บทที่ 735 ให้ข้าไปไห่ผิงโจว?
เฉินโม่เดินตามถนนใหญ่ในเมืองหลวงอยู่นาน ระหว่างทางเขาได้เห็นความรุ่งเรืองของโลกแห่งการฝึกตน
มันเป็นความยิ่งใหญ่ที่แตกต่างจากแคว้นเป่ยโจวทั้งสุขุมและมั่นคง
ผู้ฝึกตนส่วนใหญ่สวมเสื้อผ้าที่เรียบง่าย ร้านค้าสองข้างทางแม้จะดูเก่า แต่หลังจากการสั่งสมมานับพันปี บางร้านก็เริ่มมีเค้าโครงของถ้ำสวรรค์
ตัวอย่างเช่นร้านไป๋เฉ่าถังของสำนักเสินหนงที่มีความเชื่อมโยงกับโลกอีกใบหนึ่งผ่านดินแดนลับที่ตั้งอยู่ด้านหลัง
สำหรับเฉินโม่แล้ว ที่ตั้งปัจจุบันของเขาในภูเขาหยินเยว่คงต้องใช้เวลานับร้อยปีถึงจะเป็นเหมือนเมืองหลงหลิงแห่งแคว้นเป่ยโจว แต่หากหวังว่าจะพัฒนาไปเทียบกับเมืองหลวงของจงโจว คงไม่มีทางเป็นไปได้
ฟ้าดินและโอกาสทั้งสามสิ่งนี้ต้องครบถ้วนจึงจะสำเร็จ
เฉินโม่ไม่ได้เร่งรีบจึงเดินอยู่หลายชั่วโมง
แต่ในที่สุดเขาก็มาถึง หน่วยเทียนหลงเมื่อมองเข้าไปจากระยะไกลหลังคากระเบื้องแก้วหลากสีสันยังคงสวยงามจับตาและเขาถูกยามที่หน้าประตูขวางไว้
"เจ้าเป็นใคร?"
เฉินโม่จำอีกฝ่ายได้ครั้งก่อนก็เป็นเขาที่ขวางทางไว้
แต่ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะจำเขาไม่ได้ สิ่งที่เขาเรียกว่า “คนใหญ่คนโตมักลืมง่าย” ก็คงหมายถึงเรื่องนี้
“ข้าคือเฉินโม่จากผิงตูโจว มาตามคำสั่งของอู๋เตี้ยนหลี่”
“เฉินโม่?”
อีกฝ่ายคิดอยู่ครู่หนึ่งราวกับว่าเขาเคยได้ยินชื่อนี้มาก่อน แล้วพยักหน้าชี้ไปที่ประตูเล็กอีกด้านหนึ่ง “รู้ไหมว่าต้องเข้าจากทางไหน?”
“รู้”
หน่วยเทียนหลงเป็นหนึ่งในหกหน่วยของเมืองหลวง แต่ละหน่วยถือเป็นสถานที่ที่มีอำนาจมากที่สุดรองจากพระราชวังขององค์จักรพรรดิ
ภายในหน่วยแต่ละแห่งมีผู้ฝึกตนระดับหลอมรวมคอยคุม จึงไม่ใช่สถานที่ที่ใครจะกล้ามาก่อเรื่องได้ แต่ท่าทีที่แสดงออกทำให้เฉินโม่รู้สึกขำเล็กน้อย
การที่ต้องเดินผ่านประตูเล็กเป็นสิ่งที่ดูไร้เหตุผล
แต่กฎก็คือกฎ ก่อนที่เขาจะเข้มแข็งมากกว่านี้เฉินโม่ก็ต้องปฏิบัติตาม
เขาเดินตามกำแพงสูงผ่านเรือนเล็กๆและในที่สุดก็หยุดอยู่หน้าประตูเล็กบานหนึ่ง
เมื่อเขาเปิดประตูเข้าไป ภายในยังคงมีภูเขาจำลองเหมือนเดิม แต่สิ่งที่แตกต่างจากครั้งก่อนคือทางเดินที่ทอดยาวสู่ขอบฟ้าหายไป และแทนที่ด้วยบันไดที่นำไปสู่ชั้นบน
เฉินโม่เพิ่งก้าวเข้าไปเสียงที่คุ้นเคยก็ดังขึ้น
มันเป็นเสียงที่อู๋เตี้ยนหลี่ส่งผ่านเสียงเข้ามา บอกให้เขาเดินขึ้นบันไดไป และหยุดที่ขั้นที่ 399
เฉินโม่ทำตามคำสั่ง เมื่อเขาเดินมาถึงขั้นที่ 399 ภาพตรงหน้าก็เปลี่ยนไปทันทีและเขาพบว่าตนเองอยู่ในห้องมืด
เขามองไปรอบๆเหมือนอยู่ในถ้ำ ผนังถ้ำรอบๆตกแต่งด้วยเครื่องรางที่เรืองแสง แสงเหล่านั้นให้ความรู้สึกหนาวเย็นแตกต่างจากแสงของไข่มุกส่องแสงในยามค่ำคืน
แม้เพียงอยู่ในถ้ำนี้ไม่กี่อึดใจ ร่างกายของเขาก็เริ่มสั่นสะท้านเหมือนตกลงไปในถ้ำน้ำแข็ง
“เจ้ามาถึงเร็วจริง ๆ”
จากเวลาที่เจี้ยนซานส่งข่าวจนถึงเวลาที่เขามาถึงที่นี่ ใช้เวลาเพียงสามวันเท่านั้น
หากคำนึงถึงระยะทางจากผิงตูโจวมายังจงโจว นี่ถือว่าเร็วมากแล้วแน่นอน หากไม่เสียเวลาที่pvfg-kหยินเยว่เขาคงมาถึงเร็วกว่านี้
“ข้ามาตามคำสั่งของท่าน ไม่กล้าที่จะชักช้า”
“แล้วเป็นอย่างไรบ้าง? เจ้าเก็บข้าวมาได้เท่าไร?” อู๋เตี้ยนหลี่เดินเข้ามาหาเฉินโม่ด้วยท่าทีเฉียบขาดเช่นเคย แต่ความกดดันจากพลังระดับเปลี่ยนจิตก็ยังคงหนักหน่วง
โชคดีที่เฉินโม่เตรียมตัวมาอย่างดี เขาหยิบแหวนเก็บของออกมายื่นให้
“ตลอดเวลาสองปีที่ผ่านมา ข้าวทุกชนิดที่สุกเต็มที่ในพื้นที่ของท่านล้วนอยู่ในนี้”
อู๋เตี้ยนหลี่รับแหวนมาและใช้จิตตรวจสอบดู
จำนวนไม่น้อยทีเดียว!
เขารู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย
“ดูท่าเจ้าคงยุ่งตลอดสองปีที่ผ่านมา”
“ตำแหน่งที่ข้ามีอยู่ทุกวันนี้เป็นเพราะท่าน ข้าจึงไม่ถือว่าเสียเวลาเปล่า” เฉินโม่ตอบอย่างจริงใจแต่ในความจริงแล้วเขาจะทำไปโดยเปล่าประโยชน์ได้อย่างไร?
ทรัพยากรในแหวนเก็บของนั้น หากนับรวมกันทั้งหมดก็มีมูลค่าเพียงแค่เจ็ดถึงแปดสิบเม็ดยาบำรุงพลังเท่านั้น
อู๋เตี้ยนหลี่โยนแหวนเก็บของกลับมาทันที
“้ท่านผู้อาวุโส...”
“พอแล้ว ที่เจ้ารู้สึกเช่นนี้ก็เพียงพอแล้ว ครั้งนี้เจ้าถือว่าทำงานใหญ่สำเร็จเรื่องภาษีข้าวจะเริ่มเก็บในปีที่สาม”
“แต่...”
“ข้าบอกให้เจ้าเก็บไว้ก็เก็บไป!”
“ขอบคุณท่านผู้อาวุโส ข้าจะไม่ปฏิเสธแล้ว!”
เฉินโม่คารวะและเก็บทรัพยากรที่เขานำมาให้คืนกลับไปหากเป็นคนอื่น คงรู้สึกหวั่นไหวในใจ แต่สำหรับเฉินโม่แล้วเขากลับรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย
“เจ้ารู้เรื่องความเคลื่อนไหวของหน่วยซูหลัว(แก้ไขจากชูรา) ได้อย่างไร?” อู๋เตี้ยนหลี่ถามขึ้น
นี่ต่างหากคือเหตุผลที่แท้จริงที่ทำให้เฉินโม่ถูกเรียกมาที่นี่
“ข้าได้วางสายลับไว้ในพื้นที่ของซือกวงหยวนเกือบทุกการเคลื่อนไหวอยู่ภายใต้การควบคุมของข้า”
“โอ้? เจ้ามีความสามารถเช่นนี้?”
“ข้าไม่อยากทำผิดซ้ำรอยอย่างเว่ยอี”
อู๋เตี้ยนหลี่หัวเราะและมองเฉินโม่
“แล้วเจ้าคิดว่าทหารหัวมังกรควรจัดการเรื่องนี้อย่างไร?”
“ข้อมูลไม่เพียงพอ ข้าไม่สามารถตัดสินใจได้”
ในสถานการณ์นี้ใครอยู่ในที่สว่างใครอยู่ในที่มืด หรือแม้แต่ทหารหัวมังกรแข็งแกร่งแค่ไหน เขาไม่อาจรู้ได้แล้วจะให้เขาเสนอแนะได้อย่างไร?
“ข้าได้ยินมาว่าเจ้าไปเยือนไห่ผิงโจวหรือ?”
เฉินโม่พยักหน้า
“ได้ยินว่าที่นั่นเต็มไปด้วยมหาสมุทร ข้าจึงอยากเห็นด้วยตาตัวเอง”
“ถ้าข้าส่งเจ้าไปไห่ผิงโจว เจ้าคิดอย่างไร?”
คำพูดนี้ทำให้เฉินโม่รู้สึกสะท้านใจ
การให้เขาออกจากยอดเขาหยินเยว่ที่กำลังพัฒนาอยู่ ย่อมเป็นการสูญเสียที่ยิ่งใหญ่ แต่เขารู้ดีว่าเมื่ออีกฝ่ายเปิดปากแสดงว่าผ่านการพิจารณาอย่างรอบคอบแล้ว การปฏิเสธอย่างไม่ระวังอาจทำให้เขาไม่พอใจได้เฉินโม่จึงถามกลับ
“ข้าขอถามได้หรือไม่ว่าหากข้าไปไห่ผิงโจว ข้าต้องทำอะไรที่นั่น?”
“พยายามขยายอำนาจและพัฒนาตนเองให้แข็งแกร่งที่สุด”
“ทำไมต้องไปไห่ผิงโจวด้วย?”
“เพราะที่นั่นมีทำเลที่ตั้งที่พิเศษยิ่ง อีกทั้ง...เรื่องที่มากเกินไปเจ้าไม่ต้องรู้”
เฉินโม่นิ่งเงียบขบคิด
เขาเริ่มคาดเดาว่าน่าจะเกี่ยวข้องกับสัตว์อสูรในทะเลที่แข็งแกร่ง
แต่เขาไม่สามารถพูดออกมาได้เพราะหากพูดออกมา อีกฝ่ายอาจจะรู้ว่าเขาเคยเห็นสัตว์อสูรมาแล้ว!
ด้วยพลังของเขาในตอนนี้ที่อยู่เพียงระดับปฐมภูมิขั้นสองย่อมไม่สามารถรอดจากสัตว์อสูรได้
“ท่านผู้อาวุโส ข้าไม่อาจขัดคำสั่งของท่านได้ แต่ถ้าเป้าหมายคือการพัฒนาตนเองให้แข็งแกร่ง บางทีไห่ผิงโจวอาจจะไม่เหมาะสมเท่ากับผิงตูโจว”
“ผิงตูโจว?” อู๋เตี้ยนหลี่หัวเราะเยาะ
“ข้าถามเจ้าหน่อยในเวลา 20 ปี เจ้าสามารถจัดการแม่ทัพคนอื่นๆและทำลายค่ายกลส่งตัวที่เชื่อมต่อกับเขตอื่นได้หรือไม่?”
“ข้าจะถามเจ้าต่อ แม้เจ้าจะทำลายค่ายกลส่งตัวได้ เจ้าจะสามารถทนต่อความโกรธของจงโจวได้หรือไม่?”
“และอีกอย่างเมื่อเจ้าตัดขาดค่ายกลส่งตัวแล้ว ไม่มีการคุกคามจากจงโจว เจ้าคิดว่าพวกผู้ฝึกตนมารจากอีกฟากหนึ่งจะปล่อยผิงตูโจวซึ่งเป็นชิ้นเนื้ออันอวบอ้วนไปหรือ?”
เมื่อพวกเขาพิจารณาแล้วไห่ผิงโจวคือตัวเลือกที่ดีที่สุด
และยังเป็นหนทางที่ดีที่สุดสำหรับทหารหัวมังกรในการเปิดเผยตนจากเงามืดออกสู่แสงสว่าง!
(จบบท)
วันนี้อาจจะลงแค่นี้ก่อนนะครับ