137 - การล่าสัตว์ฤดูหนาว 2
137 - การล่าสัตว์ฤดูหนาว 2
"ฉินโม่ ฝากไว้ก่อนเถอะ!"
กงซุนชง ไม่ได้เถียงกับฉินโม่ต่อ เขาพาตู้โหยวเว่ยและคนอื่นๆ ออกไปทันที
ฉินโม่ยักไหล่และพาพรรคพวกของเขาเดินทางไปยังวังหลวง
งานล่าสัตว์ฤดูหนาว เป็นกิจกรรมที่ยิ่งใหญ่รองจากพิธีบูชาฤดูใบไม้ผลิของแต่ละราชวงศ์
เมื่อฉินโม่มาถึงวังหลวง ก็มีขันทีเข้ามาบอกว่า "ราชบุตรเขย โปรดมาที่โรงเก็บม้าหลวงเพื่อจูงม้าทรงให้กับฝ่าบาท"
ฉินโม่เบ้ปาก เขาไม่ค่อยอยากเป็นคนจูงม้าเท่าไหร่
ภายใต้การนำของขันที ฉินโม่ได้เห็นม้าพันธุ์ดีตัวหนึ่งที่ทั้งตัวเป็นสีขาวสะอาดไม่มีจุดด่างพร้อย
"นี่คือม้าที่ฝ่าบาททรงโปรดปรานที่สุด ชื่อว่าไป๋เถี่ยอู" ขันทีอธิบาย
แม้ว่าฉินโม่จะไม่ชอบขี่ม้ามากนัก แต่เมื่อเห็นม้าตัวนี้ เขาก็อดที่จะประทับใจไม่ได้
ไป๋เถี่ยอูตัวนี้เปรียบได้กับรถยนต์หรูระดับโรลส์-รอยซ์ในโลกอนาคต!
ยิ่งไปกว่านั้น ไป๋เถี่ยอูยังเป็นม้าที่ฉลาดล้ำ มันดูดีกว่าม้าของฉินโม่หลายเท่า
"ข้าขี่ได้ไหม?"
ขันทีตัวเล็กหน้าซีด "ราชบุตรเขย อย่าเลยเถอะ มันถือเป็นการลบลู่ฝ่าบาทอย่างใหญ่หลวง!"
ฉินโม่ถอนหายใจ "แค่ขี่ม้ามันเป็นการลบลู่ด้วยหรือ? เอาเถอะ ไม่ขี่ก็ได้"
เมื่อเขาจูงม้าไปถึงหน้าตำหนักไท่จี๋ เขาเห็น หลี่ซื่อหลงแต่งกายในชุดเกราะทองดูองอาจสะดุดตา พร้อมคาดดาบประจำกาย ดูสง่างามสมกับที่เคยเป็นแม่ทัพใหญ่
เหลียงเจิ้งนำสวดบวงสรวงฟ้าดินแ เนื้อหานั้นกล่าวว่าฮ่องเต้ล่าสัตว์ฤดูหนาวเพื่อปัดเป่าสิ่งชั่วร้าย หวังว่าปีต่อไปจะมีฝนฟ้าตามฤดูกาล
ฉินโม่ฟังแล้วก็เริ่มง่วง
พวกองค์ชายและองค์หญิงยืนอยู่ด้านข้างเป็นกลุ่มใหญ่ มีหลายสิบคน
เห็นได้ชัดว่าท่านพ่อตามีกำลังวังชาอย่างมากไม่เช่นนั้นคงไม่มีบุตรชายและบุตรสาวมากมายถึงขนาดนี้
เมื่อบวงสรวงฟ้าดินเสร็จสิ้น ทุกคนต่างพากันคุกเข่าและตะโกนถวายพระพร
หลี่ซื่อหลงเดินไปทางฉินโม่ท่ามกลางสายตาของทุกคน
เกาซื่อเหลียนหมอบกราบลงกับพื้นทำหน้าที่เป็นแท่นสำหรับให้ฮ่องเต้ก้าวขึ้นหลังม้า
ประตูวังเปิดออก หลี่ซื่อหลงประกาศเสียงดัง "ออกเดินทาง!"
ธงมังกรสะบัดไหวในสายลมหนาว ฉินโม่จูงม้าเดินนำขบวนอยู่ข้างหน้า
ทุกสายตาจับจ้องมาที่เขา
กงซุนชงขบเขี้ยวเคี้ยวฟันด้วยความอิจฉา แม้แต่สีหน้าขององค์ไท่จื่อก็ไม่ดีนัก ในฐานะองค์ไท่จื่อ เขาอยู่แถวที่สอง ส่วนองค์ชายและองค์หญิงคนอื่นอยู่ข้างหลังเขา จากนั้นจึงเป็นเหล่าขุนนาง
ราชองครักษ์กว่าแสนคนยืนรักษาการตามถนน ชาวบ้านต่างเบียดเสียดกันเพื่อที่จะได้เห็นโฉมหน้าของฮ่องเต้
ฉินโม่รู้สึกเมื่อยจนขาแทบอ่อน
การล่าสัตว์ฤดูหนาวนี่เหมือนกับงานสวนสนามมากกว่าการล่าสัตว์จริงๆ
ภายในรถม้า แม้จะสวมผ้าคลุมหน้าและเปลี่ยนมาใส่ชุดไว้ทุกข์สีขาว แต่หลี่อวี้หลานก็ยังรู้สึกตื่นเต้นและประหม่า
เมื่อครู่นี้ฉินโม่มองมาทางรถม้าของนาง หัวใจของหลี่อวี้หลานแทบจะกระเด็นออกมาจากอก
ส่วนหลี่อวี้ซูกำลังจ้องไปทางกงซุนชงที่อยู่ไม่ไกล
เรื่องครั้งที่แล้ว กงซุนชงขอโทษนางถึงครึ่งเดือน กว่านางจะยอมให้อภัยเขา
ไม่รู้ทำไม แต่หลี่อวี้ซูกลับรู้สึกว่าความรู้สึกของนางที่มีต่อกงซุนชงไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป เหมือนมีรอยร้าวบางอย่างระหว่างพวกเขา แม้ว่านางจะพยายามบอกตัวเองว่าไม่ต้องคิดมาก แต่นางก็อดคิดไม่ได้
"พี่รอง พี่เจ็ด อีกสักครู่ช่วยจับกระต่ายให้ข้าได้ไหม?"
คนที่กล่าวคือองค์หญิงหนานหยางหลี่ลี่หรง องค์หญิงสิบเก้าที่หลี่ซื่อหลงโปรดปรานมาก เพราะนางทั้งฉลาดเฉลียวและเป็นบุตรีคนเล็ก มักทำให้หลี่ซื่อหลงหัวเราะอย่างมีความสุขเสมอ
เพราะเหตุนี้ หลี่ซื่อหลงจึงเรียกนางว่า ลี่หรง(ผลไม้แห่งความสุข)
"แน่นอนสิ เดี๋ยวข้าให้พี่กงซุนชเจ้าจับให้" หลี่อวี้ซูตอบพร้อมรอยยิ้ม
"ขอบพระทัยพี่เจ็ด!"
หลี่ลี่หรงกอดแขนของหลี่อวี้ซูอย่างเอาใจ
ไม่นานพวกเขาก็มาถึงทุ่งป่าลึกทิศตะวันออกของเมืองหลวง
บริเวณนี้เป็นป่าดิบชื้นที่กว้างใหญ่ มีทั้งหมีและเสือที่ดุร้ายอยู่ในป่า
"ฝ่าบาทมีรับสั่ง ให้ตั้งค่ายพักแรมที่นี้!"
การล่าสัตว์ฤดูหนาวไม่เคยเป็นเรื่องง่าย โดยทั่วไปจะใช้เวลายาวนานถึงสามสิบวัน แต่เนื่องจากอาณาจักรต้าเฉียนยากจน หลี่ซื่อหลงจึงจำกัดเวลาให้เพียงสามวัน เพื่อประหยัดเสบียงที่ต้องใช้เลี้ยงคนหลายหมื่นคน
จากนั้นจึงเริ่มการล่าได้ทันที
บรรดาบุตรหลานของขุนนางในเมืองหลวงต่างพากันมาร่วมงาน พวกเขาแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าที่ดูหรูหรา บางคนถึงขั้นทาเครื่องสำอาง ฉินโม่เห็นแล้วถึงกับเบ้ปาก
คนเหล่านี้ดูนุ่มนิ่มไปหมด ซึ่งเป็นประเพณีที่ย่ำแย่ของคนยุคนี้ หากใครหน้าตาไม่ดี ถึงจะฉลาดหรือมีความสามารถเพียงใด ก็มีโอกาสแค่เป็นที่ปรึกษาอยู่เบื้องหลังเท่านั้น
แต่ถ้าหล่อและรูปร่างสูงใหญ่ ต่อให้ไม่มีความสามารถใดๆ ก็ยังได้เป็นขุนนาง
นี่มันไม่ยุติธรรมเลย!
ดังนั้นแม้ว่าบุรุษหลายคนจะมีร่างกายใหญ่โตหนวดเคราครึ้มแต่พวกเขาก็ยังนิยมแต่งหน้า ซึ่งทำให้ลักษณะของพวกเขาดูน่าขบขันอย่างยิ่ง
หลี่ซื่อหลงตรวจสอบและพยักหน้าอย่างพอใจ "จากนี้ไป พวกเจ้าจับกลุ่มกันสามถึงห้าคน ใครล่าสัตว์ได้มากที่สุด ข้าจะให้รางวัลอย่างงาม!"
"พะย่ะค่ะ ฝ่าบาท!"
ทุกคนตอบรับพร้อมกัน
ฉินโม่ตอบกลับอย่างอ่อนแรง เขาไม่อยากวิ่งวุ่นในป่าที่หนาวเย็นแบบนี้ ถ้าบังเอิญเจอสัตว์ร้ายเข้าจะทำอย่างไร?
สัตว์ป่าที่หิวโหยนั้นมีพลังทำลายล้างสูง เขาไม่อยากตายแบบนั้น
"เจ้าโง่ เราหกคนรวมกลุ่มกันดีไหม?" เฉิงต้าเป่าเข้ามาถาม
"ไม่เอา ข้าไม่อยากล่าสัตว์ หิมะในป่าลึกขนาดนี้ ถ้าบังเอิญเจอสัตว์ร้าย จะหนีก็ไม่ทัน!"
ฉินโม่ส่ายหน้ารัวเหมือนกลอง
"เจ้าโง่ เจ้าคิดจะอยู่ในค่ายหรือ? ดูพวกคุณหนูตระกูลขุนนางพวกนั้นสิ พวกนางยังออกไปล่าสัตว์กันหมดแล้ว เจ้าเป็นผู้ชายไม่กลัวถูกหัวเราะเยาะหรือ?" หลิวหรูเจี้ยนไม่เข้าใจตรรกะของฉินโม่เลย
"ดูสิ องค์หญิงและองค์ชายพวกนั้นยังออกไปในป่าพร้อมกับทหารคุ้มกัน!" หลี่หยงเมิ่งชี้ไปที่ฝั่งตรงข้าม
"ถ้าอยากไปก็ไปเอง ะฝากล่าหมีมาให้ข้าสักตัว ข้าจะได้เอามาบำรุงร่างกาย!"
ฉินโม่จามออกมา เขาเดินจูงม้ามาสิบลี้แล้ว วันนี้หิมะตกหนัก เสื้อผ้าของเขาเปียกโชกไปหมด มื่อลมเย็นพัดผ่านร่างกาย เขาก็รู้สึกหนาวไปทั้งตัว
ชุดเกราะที่เขาสวมอยู่ก็ทั้งหนักและเย็น เสื้อที่เปียกชื้นติดกับเกราะเหล็ก สภาพแบบนี้อาจจะเจ็บไข้ได้ง่ายๆ
ไม่ว่าเพื่อนๆ จะกล่าวยังอย่างไร ฉินโม่ก็ไม่ยอมไป
แม้แต่หยางหลิวเกินก็ร้อนใจ "คุณชาย ไปเถอะ ถ้าท่านไม่ไป จวนกว๋อกงฉินของเราจะต้องถูกหัวเราะเยาะ! ถ้าท่านพ่อของท่านรู้เข้า จะตีขาจนหักแน่!"
ฉินโม่ไม่สนใจ เดินเข้ากระโจม ถอดเกราะออก นั่งลงข้างเตาผิง พร้อมดื่มเหล้าที่อุ่นไว้แล้ว "พอเถอะ ข้ามาที่นี่เพื่อมากางกระโจมเล่น งานล่าสัตว์ฤดูหนาวน่ะ ลืมไปได้เลย!"
ฉินโม่ไม่เก่งยิงธนู และในอดีตเขาไม่เคยฆ่าแม้แต่ไก่ ให้เขายิงสัตว์คงโหดร้ายเกินไป เขาทำไม่ได้
ทุกคนหัวเราะขื่น "เอาเถอะ เราห้าคนเข้าไปในป่ากันก่อน มิฉะนั้นที่ดีๆ คงโดนพวกเขายึดไปหมด!"
หลังจากที่ทุกคนจากไปหยางหลิวเกินก็ถอนหายใจอย่างกังวล "คุณชาย หยิบหม้อไฟออกมาดีกว่า อากาศหนาวแบบนี้ การกินหม้อไฟในป่าก็เหมาะที่สุดแล้ว!"
ฉินโม่ตั้งหม้อไฟไว้บนเตา และเปิดหีบที่บรรจุอาหารหลากหลายชนิดที่เขานำมาจากบ้าน
แม้อยู่ในป่า เขาก็ต้องใช้ชีวิตอย่างหรูหรา
เขาไม่ต้องการรางวัลจากหลี่ซื่อหลง ใครอยากได้ก็เอาไปเถอะ
เมื่อหม้อไฟเดือด ฉินโม่ใส่อาหารลงไปและคีบเนื้อวัวชิ้นหนึ่งเข้าปาก เขารู้สึกพึงพอใจมากจนต้องหรี่ตาลงด้วยความสุข "หลุงหลิวไปหาเนื้อสัตว์ป่าสักตัวมาให้ข้าลองกินสิ!"
…………