บทที่ 74: ข้ามีตา
เมื่อหลัวเซียวเซียวเห็นว่ามู่ไป๋ไป่กำลังจะไปเดินเล่นอีกครั้ง ใบหน้าของนางก็เปลี่ยนเป็นตกใจ และนางก็รีบห้ามอีกฝ่ายเอาไว้ “องค์หญิงหก พระองค์ทรงอย่าได้เสี่ยงชีวิตอีกเลยเพคะ วันนี้เซียวเซียวกลัวแทบตาย ถ้ามันเกิดขึ้นอีกครั้ง เซียวเซียวคงได้ตายจริงแน่”
“วันนี้มันเป็นเพียงแค่อุบัติเหตุ” มู่ไป๋ไป่เงยหน้าขึ้นปลอบใจสหาย “ดูสิ ตอนนี้เราปลอดภัยดีไม่ใช่หรือ?”
หลัวเซียวเซียวเม้มปากและไม่ยอมพูดอะไรอีก
วันนี้ตอนที่พวกนางไปเที่ยวเล่นที่ตลาด นางก็รู้สึกว่าตัวเองอ่อนแอและไร้พลังยามที่เห็นองค์หญิงถูกพาตัวไปต่อหน้าต่อตา
ในระหว่างที่คิดนางก็กระชับมีดสั้นที่ซ่อนอยู่ในแขนเสื้อแน่น
เดิมทีนางคิดว่าหลังจากได้ร่ำเรียนวิชาการต่อสู้จากองครักษ์เงาขององค์รัชทายาทแล้ว นางจะสามารถปกป้องมู่ไป๋ไป่ได้
แต่ในความเป็นจริง พอเผชิญหน้ากับอันตราย นางก็ไม่สามารถทำอะไรได้นอกจากยืนโง่ ๆ อยู่ที่เดิม
ข้ายังอ่อนแอเกินไป!
เมื่อมู่ไป๋ไป่เห็นหลัวเซียวเซียวก้มหน้าเงียบ เธอก็ก้มศีรษะลงไปมองอีกฝ่าย ซึ่งพอดีกับที่มีเสียงไทเฮาเรียกเธอจากด้านหน้า
“ไป๋ไป่ มานี่สิ” ไทเฮาที่มีชิงเยว่ช่วยพยุงลงจากรถม้ากำลังโบกมือให้เธอ “ทางที่เหลือต่อจากนี้เป็นทางขึ้นเขา มานี่ เจ้ามาเดินกับย่า”
มู่ไป๋ไป่หันไปมองซูหว่าน หลังจากได้รับการอนุญาตจากแม่แล้ว เธอก็รีบวิ่งไปจับมือผู้เป็นย่า
จากนั้นเจ้าอาวาสและไต้ซือที่มาต้อนรับไทเฮาต่างก็มองดูเด็กหญิงด้วยสายตาประเมิน เพราะเมื่อหลายปีก่อนที่ไทเฮาเสด็จมาที่วัดฮู่กั๋ว พวกเขาไม่เคยเห็นพระนางปฏิบัติตัวเช่นนี้กับองค์หญิงหรือองค์ชายคนใดแบบนี้เลย
เมื่อมู่ไป๋ไป่สัมผัสได้ถึงสายตาประเมินของทุกคน เธอก็ยิ้มสดใสให้กับพวกเขาก่อนจะเอ่ยขึ้นว่า “นมัสการไต้ซือ”
มู่ไป๋ไป่เป็นคนผิวขาวและเรียบเนียน ยามที่เธอยิ้มยิ่งทำให้ใบหน้าผ่องใส ทันใดนั้นเหล่าไต้ซือก็รู้สึกจิตใจหวั่นไหว แล้วพวกเขาก็ชื่นชมในความน่ารักของเธอ
ไทเฮาที่มีพระเกียรติสูงที่สุดเดินนำอยู่ด้านหน้าขบวนที่กำลังเดินขึ้นไปบนภูเขาโดยจับมือหลานสาวเอาไว้ ในระหว่างนั้นเหล่าไต้ซือก็ได้อธิบายเกี่ยวกับพืชและต้นไม้ที่เรียงรายอยู่ข้างทางให้พระนางฟัง
แม้ว่าภูเขาจะไม่ได้สูงนัก แต่มู่ไป๋ไป่ที่ยังอยู่ในร่างเด็กเดินมาได้เพียงครึ่งทางก็ทนไม่ไหวแล้ว เดิมทีเธออยากขออนุญาตไทเฮาให้เรียกองครักษ์มาอุ้มเธอขึ้นไป แต่ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดพระนางถึงหันมามองเธอแล้วก็อุ้มเธอเดินขึ้นเขาเอง
“ท่านย่า! รีบวางหม่อมฉันลงเร็วเข้า!” เด็กหญิงตกใจมากเพราะกลัวว่าตนอาจจะไปเป็นต้นเหตุที่ทำให้เอวของพระนางเคล็ด แบบนี้มันจะเป็นผลเสียมากกว่าผลดีไม่ใช่หรือ?
“ไม่เป็นไร” เด็กน้อยในอ้อมแขนไทเฮานั้นทั้งตัวนุ่มนิ่มทั้งน่ากอด มันให้ความรู้สึกดีมากยามที่พระนางอุ้มเด็กคนนี้ไว้ในอ้อมแขน
“ไม่ได้เพคะ! ทางเดินขึ้นเขายากลำบากนัก ถ้าเกิดท่านย่าล้มไปหม่อมฉันจะทำอย่างไร” มู่ไป๋ไป่ยังคงยืนกรานด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “ท่านย่าไทเฮา ในครั้งนี้เรามาสวดมนต์เพื่อขอพรให้กับแคว้นเป่ยหลง มันคงไม่เป็นมงคลหากเราได้รับบาดเจ็บระหว่างทางขึ้นเขานะเพคะ”
หลังจากไทเฮาได้ยินสิ่งที่หลานสาวพูด พระนางก็ยอมแพ้และยอมส่งต่อมู่ไป๋ไป่ให้กับองครักษ์อย่างไม่เต็มใจ
2 เค่อต่อมา ทุกคนก็เดินมาถึงยอดเขา
ตามกฎของปีก่อน ไทเฮาจะพักอยู่ในเรือนที่แยกออกจากคนอื่น ส่วนองค์หญิงและพระสนมก็จะพักอยู่ที่เรือนอีกแห่ง
อย่างไรก็ตาม ในปีนี้ไทเฮาทรงอุ้มหลานสาวไปยังเรือนรับรองส่วนพระองค์โดยตรง และคอยให้นางอยู่ข้างกายตลอดเวลา โดยให้เหตุผลว่ามู่ไป๋ไป่จะสามารถฟังคำอธิบายและพระธรรมเทศนาของเจ้าอาวาสได้เข้าใจมากขึ้นหากอยู่ข้างกายพระนาง
และนั่นทำให้หว่านผินไม่อาจปฏิเสธได้ แต่มู่ไป๋ไป่รู้สึกว่ามันไม่สำคัญเลยว่าตนจะอาศัยอยู่ที่ใด
หลังจากตกลงกันได้ลงตัวแล้ว ทุกคนจึงได้แยกย้ายกันไปพักผ่อนก่อนค่ำ
ที่นี่ไม่ได้งดงามเท่ากับในวังหลวง ขณะนี้พระอาทิตย์เพิ่งจะตกดิน ทำให้ภูเขาทั้งลูกตกอยู่ในความเงียบงัน
ส่วนเจ้าส้มที่ใช้พลังงานมาทั้งวันก็นอนอยู่ข้างหน้าต่างพลางมองไปยังทิศทางที่ตั้งของเมืองหลวงพร้อมกับทอดถอนหายใจ
“เจ้าจะถอนหายใจทำไม?” มู่ไป๋ไป่รู้สึกรำคาญเสียงถอนหายใจของแมวอ้วน ดังนั้นเธอจึงหยิบของเล่นที่ซื้อมาในวันนี้ออกมาขว้างใส่มัน “นี่เจ้าติดสัดหรืออย่างไร?”
“เจ้ายังเป็นเด็กอยู่เลย เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าติดสัดคืออะไร” เจ้าส้มมองย้อนกลับไป “ข้าคิดถึงแม่นางขาวมณีชะมัด…”
‘แม่นางขาวมณี’ คือแมวตัวสีขาวซึ่งเป็นตัวต้นเหตุที่ทำให้เจ้าส้มหายตัวไปในวันนี้
มุมปากของมู่ไป๋ไป่กระตุกทันที “ข้าเห็นว่าเจ้าไม่สนใจแมวตัวไหนสักตัวในวังหลวงเลย ทำไมเจ้าถึงโดนแมวป่าตกทันทีที่ออกจากวังล่ะ? เจ้านี่มันเกินความคาดหมายของข้าจริง ๆ สมแล้วที่เป็นแมวผีเข้าผีออก”
“ฮึ! ดอกไม้บ้านไม่หอมเท่าดอกไม้ป่า” เจ้าส้มแค่นเสียงในลำคออย่างเย่อหยิ่ง “เจ้าคงไม่เข้าใจหรอก”
“แค่ก ๆ” เด็กหญิงแทบสำลักน้ำลาย “เจ้าไปเรียนรู้คำพูดไร้สาระพวกนี้มาจากไหนกัน!”
เธอเพิ่งค้นพบว่าเวลาเพียง 1 วันหลังออกจากวังหลวง เจ้าส้มได้เปลี่ยนไปแล้ว มันไม่ได้ไร้เดียงสาเหมือนเดิมอีกต่อไป
ยามนี้แมวตัวโตนอนหน้าคว่ำเลิกพูดกับมู่ไป๋ไป่ และยังคงคิดถึงแม่นางขาวมณีของมันไม่หยุดหย่อน
ส่วนคนตัวเล็กก็นอนกลิ้งอยู่บนเตียงเป็นเวลาเกือบ 1 ก้านธูป เธอรู้สึกนอนไม่หลับและเบื่อหน่าย จึงลุกขึ้นเปลี่ยนเสื้อผ้าเตรียมพร้อมที่จะออกไปเล่นกับหลัวเซียวเซียว
เนื่องจากที่เรือนรับรองมีห้องพักไม่เพียงพอ หลัวเซียวเซียวจึงถูกจัดให้ไปพักรวมอยู่ในเรือนพักของเหล่าสตรีในวัง ซึ่งอยู่ห่างจากที่พักของมู่ไป๋ไป่ไปเล็กน้อย
เด็กหญิงอาศัยความทรงจำในหัวเดินไปที่นั่นช้า ๆ โดยหยุดเป็นครั้งคราวเพื่อชมทิวทัศน์ยามค่ำคืนโดยรอบ
ในคืนนี้มีเพียงเมฆบาง ๆ ลอยคลออยู่บนท้องฟ้า ทำให้ดวงจันทร์สามารถส่องแสงมายังโลกได้อย่างเต็มที่ ส่งผลให้พืชพรรณบนภูเขาดูเหมือนจะถูกปกคลุมไปด้วยชั้นแสงจันทร์สีนวล ทำให้เธอคิดถึงภาพที่วิญญาณโสมดูดซับพลังฟ้าดินในครั้งที่แล้ว
มู่ไป๋ไป่แอบคิดกับตัวเองว่าอาจจะมีพืชบนภูเขานี้ที่กำลังบำเพ็ญเพียรจนมีจิตวิญญาณเหมือนต้นโสม หลังจากนั้นไม่นาน มู่ไป๋ไป่ก็เริ่มตามหาพวกมัน
แต่จู่ ๆ คนตัวเล็กก็เห็นชายคนหนึ่งมายืนอยู่ระหว่างทางเดินตรงหน้าเธอ เขาสวมชุดคลุมสีดำและมีหน้ากากเงินบดบังใบหน้า เขายืนเอามือไพล่ไว้ข้างหลังขณะเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า ภาพของเขาที่สะท้อนอยู่ใต้แสงจันทร์นั้นงดงามดุจวิญญาณแห่งพงไพร
ราวกับว่าเขารับรู้ถึงสายตาของเธอ ชายคนนั้นค่อย ๆ ลดสายตาลง ทำให้เธอสามารถเห็นดวงตาเรียวยาวและเรียบเฉยภายใต้หน้ากากได้อย่างชัดเจน น่าแปลกที่นัยน์ตาคู่นั้นกลับน่าหลงใหล
มู่ไป๋ไป่จึงเผลอกลั้นหายใจโดยไม่รู้ตัวพร้อมกับหัวสมองว่างเปล่า
ทำไมก่อนหน้านี้เธอถึงไม่เห็นว่าดวงตาของคนผู้นี้งดงามมากเพียงใด?
ไม่ใช่สิ!
ทำไมจู่ ๆ เขาถึงมาอยู่ที่นี่กัน?
มันเป็นเรื่องบังเอิญหรือเป็นการไตร่ตรองไว้ล่วงหน้ากันแน่?
ท่านแม่ของเธอพูดถูก หัวใจของมนุษย์นั้นยากแท้หยั่งถึง และเธอจะต้องอยู่ให้ห่างจากบุคคลนี้
มู่ไป๋ไป่ตื่นจากภวังค์อย่างรวดเร็วและจ้องมองเด็กหนุ่มประหนึ่งว่ากำลังเผชิญหน้ากับศัตรูที่น่าเกรงขาม พร้อมกับค่อย ๆ ก้าวถอยหลังไปโดยวางแผนที่จะกลับไปยังเรือนพักของตัวเอง
ในช่วงเวลาแห่งความเงียบงันนี้ เจ้าส้มในอ้อมแขนของเด็กหญิงก็หลุดออกจากมือแล้ววิ่งหายเข้าไปในป่าจนเธอไม่อาจตามทัน
“แมวของเจ้าหนีไปแล้ว” เซียวถังอี้ช่วยเอ่ยปากเตือนคนตัวเล็กที่เอาแต่ยืนตกตะลึง
ทำให้มู่ไป๋ไป่ตวัดตามองเขาแบบโกรธ ๆ “ข้ามีตา ข้าเห็นมันแล้ว ท่านไม่จำเป็นต้องเอ่ยเตือนข้าหรอก!”
เซียวถังอี้เลิกคิ้ว เมื่อครู่ตอนที่เขาหันไปมองเจ้าตุ๊กตาตัวน้อยนี้ดูเหมือนว่านางจะกลัวเขา เขายังอยากจะรู้ว่าเพียงแค่ผ่านไปครึ่งวันมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ถึงทำให้ท่าทีของนางที่มีต่อเขาเปลี่ยนไปมากราวกับพลิกฝ่ามือ
ตอนนี้ดูเหมือนว่าเด็กหนุ่มจะคิดมากเกินไป เพราะเจ้าตัวเล็กคนนี้คงไม่รู้ว่าคำว่า ‘กลัว’ เขียนอย่างไร
ถัดมา เซียวถังอี้ยื่นมือออกมาแล้วกระดิกนิ้วชี้ให้กับอีกฝ่ายคล้ายกำลังเรียกสุนัข ก่อนจะพูดว่า “มานี่”
“...” มู่ไป๋ไป่ชะงักไปและส่ายหัวปฏิเสธ “ไม่!”