บทที่ 36 พี่สาวของหลี่เหยียน
“พี่สาว”
เมื่อได้ยินเสียงจากนอกห้อง หลี่เหยียนหน้าซีดทันที เธอรีบไปเปิดประตูอย่างรวดเร็ว
นอกประตูยืนอยู่หญิงสาวที่สูงพอๆ กับหลี่เหยียน ร่างกายของเธอถูกห่อหุ้มด้วยเสื้อผ้าสีดำทั้งหมด ไม่เผยให้เห็นผิวหนังแม้แต่น้อย ใบหน้าของเธอก็ถูกปกคลุมด้วยผ้าคลุมสีดำ มีเพียงดวงตาสองดวงที่สามารถมองเห็นได้ผ่านรูเล็กๆ ซึ่งเป็นดวงตาที่ส่องประกายดั่งดาว
ดวงตาคู่นี้ ควรจะอยู่บนใบหน้าของหญิงสาวที่งดงามมาก แต่ความจริงกลับโหดร้ายเกินไป
“พี่มาเมื่อไหร่” หลี่เหยียนถามเสียงเบา พลางมองรอบๆ อย่างหวาดระแวง จากนั้นเธอก็ดึงพี่สาวเข้ามาในห้องอย่างรวดเร็ว
พี่สาวของหลี่เหยียนยืนอยู่นอกประตูมาพักหนึ่งแล้ว ฟางเสิ่นเองก็สังเกตเห็นเช่นกัน แต่เขาไม่เห็นว่ามีการเคลื่อนไหวใดๆ จึงไม่ได้สนใจ จนเมื่อได้ยินพี่สาวของหลี่เหยียนหายใจหนักขึ้นเมื่อฟังเรื่องราวที่หลี่เหยียนเล่าถึงความรู้สึกผิดของเธอ ฟางเสิ่นก็เริ่มคาดเดาได้แล้วว่าเธอคือใคร
“ฉันมาได้สักพักแล้ว” พี่สาวของหลี่เหยียนตอบเบาๆ จากนั้นก็หันไปมองทางฟางเสิ่นอย่างลุกลี้ลุกลน และกล่าวด้วยน้ำเสียงขาดความมั่นใจ “คุณ...คุณฟาง ขอโทษจริงๆ นะคะ เหยียนเหยียนเธอช่างไม่รู้จักโตเลย”
เสียงของพี่สาวหลี่เหยียนแหบเล็กน้อย คาดว่าน่าจะเป็นผลจากบาดแผลจากการถูกไฟไหม้ แม้จะฟื้นฟูแล้วแต่ก็ยังคงทิ้งร่องรอยเอาไว้ ถึงแม้เสียงจะฟังไม่เพราะนัก แต่ก็แฝงไปด้วยเสน่ห์ที่ไม่เหมือนใคร ทว่าคงเป็นเสน่ห์ที่เจ้าตัวไม่ต้องการให้มี
เวลาที่เธอพูดกับฟางเสิ่นนั้น ใบหน้าของเธอก้มต่ำลง มือทั้งสองข้างกำแน่น ร่างกายของเธอสั่นเล็กน้อย ราวกับเธอพร้อมจะหันหลังหนีไปทุกเมื่อ ดูทั้งหวาดกลัวและน่าสงสาร
ฟางเสิ่นถอนหายใจเบาๆ เมื่อสิบสองปีก่อน พี่สาวของหลี่เหยียนควรจะเป็นเด็กที่สดใส ร่าเริง แต่ตอนนี้เธอกลับกลายเป็นคนขี้กลัว หวาดระแวง คงไม่ต้องเดาเลยว่าผลกระทบจากไฟไหม้ครั้งนั้นทำร้ายเธอมากเพียงใด
“คุณชื่ออะไร” ฟางเสิ่นถามด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน
“หลี่...หลี่โยวรั่ว” เธอตอบอย่างลังเล แต่หลังจากได้ยินน้ำเสียงที่ไม่แสดงความรังเกียจของฟางเสิ่น เธอก็ดูจะผ่อนคลายลงบ้าง
“พี่คะ ไปกับฉันเถอะ ฉันจะไม่ยอมให้พี่แต่งงานกับใครที่พี่ไม่ได้รัก สิบสองปีที่แล้ว พี่ช่วยฉันไว้ ตอนนี้ถึงตาที่ฉันจะปกป้องพี่บ้างแล้ว” หลี่เหยียนพูดพร้อมกับจับแขนพี่สาวแน่น
หลี่เหยียนรู้ดีว่าพี่สาวเธอคงเจ็บปวดมากที่ต้องสวมใส่เสื้อผ้าแบบนี้ทุกวัน มันไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะให้ใครใส่เสื้อผ้าปกปิดตัวเองเช่นนี้ เพราะเมื่อใครเห็นก็จะรู้ทันทีว่าร่างกายที่ถูกซ่อนไว้นั้นคงจะมีบาดแผลที่ไม่น่าดู และนั่นคือสิ่งที่หลี่โยวรั่วกลัวที่สุด
“เหยียนเหยียน เลิกทำตัววุ่นวายได้แล้ว” หลี่โยวรั่วกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนพลางลูบศีรษะของหลี่เหยียน เมื่ออยู่กับน้องสาว เธอกลับมาเป็นปกติ ไม่มีท่าทีขี้กลัวอีกแล้ว แม้ว่าเธอจะเคยช่วยชีวิตหลี่เหยียนในอดีต แต่หลี่โยวรั่วไม่เคยโกรธน้องสาวเลย น้องสาวคนนี้เป็นคนที่เธอรักและหวงแหนมากที่สุด
“ถ้าฉันหนีตอนนี้ แล้วพ่อแม่ของเราจะต้องไปอธิบายเรื่องนี้ให้คนอื่นฟังยังไง? อีกอย่าง ฉันก็ไม่อยากหนีแล้ว” แม้จะปกปิดใบหน้าไว้ แต่เสียงของหลี่โยวรั่วกลับฟังเหมือนเธอกำลังยิ้มเจื่อนๆ
“ฉันหนีมาตลอดสิบสองปี มันเพียงพอแล้ว ฉันเหนื่อยแล้ว ฉันจะไม่หนีอีก ฉันจะยอมรับชะตากรรมของตัวเอง และอีกเดี๋ยวฉันจะออกไปเจอแขกที่มาในงาน” น้ำเสียงของหลี่โยวรั่วแฝงไปด้วยความตั้งใจ แต่ฟางเสิ่นก็สัมผัสได้ถึงความสิ้นหวังที่ซ่อนอยู่
เธอกำลังมีความคิดที่จะจบชีวิตของตัวเอง เธอคงยอมออกไปพบแขกเพียงเพื่อทำให้พ่อแม่ของเธอพอใจ เพราะเธอไม่ต้องการมีชีวิตอยู่แบบนี้อีกต่อไป
“คุณเชื่อในชะตากรรมไหม?” ฟางเสิ่นถามด้วยน้ำเสียงเรียบๆ
“คุณฟาง?” หลี่โยวรั่วตอบด้วยความประหลาดใจ
“คุณเชื่อไหม?” ฟางเสิ่นถามอีกครั้ง
“ฉัน...ฉันไม่รู้...” หลี่โยวรั่วตอบด้วยความสับสน นี่คือชะตากรรมของเธอจริงๆ หรือ?
“หกปีก่อน พ่อแม่ของฉันเสียชีวิตในอุบัติเหตุเครื่องบินตก เหลือเพียงฉันและน้องชาย” ฟางเสิ่นเล่าเรื่องของตัวเองด้วยน้ำเสียงสงบ
“ฉันขอโทษนะ” หลี่โยวรั่วกล่าวขอโทษ
“ตอนนั้น ฉันก็สิ้นหวัง ฉันเกลียดชังโชคชะตาที่โหดร้าย ทำไมมันต้องทำให้ฉันเกิดในตระกูลที่สูงส่ง แล้วกลับมอบความทุกข์ทรมานเช่นนี้ให้ฉัน ฉันเกลียดชะตากรรมที่ทำให้ฉันต้องเผชิญกับความยากลำบากและความสูญเสีย”
ฟางเสิ่นเล่าถึงอดีตของเขา หลี่เหยียนมองฟางเสิ่นด้วยความประหลาดใจ เธอไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อน เช่นเดียวกับหลี่โยวรั่วที่กำลังตั้งใจฟัง
“ฉันเคยท้อแท้ แต่ในที่สุดฉันก็ลุกขึ้นมาได้ เพราะฉันยังมีน้องชายที่ต้องดูแล และฉันยังต้องนำธุรกิจของพ่อแม่กลับคืนมา ฉันจึงไม่ยอมแพ้ ฉันต้องพยายามต่อไป แม้หลังจากพ่อแม่เสียชีวิต ตระกูลก็ไม่ได้สนับสนุนฉันอีกต่อไป แต่ฉันก็พยายามจนสอบเข้ามหาวิทยาลัยที่ดีได้และมีความสำเร็จอยู่บ้าง จนถึงตอนนี้ ฉันมีธุรกิจของตัวเองและกำลังมุ่งหน้าไปสู่เป้าหมายของฉัน”
ฟางเสิ่นยิ้มเล็กน้อย “จากสิ่งนี้ ฉันได้เรียนรู้บทเรียนสำคัญอย่างหนึ่ง”
“บทเรียนอะไรเหรอ” หลี่เหยียนถามขึ้นด้วยความอยากรู้
“ความทุกข์ในชีวิตไม่ใช่การลงโทษของโชคชะตา แต่มันเป็นเพียงบททดสอบ การขัดเกลาเพื่อทำให้เราแข็งแกร่งขึ้น ลองดูสร้อยข้อมือของเธอสิ ในตอนแรกมันอาจเป็นแค่โลหะธรรมดา แต่หลังจากถูกขัดเกลาแล้ว มันก็กลายเป็นของมีค่า เช่นเดียวกับโชคชะตา”
“โชคชะตาทำให้เราเผชิญความลำบาก แต่ก็เพื่อให้เราสามารถส่องแสงเจิดจ้าได้ในวันข้างหน้า”
นี่คือความเชื่อของฟางเสิ่น เขาเชื่อว่าต่อให้ไม่มีพลังพิเศษของเขาในตอนนี้ เขาก็จะลุกขึ้นมาได้ แม้ว่าเขาอาจจะไม่สามารถประสบความสำเร็จได้เท่าปัจจุบัน แต่เขาก็จะยังคงรู้สึกภาคภูมิใจในสิ่งที่ทำได้
ฟางเสิ่นหัวเราะเล็กน้อย ข้อความที่เขาต้องการจะสื่อจริงๆ อาจจะแค่แนะนำให้หลี่โยวรั่วใช้ “ไม้คืนวัย” เพื่อฟื้นฟูตัวเอง แต่เขากลับพูดอะไรออกไปมากมายโดยไม่รู้ตัว อาจเป็นเพราะรู้สึกถึงชะตากรรมอันเศร้าของหลี่โยวรั่วที่กระทบใจเขา
“เพื่อให้ได้ส่องแสงเจิดจ้าขึ้นในวันข้างหน้าอย่างนั้นหรือ ขอบคุณค่ะ คุณฟาง” หลี่โยวรั่วทวนคำพูดของฟางเสิ่นเบาๆ พลางคิดตาม ความรู้สึกสิ้นหวังที่เคยอยู่ในใจของเธอค่อยๆ จางหายไป
“ฉันจะเข้าร่วมงานเลี้ยงคืนนี้” หลี่โยวรั่วกล่าวเสียงมั่นคงมากกว่าครั้งไหนๆ
ประสบการณ์ของฟางเสิ่นทำให้เธอรู้สึกเชื่อถือได้จริงๆ ไม่ใช่ทุกคนที่จะทำให้เธอเชื่อฟังได้ง่ายๆ
เมื่อถึงจุดนี้ หลี่เหยียนก็เงียบลง เธอรู้ว่าไม่มีทางที่จะโน้มน้าวให้พี่สาวหนีไปด้วยกันได้อีกแล้ว
ทั้งสามเดินออกจากกระท่อมและมุ่งหน้ากลับไปยังห้องโถงใหญ่
ทางเดินที่มืดมิดถูกทิ้งไว้เบื้องหลัง แสงไฟสว่างไสวจากงานเลี้ยงก็ส่องเข้ามา ทำให้หลี่โยวรั่วเผลอตัวหดร่างลงเล็กน้อย
“ถ้าคุณเชื่อในสิ่งที่ฉันพูด ก็ลองดื่มสิ่งนี้” ฟางเสิ่นกล่าวพร้อมกับยื่นขวดหยกเล็กๆ ให้หลี่โยวรั่ว เธอรับขวดมาอย่างลังเล ราวกับกวางน้อยที่ตกใจง่าย เธอหยิบขวดมาอย่างสั่นเทา
เมื่อเปิดขวดออก กลิ่นหอมแปลกๆ ก็ลอยมา ทำให้เธอรู้สึกผ่อนคลายขึ้น หลี่โยวรั่วค่อยๆ ดึงผ้าคลุมหน้าออกเล็กน้อย และดื่มสิ่งที่อยู่ในขวดจนหมด
“ไปเถอะ อย่ายอมแพ้ต่อโชคชะตา”
ฟางเสิ่นยิ้มเล็กน้อย มือของเขาสัมผัสเบาๆ ที่หลังของหลี่โยวรั่ว พร้อมกับดันเธอให้ก้าวเดินออกไป
จบบท