บทที่ 91 กำจัดปีศาจ? ใครคือปีศาจ? +บทที่ 92 (บทโฆษณาของผู้เขียน)
บทที่ 91 กำจัดปีศาจ? ใครคือปีศาจ? +บทที่ 92 (บทโฆษณาของผู้เขียน)
บ้านของ หยวนชิงเสวี่ย ตั้งอยู่ในย่านเก่าที่ห่างไกล ซึ่งถือเป็นอพาร์ตเมนต์ที่เก่ามากและทรุดโทรม
เพราะอยู่ในเขตห่างไกล บ้านแถบนั้นจึงถูกทิ้งร้างเป็นส่วนใหญ่ ไม่มีผู้คนอยู่อาศัย และการจ่ายน้ำจ่ายไฟก็ไม่แน่นอน
แม้จะเกิดเรื่องใหญ่แค่ไหนขึ้น ก็ไม่มีใครสังเกตได้ เนื่องจากในรัศมีไม่กี่กิโลเมตรแทบไม่มีคนอาศัยอยู่
ข้อดีของการใช้ชีวิตในพื้นที่แบบนี้คือไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายมาก แต่ข้อเสียคือ แม้จะเกิดอาชญากรรมขึ้นก็ไม่มีใครมาช่วย
หยวนชิงเสวี่ยไม่เคยคาดหวังว่าจะมีใครมาช่วยเธอเลย
แต่ทำไม...
เขาถึงมาอยู่ที่นี่ได้?
หยวนชิงเสวี่ยมองเด็กหนุ่มตรงหน้าอย่างไม่อยากเชื่อ
ไป๋อวี้ ใช่แล้ว, อีกครั้งที่เป็นไป๋อวี้
เขาไม่ควรจะมาอยู่ที่นี่ แต่กลับปรากฏตัวขึ้นอย่างพอเหมาะพอเจาะ ในช่วงเวลาที่เธอไม่รู้ว่าจะรอดชีวิตหรือไม่
ไป๋อวี้ถอนหายใจออกมา ไม่มีแม้แต่เวลาที่จะรู้สึกเสียดายโทรศัพท์ที่เขาโยนไปเพื่อสังเวย
“ดีที่มันเป็นของแบรนด์นอร์ซิอา แข็งแรงขนาดนี้ ต่อให้ยิงกระสุนใส่ก็คงไม่เป็นไร”
“ไปแจ้งตำรวจ”
ไป๋อวี้พูดกับหยวนชิงเสวี่ยที่ยังยืนงงอยู่
หยวนชิงเสวี่ยได้สติกลับมา และพูดเบาๆ ว่า “แต่ว่า...”
“อย่าชักช้า รีบไป!” ไป๋อวี้สั่งเสียงเฉียบ “จำไว้นะ อย่าหันหลังกลับมา!”
เสียงเข้มของเขาทำให้หยวนชิงเสวี่ยรู้สึกตื่นตัว แม้ว่าจะเป็นเพื่อนร่วมชั้นกันมาหลายปี แต่ดูเหมือนเธอเพิ่งจะได้รู้จักตัวตนจริงๆ ของเด็กหนุ่มคนนี้ในวันนี้
เหตุผลที่เขามาอยู่ที่นี่ก็ไม่สำคัญอีกต่อไป
ในเมื่อเขามาและยื่นมือช่วย เธอก็รู้ว่าเขาจะไม่หนีไปใหน
หยวนชิงเสวี่ยกลัวว่าปัญหาของเธอจะดึงไป๋อวี้ให้จมลงสู่ขุมนรกด้วย แต่เมื่อเรื่องมาถึงขั้นนี้ก็ไม่มีทางหวนกลับได้อีก
เธอกัดฟัน ฝืนร่างกายที่บาดเจ็บเพื่อวิ่งไปที่ถนน พร้อมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาแจ้งตำรวจ
ชายหนุ่มที่ถือคันธนูสีดำไม่แม้แต่จะสนใจหยวนชิงเสวี่ย เขายิ้มเยาะ “แจ้งตำรวจ? ไม่มีประโยชน์หรอก”
เขาพกเครื่องรบกวนสัญญาณไว้ด้วย ทำให้ภายในรัศมีสามกิโลเมตรสัญญาณถูกตัดขาดหมด อีกทั้งขาของเธอก็บาดเจ็บ เธอจะวิ่งไปได้ไกลแค่ไหนกัน?
ถึงแม้เธอจะแจ้งตำรวจสำเร็จ แต่เจ้าหน้าที่จากกรมยามราตรีกว่าจะมาถึงก็ต้องใช้เวลาห้านาที...
ห้านาทีนั้นเพียงพอให้เขาจัดการทุกคนที่นี่
จวงเซิ่ง หรี่ตามองเด็กหนุ่มตรงหน้า สายตาเป็นประกายแวบหนึ่ง
เขาไม่คิดว่าจะเจอคนมาขัดขวางที่นี่ และเด็กคนนี้... ก็เป็นคนเดียวกับที่เคยเจอในกรมยามราตรี เป็นคนที่ใช้มือเปล่าจัดการกับหมีภูเขา
หลังจากได้ยินเรื่องนี้ เขาก็เก็บไว้ในใจ และการชนไหล่ครั้งก่อนก็เป็นการลองเชิง
แม้ลูกธนูเมื่อครู่จะไม่ได้ใส่พลังเต็มที่ แต่ความแม่นยำของเด็กหนุ่มในการปัดป้องก็เกินความคาดหมาย
“เป็นคนที่ควรค่าแก่การกำจัด”
จวงเซิ่งยิ้มอย่างโหดเหี้ยม แต่คำพูดต่อมาของไป๋อวี้กลับทำให้รอยยิ้มนั้นแข็งค้างบนใบหน้า
“นายมาเพื่อดึงลูกธนูคืนใช่ไหม?”
คำพูดนี้ทำให้บรรยากาศที่ตึงเครียดอยู่แล้ว ยิ่งทวีความอึดอัดขึ้นไปอีก
“ฉันแนะนำว่าอย่ายุ่งเรื่องที่ไม่ใช่ของตัวเอง ฉันมาที่นี่เพื่อกำจัดปีศาจ ไม่เกี่ยวอะไรกับนาย ถ้านายไปตอนนี้ ฉันจะปล่อยให้นายรอดชีวิต”
จวงเซิ่งดึงสายธนูพร้อมเสียง “วึ้ง~” ที่ดังขึ้น ทำให้เกิดคลื่นอากาศแหวกออกเป็นวง
ไป๋อวี้หันศีรษะเล็กน้อย เส้นผมบางเส้นถูกตัดขาด และบนใบหูมีบาดแผลตื้นๆ
“แค่การดึงสายธนูก็สามารถทำร้ายคนได้”
ฉินเสวี่ยเจ่า ส่งเสียงผ่านกระแสจิตมาว่า “ไม่ต้องสงสัยเลย เขาเป็นผู้ติดตามของดาวหายนะ ศิลปะการต่อสู้นี้ถูกบันทึกไว้ในกรมหยานลั่ว เรียกว่า เซียนซาซานเจิ้น มีทั้งหมดสามท่า ยิ่งฝึกยิ่งอันตราย หากฝึกถึงขั้นสูงสุด พื้นที่รอบรัศมีร้อยจั้งจะกลายเป็นอาณาเขตสังหารได้ แต่ดูเหมือนเขายังฝึกไม่ถึงขั้นนั้น”
ไป๋อวี้ เริ่มเข้าใจสถานการณ์ตรงหน้าอย่างชัดเจน เขามองเห็นสัญลักษณ์ระดับที่ลอยอยู่บนหัวของฝ่ายตรงข้าม ระบุว่าอีกฝ่ายอยู่ที่ระดับยี่สิบ พร้อมด้วยสัญลักษณ์ธนูสีดำ ซึ่งบ่งบอกถึงอาชีพของเขา
เขาก้าวไปข้างหน้าอย่างมั่นคง แล้วพูดด้วยเสียงต่ำ:
“ฉันอยากรู้จริงๆ ว่าทำไมถึงต้องจ้องจะเล่นงานสองพี่น้องนี้ด้วย”
จวงเซิ่งยิ้มเยาะ:
“กำจัดปีศาจต้องมีเหตุผลด้วยเหรอ?”
ไป๋อวี้ตอบเสียงหนักแน่น:
“หยวนชิงเสวี่ย ไม่ใช่ปีศาจ แต่ทำไมถึงจะฆ่าเธอด้วย?”
“การกำจัดปีศาจต้องสิ้นซาก” จวงเซิ่งหัวเราะเยาะ “เธอขวางทางฉัน นั่นแปลว่าเธอปนเปื้อนพลังปีศาจแล้ว ฆ่าเธอตอนนี้ก็เป็นเรื่องดี จะได้ไม่ต้องตามมาเก็บอีกในอนาคต”
คำพูดนั้นทำให้ไป๋อวี้แทบพูดไม่ออก
“ช่างเป็นข้ออ้างที่ฟังดูสูงส่งจริงๆ!” ไป๋อวี้เกือบหัวเราะด้วยความโกรธ “เจ้าเล่ห์แล้วยังกล้าอ้างเรื่องปราบปีศาจพิทักษ์ธรรมอีก!”
จวงเซิ่งเร่งเร้าอย่างไม่สนใจ:
“คิดดีแล้วหรือยัง? จะอยู่รอความตาย หรือจะรีบไสหัวไปให้ไกลๆ”
ไป๋อวี้ตอบกลับด้วยน้ำเสียงเรียบแต่แฝงความเยาะเย้ย:
“ถ้าฉันหันหลังเดินไป นายก็ต้องแอบโจมตีแน่ๆ ตั้งแต่แรกนายก็ไม่คิดจะปล่อยใครรอดไป แล้วจะทำเป็นคนดีไปทำไม? แม้แต่จิตสังหารของนายก็ไม่คิดจะปิดบัง นายคิดว่าฉันเป็นเด็กโง่หรือไง?”
จวงเซิ่งแค่นเสียงเย็นชา:
“นายหาที่ตายเอง อย่าโทษฉันก็แล้วกัน!”
เสียงสายธนูถูกดึงจนดังสะเทือน เสียงคลื่นอากาศกรีดกระแทกพื้นดิน เหมือนมีล้อกลิ้งขึ้นมา บดขยี้เศษดินทรายและหินให้แตกกระจายราวกับถูกฟันด้วยคมมีด
“บุกเข้าไปใกล้!” ฉินเสวี่ยเจ่า ส่งเสียงเตือน
แต่ก่อนที่เสียงจะดังจบ ไป๋อวี้ก็พุ่งตัวออกไปแล้ว พลังลมปราณในจุดตันเถียนหมุนเวียนราวกับเครื่องจักรไอน้ำ กระตุ้นให้ร่างกายเขาเต็มไปด้วยพละกำลัง
ด้วยท่ากระโดดที่เฉียบขาด เขาหลีกเลี่ยงคลื่นอากาศที่ซัดเข้ามาอย่างแม่นยำ
เขาเคลื่อนตัวอย่างคล่องแคล่ว เลี้ยวซ้ายเลี้ยวขวาในเส้นทางรูปตัว Z เพื่อหลบหลีก พร้อมกับร่นระยะห่างเข้าหาศัตรูอย่างรวดเร็ว
ภายในไม่ถึงห้าวินาที ระยะห่างสามสิบเมตรถูกย่อจนหมดสิ้น
จวงเซิ่งยิ้มเยาะ เขากุมลูกธนูไว้แน่น “นักฆ่าปีศาจอย่างฉันไม่ใช่แค่ยิงธนูได้หรอกนะ! พละกำลังขนาดนี้ถึงดึงคันธนูสีดำออกได้ แล้วนายคิดว่าการสู้ระยะประชิดจะย่ำแย่หรือไง?”
นับตั้งแต่โบราณมา นักธนูคือยอดนักรบเสมอ!
เมื่อไป๋อวี้เข้ามาใกล้พอ จวงเซิ่งก็เตรียมพุ่งลูกธนูไปที่ลำคอของเขา
แต่ทันใดนั้น ไป๋อวี้กลับหยุดการเคลื่อนไหวกะทันหัน ลดความเร็วของตัวเอง และยกมือซ้ายขึ้นมา
เขาคว้ากำทรายผสมเศษหินและดิน โยนเข้าหน้าจวงเซิ่งอย่างแม่นยำ
ถึงแม้จวงเซิ่งจะมีประสบการณ์ต่อสู้กับปีศาจมนุษย์มามากมาย แต่ส่วนใหญ่ที่เขาเจอเป็นพวกที่สิ้นสติ ไม่มีกลอุบายแยบยล
เขาไม่เคยเจอการโจมตีแบบโยนทรายใส่หน้ามาก่อนเลยในชีวิต
จวงเซิ่งตาพร่าทันที แม้จะพยายามพุ่งลูกธนูออกไป แต่การเคลื่อนไหวช้าลงจนพลาดเป้า
“ไอ้เด็กนรก!”
เขากลืนทรายเข้าไปเต็มปากและรู้สึกอับอาย ดวงตาแสบจนมองไม่เห็น เขาตะโกนด่าออกมาอย่างโกรธเกรี้ยว
เวลาช่วงสั้นๆ สองสามวินาทีที่การมองเห็นถูกบดบัง ไป๋อวี้ใช้โอกาสนี้เคลื่อนตัวอย่างรวดเร็ว
แม้จวงเซิ่งจะมองไม่เห็น แต่ไป๋อวี้รู้ตำแหน่งศัตรูชัดเจน
เขาหมอบต่ำหลบการโจมตีจากลูกธนูที่พุ่งออกมา และหาจุดอ่อนที่ด้านหลังของจวงเซิ่งได้ทันที
มือของเขาคว้าสิ่งหนึ่งออกมา... เป็นไม้เบสบอลที่แข็งแรง
ไป๋อวี้ยกไม้ขึ้นสูงและฟาดลงที่ท้ายทอยของจวงเซิ่งอย่างรุนแรง
การโจมตีครั้งนี้ไม่มีความปรานี
ไม้เบสบอลกระแทกเต็มแรง เป้าหมายคือตัดสินทุกอย่างด้วยการโจมตีเดียว!
ฉินเสวี่ยเจ่า เคยบอกไว้แล้วว่า ผู้ติดตามของดาวหายนะล้วนเป็นพวกบ้าคลั่งและอันธพาล การฆ่าพวกเขาเหมือนเป็นการช่วยเหลือชาติ เพราะไม่มีใครมาเอาผิด และถือว่าเป็นการกำจัดภัยร้ายให้ประชาชน ถึงแม้จะไม่ได้รับรางวัลใดๆ ก็ตาม
ไป๋อวี้คิดว่าการฟาดด้วยไม้เบสบอลเมื่อครู่น่าจะเพียงพอที่จะทำให้ศีรษะแตก
แต่ทันใดนั้น วงแหวนสีเหลืองก็ส่องสว่างขึ้น พร้อมกับแรงสั่นสะเทือนที่ส่งกลับมา
ไป๋อวี้รู้สึกถึงแรงปะทะรุนแรงกระแทกกลับมาที่ตัวเขา เขาอุทานด้วยความตกใจ: "เวรเอ๊ย!" ร่างทั้งร่างพร้อมไม้เบสบอลถูกแรงสั่นสะเทือนกระแทกจนปลิวขึ้นกลางอากาศ แต่เขาปรับสมดุลร่างกายอย่างรวดเร็ว พลิกตัว 360 องศา ก่อนลงสู่พื้นอย่างมั่นคง
จวงเซิ่งเอามือแตะที่กระเป๋าบริเวณหน้าอก แสงสีส้มจากวัตถุพิเศษชิ้นหนึ่งส่องประกายออกมา มันปกป้องเขาไว้เพียงไม่กี่วินาที ก่อนที่วัตถุนั้นจะแตกสลาย
ดวงตาของจวงเซิ่งเต็มไปด้วยความโกรธ วัตถุพิเศษชิ้นนี้เป็นของขวัญจบการศึกษาที่อาจารย์ให้เขา แม้แต่การโจมตีจากผู้มีพลังระดับสามก็ไม่อาจทำอันตรายได้ แต่เขาต้องมาใช้มันที่นี่?
เกือบถูกเด็กเวรนี่ฆ่าได้งั้นหรือ? นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน!
ใบหน้าของจวงเซิ่งบิดเบี้ยวด้วยความโกรธ เขากำคันธนูแน่น:
“ฉันจะยิงลูกธนูเจาะแขนขาของแกทีละข้าง และสุดท้ายฉันจะเสียบธนูเข้าหัวใจของแกแล้วหมุนสามรอบ ให้แกตายอย่างทรมานที่สุด!”
เขาเค้นเสียงพูดอย่างเคียดแค้น ไม่เหลือท่าทีเยาะเย้ยเหมือนก่อนหน้าอีกแล้ว
ไป๋อวี้ยืนขึ้นแล้วถอนหายใจด้วยความเสียดาย เขาหวังว่าจะจัดการอีกฝ่ายได้ในคราวเดียวเมื่อเผลอ แต่น่าเสียดายจริงๆ...
เขากำไม้เบสบอลในมือ ขยับมันให้หมุนไปหนึ่งรอบในอากาศ แล้วปล่อยให้มันห้อยลงเป็นเส้นตรงจากแขนของเขา
ไป๋อวี้ยิ้มเบาๆ มีความสุขและรู้สึกสะใจในน้ำเสียง:
“แบบนี้สิ ถึงจะตรงกับตัวตนของนาย ถอดหน้ากากน่ารังเกียจของนายออกเถอะ”
“นายไม่ได้เป็นคนดีอะไรที่จะมาปราบปีศาจเพื่อโลกใบนี้หรอก ก็แค่ซ่อนความเห็นแก่ตัวไว้ใต้คำพูดสูงส่งเท่านั้น ปากบอกเรื่องคุณธรรม แต่ใจกลับเต็มไปด้วยความโลภและการคำนวณเพื่อตัวเอง”
“แล้วนายคิดว่านายเหมาะจะพูดเรื่องปราบปีศาจหรือ?”
“ใครกันแน่คือปีศาจ?”
บทที่ 92 ( บทโฆษณาชองผู้เขียน)