บทที่ 76: หอคณิกา
“ไอ้ตูดหมึก เจ้าไปทำอะไรบนนั้น รีบลงมาแล้วกลับไปกับข้าเดี๋ยวนี้นะ!” มู่ไป๋ไป่เงยหน้าขึ้นแล้วตะโกนใส่เจ้าส้ม “เร็วเข้า! นี่ก็ดึกมากแล้ว เสียเวลาพักผ่อนของข้าจริง ๆ”
“ไม่” แมวอ้วนขยับตัวซุกเข้าไปในรังนกโดยหันก้นให้กับเธอแทน “ข้าผู้นี้ถูกบังคับให้ต้องแยกจากแม่นางขาวมณีที่รักของข้า อยู่ที่นี่อย่างน้อยข้าก็ได้อยู่ใกล้แม่นางขาวมณีของข้ามากยิ่งขึ้น เจ้ายังอยากจะให้ข้าลงไปจากที่นี่อีกหรือ มู่ไป๋ไป่ เจ้ามันไม่มีหัวใจ”
“...” ความรักทำให้แมวเสียสติจริง ๆ
“เจ้าจะไม่ลงมาใช่หรือไม่?” มู่ไป๋ไป่เหลือฟางเพียงเส้นสุดท้าย ในขณะที่พยายามระงับอารมณ์ของตัวเองเอาไว้เต็มที่
ทว่าเจ้าส้มก็ยังส่งเสียงร้องแสดงออกว่ากำลังรำคาญ
ส่วนเซียวถังอี้ก็กอดอกพิงอยู่ต้นไม้ใกล้ ๆ มองดูการสนทนาระหว่างมนุษย์กับแมวด้วยความสนใจ
“เอาล่ะ ถ้าเจ้าไม่ยอมลง ข้าจะขึ้นไปจับเจ้าเอง” เด็กหญิงเลิกแขนเสื้อตัวเองขึ้น และพยายามกอดต้นไม้ใหญ่ ก่อนจะเริ่มปีนขึ้นไปพลางบ่นไม่หยุดปากว่า “คอยดูเถอะ อย่าให้ข้าจับเจ้าได้นะ มิเช่นนั้น 1 เดือนหลังจากนี้ข้าจะให้เจ้างดกินน่องไก่”
“มู่ไป๋ไป่! ทำไมเจ้าถึงได้โหดร้ายกับแมวตัวนี้นัก!” เจ้าส้มลุกขึ้นแล้วย่ำเท้าเดินวนอยู่บนรังนกด้วยความโกรธ “เจ้าปล่อยให้ข้าอยู่ที่นี่ตัวเดียวสักพักไม่ได้หรือ?”
มันเพียงแค่อยากจะคิดถึงแม่นางขาวมณีอยู่เงียบ ๆ ตัวเดียวก็เท่านั้น
คนตัวเล็กไม่สนใจจะพูดกับมันอีก ใช้เวลาไม่นานเธอก็กระเถิบตัวไปยังจุดที่สามารถเอื้อมถึงรังนกได้ จากนั้นก็อาศัยตอนที่แมวอ้วนไม่ทันตั้งตัวคว้าหลังคอมันมากอดไว้
“แง้วววว! มู่ไป๋ไป่ ยัยปีศาจโหดเหี้ยม ปล่อยข้าไปนะ!” เจ้าส้มพยายามดิ้นรนสุดแรงเกิดพร้อมกับตวัดกรงเล็บไปมา แต่มันก็ไม่สามารถสู้แรงของอีกฝ่ายได้อยู่ดี
มู่ไป๋ไป่คว้ามันมานอนกอดอยู่บนต้นไม้ บัดนี้เสื้อผ้าที่สะอาดของเธอเต็มไปด้วยเศษผงมากมาย และใบหน้าเล็ก ๆ ของเธอก็เปื้อนฝุ่นไม่สมกับเป็นองค์หญิงเลย
เจ้าส้มยังคงนอนอยู่ในอ้อมแขนของเธอ มันดูเหมือนจะยอมจำนน ซึ่งทำให้เธอต้องขมวดคิ้วสงสัย
“แค่เพียงแมวตัวเมียตัวหนึ่งเองไม่ใช่หรือ?” เด็กหญิงส่ายหัวเบา ๆ “ถ้าเรากลับไป ข้าจะหาแฟนให้เจ้า 10 ตัวเลย เจ้าสามารถเลือกได้ตามใจชอบ”
“ที่มันทำทั้งหมดนี้ก็เพราะแมวตัวหนึ่งอย่างนั้นหรือ?” เซียวถังอี้ถามแกมขบขันหลังจากเฝ้าดูบทสนทนาของคนกับแมวมานาน “ดูเหมือนกับว่ามันกำลังอยู่ในช่วงฤดูผสมพันธุ์”
มู่ไป๋ไป่รู้สึกขัดเขินที่ต้องพูดเรื่องเช่นนี้ต่อหน้าผู้ชายจึงไม่ได้ตอบอะไร
“แม้ว่าเจ้าจะหาแมวตัวเมียมาให้ข้าสัก 100 ตัว ข้าก็คงไม่อยากได้พวกมัน” เจ้าส้มยังคงเถียงขาดใจ “แม่น้ำรั่วสามพันลี้ เพียงหนึ่งจอกก็ดับกระหาย* ข้าไม่ใช่มู่เทียนฉงนะ ที่จะต้องมีเมียหลาย ๆ คน”
*เป็นสำนวนเปรียบเปรย มีความหมายว่า แม้ว่าจะมีผู้คนมากมายให้เลือกรัก แต่ก็จะรักเพียงแค่คนคนเดียว
มู่ไป๋ไป่แทบอยากจะหัวเราะออกมาดัง ๆ หลังจากที่มันพบแมวตัวเมียตัวนั้น ดูเหมือนว่ามันจะเจ้าบทเจ้ากลอนขึ้นเยอะ เพราะเกือบทุกประโยคจะต้องมีสำนวนเปรียบเปรยอยู่ทุกครั้งไป
“มู่ไป๋ไป่ เจ้าให้ข้าไปหาแม่นางขาวมณีได้หรือไม่?” จู่ ๆ เจ้าส้มก็เริ่มมีสีหน้าจริงจัง “ข้าสัญญาว่าขอเพียงแค่ได้พบหน้าแม่นางขาวมณีอีกครั้ง ข้าจะรีบกลับมาทันที”
“วันนี้ข้ากับนางต้องรีบแยกจากกัน ยังมีเรื่องที่เรายังไม่ได้พูดคุยกันอีกตั้งมากมาย”
“ได้หรือไม่?”
มันรู้ว่าเด็กคนนี้เป็นคนจิตใจอ่อนโยน มันจึงยกอุ้งเท้าไปแตะมืออีกฝ่ายและร้องออดอ้อนเบา ๆ
เนื่องจากเซียวถังอี้ไม่เข้าใจภาษาสัตว์ ดังนั้นเมื่อเขาเห็นการเคลื่อนไหวแปลก ๆ ของเจ้าส้ม เขาจึงถามขึ้นมาว่า “มันหมายความว่าอย่างไร มันกำลังขอร้องให้เจ้าปล่อยมันไปหาแมวตัวเมียตัวนั้นหรือ?”
มู่ไป๋ไป่เหลือบมองเด็กหนุ่มโดยคิดว่าบุคคลนี้ถึงจะคาดเดาไม่ได้ไปสักหน่อย แต่การคาดการณ์ของเขาก็จะค่อนข้างแม่นยำ
เธอเริ่มรู้สึกรำคาญเจ้าแมวส้มตัวนี้แล้ว ดังนั้นเธอจึงโยนมันลงพื้นพร้อมพูดด้วยความโกรธว่า “เจ้าจะไปไหนก็ไป ข้าไม่เข้าใจเลยสักนิดว่าเจ้าไปหลงรักมันตรงไหน!”
ทันทีที่เท้าของมันแตะพื้น มันก็หันหลังมุ่งหน้าเข้าป่าไปยังทิศทางกลับเมืองหลวง
เธอยังคงได้ยินเสียงขี้เล่นของมันดังมาจากที่ห่างไกลด้วย
“มู่ไป๋ไป่ แล้วข้าจะรีบกลับมา!”
“...” เด็กหญิงแค่นเสียงเยาะเย้ยในลำคอ พลางคิดกับตัวเองว่า คงจะแปลกถ้าเธอยอมเชื่อมัน!
เดิมทีเธอออกมาก็เพื่อฆ่าเวลา แต่สุดท้ายแล้วกลับเป็นการพาเจ้าแมวนี่มาปล่อยให้มันไปทำตามใจปรารถนาแทน
มู่ไป๋ไป่อยากจะกลับเรือนพักของตัวเอง แต่ก็ต้องตกตะลึงเมื่อเธอเงยหน้าขึ้นแล้วพบว่าตอนอยู่นอกวัดฮู่กั๋วแล้ว ก่อนหน้านี้ตอนที่เธอถูกเซียวถังอี้พามาที่นี่ เธอไม่ได้สังเกตสภาพแวดล้อมโดยรอบเลย
บัดนี้เธอรู้แล้วว่าสภาพแวดล้อมโดยรอบนั้นรกร้างมากเพียงใด และเธอก็เห็นทิศทางของเมืองหลวงได้อย่างชัดเจน ดูเหมือนว่าพวกเธอเกือบจะมาถึงตีนเขาแล้ว
ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมเจ้าส้มถึงวิ่งมาที่นี่
มู่ไป๋ไป่แอบบ่นอยู่ในใจ เธอกัดฟันแน่นและดิ้นรนอยู่นานก่อนที่จะหันไปหาเซียวถังอี้แล้วพูดอย่างไม่เต็มใจว่า “นี่ ข้าอยากกลับแล้ว”
เด็กหนุ่มเลิกคิ้วขึ้นเป็นการตั้งคำถามพลางแบมือยักไหล่
“...” มู่ไป๋ไป่ที่เห็นเช่นนั้นก็กัดฟันแทบแตก พร้อมกับสงสัยว่าคนผู้นี้จงใจหรือไม่ “ข้าจะกลับแล้ว ท่านรีบพาข้าไปส่งสิ!”
เธอสาบานว่าจะไม่ให้เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นอีกในครั้งต่อไป เธอจะต้องจำมันให้ขึ้นใจ
เซียวถังอี้ยังคงยืนพิงต้นไม้ ยิ้มหวาน และเอ่ยปากว่า “ฝันไปเถอะ”
“...”
อ๊ากกกกกกกกกก!!
คนตัวเล็กได้แต่กรีดร้องในใจ เธอคิดไว้ไม่มีผิดว่าผู้ชายคนนี้มันไอ้สารเลว!
คราวหน้าอย่าได้เจอะได้เจอกันอีกเลย ไม่อย่างนั้นเธอจะใช้แส้ฟาดเขาให้ยับเลยคอยดู!
มู่ไป๋ไป่หันหลังเดินปั้นปึ่งออกไปโดยเลือกทิศทางแบบสุ่ม พร้อมกับสาปแช่งอีกฝ่ายอยู่ในใจ และสาบานว่าจะไม่มีวันพบเจอกับคนผู้นี้อีก
อย่างไรก็ตาม มีกี่อึดใจต่อมา เธอก็กลับไปยังสถานที่เดิมและจ้องหน้าเซียวถังอี้นิ่ง
เมื่อครู่เธอกำลังเดินไปผิดทาง ซึ่งเธอไม่ได้ใส่ใจที่จะมองทิวทัศน์รอบข้างด้วยซ้ำ ทำให้เธอเกือบตกลงไปในหลุมที่ลึกมาก
ในขณะที่มู่ไป๋ไป่กำลังตบตีกับตัวเองอยู่ในหัวว่าจะขอร้องเขาดีหรือไม่ หรือจะหลอกล่อให้เขาส่งเธอกลับไป แต่ยังไม่ทันที่เธอจะได้ตัดสินใจ อีกฝ่ายก็เลี้ยวเดินไปอีกทาง
“นี่ ท่านจะไปไหน?” เด็กหญิงมองไปยังทิศทางที่เด็กหนุ่มเดินไป จากนั้นก็มองย้อนกลับไปยังป่าที่มืดมิดคล้ายกับมีสัตว์ร้ายซ่อนตัวอยู่ เธอจึงกัดฟันเดินตามคนตัวสูงกว่าไป
เซียวถังอี้ยังคงทำเป็นไม่สนใจคนตัวเล็กตลอดทาง เขามุ่งหน้าเดินเข้าไปในเมืองอย่างช้า ๆ
ตอนแรกมู่ไป๋ไป่พยายามชวนเขาคุย แต่เขาก็ไม่ยอมตอบ สุดท้ายเธอก็ยอมแพ้แล้วหุบปากเดินตามเขาไปไม่ไกลนัก พลางคิดในหัวว่าควรจะทำอย่างไรต่อไปดี
ตัวเธอนั้นไม่รู้ทาง ดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้ที่เธอจะกลับไปที่วัดฮู่กั๋วในตอนนี้ และถ้าเธอกลับไปที่เมือง มันก็เป็นไปไม่ได้ที่เธอจะเดินทางกลับไปตามลำพังอยู่ดี
บ้าเอ๊ย ตัวฉันยิ่งน่ารักซะด้วย ถ้าฉันโดนผู้ชายคนนี้ลักพาตัวไปขายจริง ๆ ล่ะ?
มู่ไป๋ไป่ไม่รู้ว่าพวกเธอเดินมานานแค่ไหน แต่ในที่สุดเซียวถังอี้ก็หยุดแล้วหันมาเผชิญหน้ากับเธอ
เด็กหญิงซึ่งเดินมานานจนปวดน่องกำลังจะรู้สึกมีความสุข แต่จู่ ๆ ก็ตระหนักได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติ
ด้านหลังระเบียงชั้น 2 มีสตรีหลายคนที่อยู่ในชุดสีสันสดใส และโบกผ้าเช็ดหน้าให้กับคนที่เดินผ่านไปผ่านมาชั้นล่าง
เมื่อมู่ไป๋ไป่มองดูผู้คนที่เดินเข้าออก เธอก็เข้าใจได้ทันทีว่าสถานที่แห่งนี้คือสถานที่อะไร
เจ้าสัตว์ประหลาดคนนี้พาเด็กน้อยอย่างเธอมาที่หอคณิกา!
พอคนตัวเล็กเห็นว่าเด็กหนุ่มกำลังเดินเข้าไป ทีแรกเธอคิดจะติดตามเขาไป แต่แล้วเธอก็ฉุกคิดขึ้นมาได้ สถานที่แห่งนี้เต็มไปด้วยผู้คน มันจะเกิดอะไรขึ้นถ้าเธอโชคไม่ดีและถูกแม่เล้าจับตัวไป
ดังนั้นเธอจึงเดินถอยห่างออกจากประตูไปอย่างรวดเร็ว ก่อนจะเดินอ้อมไปด้านข้างแล้วปีนกำแพงเข้าไป
ในตอนที่มู่ไป๋ไป่มาถึง เธอเพิ่งได้ยินเขากำลังพูดบางสิ่งกับใครสักคน จากนั้นเสี่ยวเอ้อร์ก็ตอบว่า ‘ชั้น 2’ เธอจึงหันหลังกลับไปและพบบันได จากนั้นก็เอามันมาพาดไว้บนกำแพง ก่อนจะปีนมันขึ้นไปอย่างชำนาญ
โชคดีที่เดินผ่านเพียง 2 ห้อง เธอก็พบเซียวถังอี้
อีกฝ่ายกำลังนั่งเอนตัวอยู่ที่โต๊ะ และมีผู้หญิงที่สวมชุดสีเหลืองยื่นจอกสุราไปจรดที่ริมฝีปากของเขาพร้อมกับรอยยิ้ม