่อเอาทรัพย์สินของพวกเขามาเป็นของตน ถือว่าเป็นการสร้างทรัพย์สินได้เร็วขึ้น” ฉู่เสวียนตรวจสอบถุงเก็บของที่เขายึดมาด้วยความพึงพอใจ
ไม่นานหลังจากที่เขาเข้าสู่เทือกเขาหยุนอู๋มา เขาก็พบกับผู้บำเพ็ญช่วงสร้างรากฐานของนิกายเสินกังหลายคน ทว่าสิ่งที่ทำให้เขาไม่อยากจะเสวนากับอีกฝ่ายคือการที่มาชี้จมูกของเขาและบอกว่าเขาเป็นผู้บำเพ็ญสายมารโดยที่ไม่ถามอะไรสักคำ จากนั้นก็เอาอาวุธเวทมนตร์ออกมาเพื่อต้องการจะสังหารเขา
ฉู่เสวียนไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องส่งสหายลัทธิเต๋าเหล่านี้ให้ไปสู่ที่ชอบๆ เร็วกว่าเดิมเท่านั้น
ยิ่งไปกว่านั้น ด้วยทรัพยากรที่มีจำกัดเช่นนี้ เขาจะทิ้งขวางของมีค่าเช่นนี้ได้อย่างไร เขาได้ดึงวิญญาณของสหายลัทธิเต๋าเหล่านั้นออกมาอย่างระมัดระวัง และโยนซากศพของพวกเขาเข้าไปในหอเลี้ยงศพเพื่อเป็นอาหารให้แก่ศพหยินที่ช่วงนี้ไม่ค่อยมีอะไรตกถึงท้อง
เพื่อตอบแทนของขวัญที่สหายเหล่านี้ให้เขามา เขาก็เอาไปใช้ได้อย่างคุ้มค่าอย่างยิ่ง