125 - ประชุมช่วงเช้า
125 - ประชุมช่วงเช้า
“ธุรกิจอะไรที่หุ้นละหนึ่งแสนตำลึง นี่มันชัดเจนเลยว่าเจ้ากำลังถูกหลอกเอาเงินอยู่” โต้วเสวียนหลิงมองบุตรชายที่ดูหลงใหลในความคิดนั้น “หลังจากนี้เจ้าห้ามไปเล่นกับฉินโม่อีก!”
“แต่ทุกคนก็เล่นกับฉินโม่ทั้งนั้น ต้าเป่ากับหยงเมิ่ง พวกเขายังทำธุรกิจกับฉินโม่เลย!
ท่านพ่อ ท่านไม่รู้หรอกว่าร้านหม้อไฟทะเลลึกของฉินโม่มันทำเงินแค่ไหน ข้าได้ยินมาว่าวันหนึ่งทำเงินได้ตั้งสามหมื่นตำลึง!
ข้าอยากร่วมมือกับฉินโม่ทำเงิน ข้าจะเป็นชายชาติ ข้าไม่ต้องการคุกเข่าขอเงินเดือนจากเกาหยางอีกแล้ว
ข้าก็ไม่ต้องการให้เพื่อนหัวเราะเยาะว่าข้าเป็นคนไร้ค่า ท่านพ่อ ข้าอ้อนวอนท่าน ขอท่านอนุญาตให้ข้าทำธุรกิจกับฉินโม่เถอะ!”
โต้วเสวียนหลิงมีสีหน้าลังเล “อย่ากล่าวเรื่องนี้อีก เจ้าทำธุรกิจไม่เป็น ถ้ามันทำเงินได้ขนาดนั้น ทำไมฉินโม่ถึงไม่ทำเอง แล้วทำไมต้องดึงเจ้าเข้ามาด้วย?”
“พวกเราเป็นพี่น้องกันน่ะสิ ฉินโม่จึงดึงข้าเข้าร่วม!” โต้วอี้อ้ายวิงวอนต่อไป ในสายตาของเขา ฉินโม่คือคนเดียวที่มองเขาเป็นพี่น้อง
ไม่เคยข่มเหงหรือล้อเลียนเขา ฉินโม่ไม่ใช่คนที่จะหลอกเงินเขาแน่นอน!
“ใครก็ได้ พาเจ้าสารเลวนี้ไปขังที!”
“ท่านพ่อ!”
เสียงของโต้วอี้อ้ายค่อยๆ เลือนหายไป
โต้วเสวียนหลิงเดินไปที่เรือนของหลี่หลิงพร้อมกับแสดงความเคารพ “องค์หญิง โต้วเสวียนหลิงสั่งสอนบุตรไม่ดี ขอองค์หญิงโปรดอภัย กระหม่อมได้ลงโทษบุตรอกตัญญูคนนั้นแล้ว ขอองค์หญิงอย่าถือสาเขาเลย!”
กล่าวไปก็แสนขมขื่น พวกเขาแต่งองค์หญิงเข้าบ้าน แต่สุดท้ายกลับมีสภาพเลวร้ายยิ่งกว่าให้บุตรชายแต่งให้กับองค์หญิง
โต้วเสวียนหลิงรู้สึกราวกับมีหินก้อนใหญ่ทับอยู่ที่อก
ในตอนนั้นเอง ประตูเปิดออก นางกำนัลขององค์หญิงเกาหยางเดินออกมาแล้วกล่าวว่า “ท่านกว๋อกง องค์หญิงกล่าวว่าเราทุกคนเป็นคนในครอบครัวเดียวกัน ไม่จำเป็นต้องถือตัวเช่นนี้ นางไม่ให้ราชบุตรเขยเข้าไป เพราะเสียดายที่เขาไร้ความสามารถ ไม่อาจเป็นอย่างที่หวัง”
“องค์หญิงทรงมีเหตุผล กระหม่อมซาบซึ้งยิ่งนัก!”
“ดึกแล้ว ท่านกว๋อกงพักผ่อนเถิด องค์หญิงเหนื่อยมาก พรุ่งนี้นางจะมายกชาเพื่อเป็นการขอขมาต่อท่านกว๋อกง!”
“ขอองค์หญิงทรงพระเกษมสำราญ ข้าทูลลา!”
เมื่อกลับมาถึงห้อง โต้วเสวียนหลิงไม่มีอาการง่วงเลย เขากำลังคิดว่า ธุรกิจที่โต้วอี้อ้ายกล่าวถึงคืออะไร
ฉินโม่ เขารู้ดีว่าเป็นราชบุตรเขยที่ได้รับการโปรดปรานที่สุดในราชสำนัก
แม้แต่องค์ชายหลายคนก็ไม่ได้รับความโปรดปรานเทียบเท่าเขา
เขาปลูกผักในฤดูหนาว เปิดร้านหม้อไฟ ใช้เงินสิบเอ็ดหมื่นตำลึงซื้อเหมืองถ่านหินที่ภูเขาซีซาน และยังใช้ทรัพย์สินส่วนตัวในการช่วยเหลือผู้ประสบภัยหกถึงเจ็ดพันคน
ไม่ต้องกล่าวถึงอย่างอื่น แค่เรื่องการเงิน ก็ทำให้ผู้คนต้องหันมองด้วยความตื่นตะลึง
หรือมันจะมีธุรกิจที่ทำเงินได้ขนาดนั้นจริงๆ?
โต้วเสวียนหลิงซ่อนความสงสัยไว้ในใจ ตั้งใจว่าจะหาจังหวะไปถามฉินโม่ด้วยตัวเอง
เช้าวันถัดมา มีการจัดประชุมเช้าขนาดเล็ก
การประชุมของราชสำนักต้าเฉียนแบ่งออกเป็นสองแบบ คือ การประชุมใหญ่ประจำเดือน และการประชุมเช้าขนาดเล็ก
การประชุมใหญ่ประจำเดือน ขุนนางทุกคนต้องเข้าร่วม
การประชุมเช้าขนาดเล็ก มีเพียงขุนนางระดับห้าขึ้นไปเท่านั้นจึงจะมีสิทธิ์เข้าร่วม
ฟ้ายังไม่ทันสว่างเต็มที่ ขุนนางทั้งหลายก็เข้าไปในวังแล้ว
ฉินโม่เองก็ยืนอยู่ในฝูงชนด้วยใบหน้าที่แสดงถึงความไม่พอใจ
เขาถูกหลี่ซื่อหลงหลอกเข้าเต็มๆ
ที่กล่าวไว้ว่าต้องเข้าเฝ้าสามวันครั้ง ก็ไม่คิดว่าหลี่ซื่อหลงจะบังคับให้เขาเข้าร่วมการประชุมเช้าด้วย!
มันน่าหงุดหงิดจริงๆ หากต้องเข้าร่วมประชุมทุกสามวัน ทั้งการประชุมใหญ่และการประชุมเล็ก เขาไม่มีทางหนีรอดได้เลย!
“ช่างน่าหงุดหงิดจริงๆ!” ฉินโม่บ่นงึมงำ
“ฉินโม่ เจ้ามาที่นี่ด้วยหรือ?”
เฉิงซานฝูหัวเราะเสียงดังพลางเดินมาหาฉินโม่ ตบไหล่ของเขาอย่างสนุกสนาน
ฉินโม่รู้สึกเจ็บจนต้องกัดฟัน “ท่านคิดว่าข้าอยากมาหรือ ก็ท่านพ่อตาบังคับให้ข้ามาน่ะสิ! ตอนแรกบอกว่าสามวันให้มาครั้งหนึ่ง แต่เขากลับเล่นคำให้ข้ามาเข้าร่วมประชุมตอนเช้า ช่างหลอกลวงจริงๆ!”
หลี่ซุนกงส่ายหัวพลางยิ้มขมขื่น เพราะมีแต่ฉินโม่เท่านั้นที่กล้ากล่าวแบบนี้
ถ้าเป็นราชบุตรเขยคนอื่น คงจะซาบซึ้งจนร้องไห้ออกมาด้วยซ้ำ
“ฉินโม่ เจ้าว่าร้ายฝ่าบาทลับหลังอีกแล้ว วันนี้ข้าจะร้องเรียนเจ้าแน่!” เหลียงเจิ้งกล่าวด้วยความโกรธ
“เหล่าเหลียง ทำไมทุกที่ต้องมีเจ้าด้วย?”
ฉินโม่ตอบอย่างไม่พอใจ “ร้องเรียนคนนั้นที คนนี้ที ไม่เคยเห็นเจ้าทำงานอะไรเป็นเรื่องเป็นราวเลย หรือตั้งแต่เกิดมานี่คือความสามารถเดียวของเจ้า!”
หลายคนแอบหัวเราะเบาๆ ฉินโม่มีปากที่ทำให้คนโมโหได้ทุกครั้งจริงๆ
“ฉินโม่ กล่าวกับท่านกว๋อกงแบบนั้นได้อย่างไร?” หลี่ซุนกงตวัดสายตาตำหนิฉินโม่ แล้วเดินไปหาเหลียงเจิ้ง ยกมือคารวะ “ท่านกว๋อกง ฉินโม่กล่าวโดยไม่คิด ท่านก็รู้ดี อย่าถือสาเขาเลย!”
เหลียงเจิ้งส่งเสียงฮึดฮัด “วันนี้ข้าจะเอาเรื่องกับเขาจนถึงที่สุด รอดูเถอะ เจ้าจะโดนร้องเรียนแน่!”
“ข้ากล่าวตรงๆ เลยนะ เหล่าเหลียง ผู้คนต่างพูดว่าเจ้าเป็นคนจิตใจคับแคบอยู่แล้ว เจ้าก็ควรปรับปรุงตัวเองบ้าง ไม่ใช่ว่าจะนำเรื่องเล็กๆ น้อยๆ เช่นนี้ไประคายเคืองผ้าไทยของฝ่าบาท!” เฉิงซานฝูกล่าวอย่างไม่พอใจ “รังแกเด็กมันไม่ใช่ความสามารถหรอก ถ้ามีความสามารถจริงๆ ก็มาร้องเรียนข้าสิ!”
เหลียงเจิ้งโกรธจนตัวสั่น “เฉิงเฮยจื่อ(ไอ้ดำแซ่เฉิง) เจ้าเตรียมตัวให้ดีเถอะ ถ้าวันนี้ข้าไม่ร้องเรียนเจ้า ข้าจะไม่ใช่คน!”
เมื่อเห็นว่าทั้งสองคนกำลังจะทะเลาะกัน ผู้คนรีบเข้ามาแยกพวกเขาออกจากกัน
โต้วเสวียนหลิงไม่ได้กล่าวอะไร หรือกล่าวอีกนัยหนึ่ง แม้ว่าเขาจะมีบรรดาศักดิ์เป็นกว๋อกงเช่นเดียวกับขุนนางใหญ่ผู้อื่น แต่ตำแหน่งขุนนางของเขากลับเป็นเพียงผู้อ่านรายงานถวายฮ่องเต้(รัฐมนตรีสำนักนายก)ซึ่งถือว่าไม่ได้มีอำนาจเหมือนผู้อื่น ไม่อาจสอดแทรกวาจาเข้าไปในความขัดแย้งครั้งนี้ได้
ในตอนนั้นเอง ประตูตำหนักไท่จี๋เปิดออก เหล่าขุนนางจึงหยุดการโต้เถียง และเริ่มเดินแถวเข้าไปข้างในยังเป็นระเบียบ
ขุนนางฝ่ายบุ๋นอยู่แถวหนึ่ง ขุนนางฝ่ายบู๊อยู่แถวหนึ่ง
ฉินโม่ในตอนนี้มีตำแหน่งเป็นราชบุตรเขยและตำแหน่งรองเจ้ากรมการเกษตรซึ่งมีสิทธิ์ที่จะเข้าร่วมการประชุมครั้งนี้
แต่เขาจะต้องยืนอยู่แถวหลังสุด
ด้านหน้าบัลลังก์ทองคำ ไท่จื่อยืนอยู่ต่ำกว่าฮ่องเต้เพียงคนเดียวเท่านั้น ส่วนองค์ชายทั้งหลายต่างก็ยืนลดหลั่นกันไปตามลำดับ
ไท่จื่อกวาดตามองทุกคน และสังเกตเห็นฉินโม่ที่พิงอยู่ตรงประตูตำหนัก ดวงตาของเขาเย็นชาขึ้นเล็กน้อย
“ฉินโม่ ยืนให้ตรงหน่อย พระบิดากำลังจะเสด็จมาแล้ว!”
หลี่เยว่เดินผ่านฉินโม่เข้ามาในท้องพระโรงจึงเตือนเบาๆ
“ไม่เป็นไร พวกเขายุ่งกับเรื่องของเขา ข้าก็พักของข้าสิ!”
ตั้งแต่เมื่อวานที่ให้เกาซื่อเหลียนส่งเตาผิงเข้ามาในวัง ฉินโม่ก็พบว่า ที่มุมของตำหนักไท่จี๋มีเตาผิงติดตั้งอยู่
เขาจึงรีบพิงเสา จากนั้นควานหาหมอนนุ่มๆ จากในอกเสื้อออกมา พร้อมกับค้นหาที่ลับตาและพักผ่อนโดยไม่ลังเล
ไม่นาน หลี่ซื่อหลงก็เดินเข้ามาด้วยฝีเท้าที่มั่นคง
ทุกคนคุกเข่าลง “ขอพระองค์ทรงพระเจริญหมื่นปี หมื่นปี หมื่นๆ ปี!”
“ลุกขึ้นเถิด!”
หลี่ซื่อหลงยกมือขึ้นเชิงบอกให้ลุกขึ้น
“ขอบพระทัยฝ่าบาท!”
เหล่าขุนนางต่างลุกขึ้นพร้อมกัน
“มีเรื่องใดให้รีบรายงาน ถ้าไม่มี ก็เลิกประชุมได้” หลี่ซื่อหลงกล่าวต่อ
แน่นอนว่าการประชุมไม่ได้จบลงง่ายดายถึงขนาดนั้น ขุนนางทุกคนต่างมีเรื่องจุกจิกเตรียมที่จะกราบทูลอยู่แล้ว
“พระบิดา ลูกมีเรื่องกราบทูล!”
หลี่ซินออกมายืนหน้าโค้งคำนับแล้วกล่าวว่า “การใช้แรงงานแทนเงินช่วยเหลือผู้ประสบภัยได้ผลเกินคาด เวลาผ่านไปเพียงสามวัน ผู้ประสบภัยในเมืองหลวงต่างก็มีครอบครัวของขุนนางรับไปดูแลจนหมดสิ้น กงซุนชง โหวหยง และตู้โหยวเว่ย ต่างมีผลงานมากมาย”
หลี่ซื่อหลงมีสีหน้าเปี่ยมสุข เขาสั่งให้นำรายงานของหลี่ซินขึ้นมาอ่านดู พลันความปิติแผ่ซ่านไปทั่วใบหน้า
มีผู้ประสบภัยมากมาย แต่กลับได้รับการช่วยเหลืออย่างเหมาะสมภายในเวลาเพียงไม่กี่วัน
“ดี ดีมาก ช่างยอดเยี่ยมจริงๆ!”
หลี่ซื่อหลงกล่าว “ครั้งนี้ทุกคนทำได้ดีมาก ข้าจะอนุมัติบันทึกคำขอผลงานนี้ ให้ทั้งหกกรมพิจารณามอบรางวัลตามความเหมาะสม!”
………………