ระบบหุ่นเชิดในตำนาน ตอนที่ 325 ถึงเวลาของนิกายพุทธ
ระบบหุ่นเชิดในตำนาน ตอนที่ 325 ถึงเวลาของนิกายพุทธ
“หุ่นเชิดเทวีอู๋ตั้งหรือ มิคาดคิดว่าจะสกัดได้นาง!”
จี๋อวิ๋นได้ยินเสียงแจ้งเตือนของระบบ จิตใจพลันสั่นสะเทือน
เทวีอู๋ตั้ง เช่นเดียวกับเทวีจินหลิง ล้วนเป็นหนึ่งในสี่ศิษย์เอกแห่งนิกายเจี๋ย
ยิ่งไปกว่านั้น ในบรรดาสี่ศิษย์เอก นอกจากตัวเป่าต้าหยินแล้ว นางคือผู้เดียวที่มิได้ร่วงโรย และมิได้ขึ้นรายนามสถาปนาเทพ
กระทั่งมีชีวิตอยู่จนถึงยุคไซอิ๋ว และยุคโคมไฟบัววิเศษ
“อย่างไรก็ตาม ดูจากความเจิดจรัสของแสงสว่างเช่นนี้ คงมิใช่หุ่นเชิดเทวีอู๋ตั้งในยุคไซอิ๋ว หรือยุคโคมไฟบัววิเศษ”
“น่าจะเป็นยุคสถาปนาเทพ”
จี๋อวิ๋นกล่าวกับตัวเองในใจ
เทวีอู๋ตั้งในยุคสถาปนาเทพ แข็งแกร่งอย่างยิ่ง แทบจะปราบปรามสิบสองเซียนทองได้เพียงลำพัง
หากเป็นเทวีอู๋ตั้งในยุคหลัง ความแข็งแกร่งย่อมต้องน่ากลัวกว่านี้
กล่าวได้ว่า นางอ่อนแอกว่าเพียงไม่กี่คนเท่านั้น เช่น จักรพรรดิหยกฮ่าวเทียน เช่น พระประภูตรัตนะตถาคต
จี๋อวิ๋นคาดการณ์ หุ่นเชิดเทวีอู๋ตั้งในยุคนั้น กำลังรบย่อมต้องเทียบเท่าระดับกึ่งจักรพรรดิเซียน!
หากเป็นหุ่นเชิดระดับกึ่งจักรพรรดิเซียน แสงสว่างย่อมต้องเจิดจรัสอย่างมิเคยปรากฏมาก่อน มิอาจเทียบเคียงกับแสงสว่างเบื้องหน้าได้
เป็นไปตามคาด
จี๋อวิ๋นสัมผัสได้ กำลังรบของหุ่นเชิดเทวีอู๋ตั้งภายในกลุ่มแสง มิได้บรรลุถึงระดับนั้น
เพียงแค่เทียบเท่ากับหุ่นเชิดเทวีจินหลิง เทียบเท่ากับระดับราชันเซียนไร้เทียมทาน
อย่างไรก็ตาม จี๋อวิ๋นมิได้ผิดหวัง ตรงกันข้าม เขากลับรู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อย
เพราะว่า สี่ศิษย์เอกแห่งนิกายเจี๋ยในยุคสถาปนาเทพ ต่างก็มีกระบี่สังหารเซียนประจำกาย
เมื่อคิดเช่นนี้ จี๋อวิ๋นจึงมองไปยังเบื้องหลังของเทวีอู๋ตั้ง
เป็นไปตามคาด เบื้องหลังนางมีกล่องกระบี่อยู่!
“แม้ว่าจะมิได้สกัดหุ่นเชิดเทวีอู๋ตั้งในยุคหลัง แต่เทวีอู๋ตั้งในยุคสถาปนาเทพมีกระบี่สังหารเซียน ก็ถือว่าไม่เลว”
ภายในดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความตื่นเต้น
ต่อมา จี๋อวิ๋นสงบสติอารมณ์ มองดูหุ่นเชิดที่เหลือ ซึ่งล้วนเป็นเพียงเศษขยะ จึงมองข้ามไป
จนถึงตอนนี้ แต้มต้นกำเนิดมรรคยี่สิบล้านแต้ม ก็ถูกใช้จนหมดสิ้น
“ไม่เลว ไม่ต่างจากครั้งก่อน ถือว่าเป็นกำไรแล้ว”
จี๋อวิ๋นกล่าวในใจ
ชั่วขณะถัดมา เขาจึงสื่อสารกับระบบ
อัญเชิญหุ่นเชิดพระอมิตาภพุทธะ และหุ่นเชิดเทวีอู๋ตั้งออกมาพร้อมกัน
“ตู้ม!” “ตู้ม!”
เพียงชั่วพริบตา โลกก็ถูกปกคลุมไปด้วยนิมิตอันยิ่งใหญ่มากมาย
แสงพุทธะอันกว้างใหญ่ไพศาล และแสงเมฆาม่วงอันเจิดจรัส
อย่างไรก็ตาม เห็นได้ชัดว่าแสงพุทธะยิ่งใหญ่กว่า ครอบคลุมพื้นที่กว่าครึ่งหนึ่งของโลกใบนี้
ท้ายที่สุด หากกล่าวถึงกำลังรบ พระอมิตาภพุทธะแข็งแกร่งกว่าเทวีอู๋ตั้ง
หลังจากที่สังเกตการณ์อยู่ครู่หนึ่ง
จี๋อวิ๋นควบคุมหุ่นเชิดพระอมิตาภพุทธะหายตัวไปจากที่เดิม ปรากฏตัวขึ้นภายในวัดต้าลุ่ยอิม บนภูเขาหลิงซานแห่งสุขาวดี
ส่วนหุ่นเชิดเทวีอู๋ตั้ง จี๋อวิ๋นควบคุมนางหยิบกล่องกระบี่ลงมา เปิดออกอย่างช้า ๆ
“ตูม——!”
ทันทีที่กล่องกระบี่เปิดออก ปราณอาฆาตอันกว้างใหญ่ไพศาลที่คุ้นเคย ก็แผ่กระจายออกมา
แสงกระบี่มากมายพุ่งทะลวงผ่านฟ้าดิน สะบั้นอสูรสังหารเทพ มหามรรคคร่ำครวญ เป็นภาพที่น่ากลัวยิ่งนัก
อย่างไรก็ตาม แสงกระบี่ที่พุ่งออกมาจากกล่องกระบี่ มิใช่แสงสีเขียวเช่นกระบี่สังหารเซียน แต่กลับเป็นสีขาวบริสุทธิ์
“สีเขียวคือกระบี่สังหารเซียน เช่นนั้นสีขาว น่าจะเป็นกระบี่พิฆาตเซียนกระมัง”
จี๋อวิ๋นคิดเช่นนั้น เขามองลงไป เห็นได้ชัดว่าบนกระบี่โบราณ ปรากฏตัวอักษร ‘พิฆาตเซียน’ สองตัว
“เช่นนี้แล้ว กระบี่สังหารเซียนทั้งสี่ ข้ามีสองเล่มแล้ว เหลือเพียงกระบี่ประหารเซียน และกระบี่ตรึงเซียน เท่านั้น”
จี๋อวิ๋นกล่าวกับตัวเองในใจ
แน่นอนว่ายังมีม้วนภาพค่ายกลสังหารเซียนที่สำคัญที่สุด
อย่างไรก็ตาม ของสิ่งนี้ คงต้องสกัดจากส่วนสิ่งของ
ท้ายที่สุด หากต้องการสกัดหุ่นเชิดที่มีม้วนภาพค่ายกลสังหารเซียน ก็ต้องสกัดหุ่นเชิดเจ้านิกายทงเทียน
เห็นได้ชัดว่าเรื่องนี้ ยากกว่าการสกัดม้วนภาพค่ายกลสังหารเซียนจากส่วนสิ่งของมากนัก!
ต่อมา จี๋อวิ๋นเตรียมตัวจากไป
อย่างไรก็ตาม ในเวลานั้น เขาเหมือนนึกอะไรบางอย่างออก จิตใจจึงพลันสั่นไหว
“ตอนนี้ สี่ศิษย์เอกแห่งนิกายเจี๋ยมีสองคนแล้ว ส่วนนิกายพุทธก็มียอดฝีมือระดับเหนือหล้าสองคนเช่นกัน”
“บางที… ถึงเวลาที่พวกเขาจะปรากฏตัวออกมา แสดงพลังแล้ว”
ก่อนหน้านี้ เขาเคยคิดเช่นนี้
แต่เพราะต้องการรวมโลกมาร จึงต้องพักแผนการนี้ไว้
ตอนนี้ การรวมโลกมารเป็นเพียงเรื่องของเวลา
ยิ่งไปกว่านั้น เขายังสกัดได้หุ่นเชิดที่แข็งแกร่งของนิกายพุทธและนิกายเจี๋ย
กล่าวได้ว่าเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมที่สุด
“เช่นนั้นก็ทำเช่นนี้”
ทันใดนั้น จี๋อวิ๋นก็หายตัวไป
ส่วนหุ่นเชิดเทวีอู๋ตั้ง ก็หายไปพร้อมกับเขา
ในเวลาเดียวกัน ณ วังสวรรค์
ราชันเซียนชื่อหยวน และราชันเซียนกลไกสวรรค์กำลังสนทนามรรคกัน
รวมถึงเรื่องราวของขุมอำนาจลึกลับเหล่านั้น
ในเวลานั้น ทันใดนั้น มหาจักรพรรดิจื่อเว่ย และจักรพรรดิชิงฮวาแห่งทิศตะวันออก ก็ปรากฏตัวขึ้น พวกเขามองไปยังที่ไกลโพ้นด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
ทำให้ราชันเซียนทั้งสองตกใจ
ราชันเซียนกลไกสวรรค์เตรียมเอ่ยปากถาม
อย่างไรก็ตาม ทันทีที่เขาคิดเช่นนั้น
แคร้ง!
เสียงกระบี่ดังขึ้น ฉีกกระชากฟ้าดินออกเป็นเสี่ยง ๆ
จากนั้น ปราณอาฆาตอันน่ากลัวยิ่งนักก็แผ่กระจายไปทั่วทุกสารทิศ สะบั้นฟ้าดิน สังหารเทพพิฆาตมาร!
“นี่… นี่มัน…………”
ราชันเซียนกลไกสวรรค์เห็นภาพนี้ รูม่านตาพลันหดเล็กลง
ความทรงจำที่คุ้นเคยปรากฏขึ้นในสมอง ทำให้เขาอดไม่ได้ที่จะเอ่ยวาจาออกมาว่า
“กระบี่สังหารเซียน! เทวีจินหลิงแห่งนิกายเจี๋ย!”
ราวกับว่าต้องการยืนยันคำพูดของเขา
ชั่วขณะถัดมา ณ เบื้องบนท้องฟ้าอันไกลโพ้น
สตรีชุดทองผู้เลอโฉม ยืนหยัดอย่างสง่างาม นางถือกระบี่สีเขียว ใบหน้าเย็นชา ไร้ความปราณี ทำให้ผู้คนรู้สึกหนาวเหน็บไปทั่วร่าง
“เป็นนางจริง ๆ!”
ราชันเซียนกลไกสวรรค์อุทานออกมา นับตั้งแต่ที่นางบุกเข้ามาในวังสวรรค์ครั้งก่อน ก็ทำให้เขาจดจำได้อย่างมิอาจลืมเลือน
โดยเฉพาะอย่างยิ่งกระบี่สังหารเซียนในมือของนาง น่ากลัวอย่างยิ่ง เป็นกระบี่ที่น่าสะพรึงกลัวที่สุดเท่าที่เขาเคยเห็น!
“นางต้องการทำสิ่งใด? หรือว่าจะบุกโจมตีวังสวรรค์อีกครั้ง?”
ราชันเซียนกลไกสวรรค์อดไม่ได้ที่จะคิด
ทันทีที่ความคิดนี้ปรากฏขึ้นในใจ เขาก็ได้ยินเสียงเย็นชาของเทวีจินหลิงดังก้องไปทั่วฟ้าดิน
“นิกายพุทธ จงมอบคนทรยศของนิกายเรามา!”
“มิเช่นนั้น วันนี้ ข้าจะใช้กระบี่สังหารเซียนทำลายภูเขาหลิงซาน!”
นิกายพุทธ? นางต้องการลงมือกับนิกายพุทธ?
ราชันเซียนกลไกสวรรค์ตกใจอย่างยิ่ง
ข้าง ๆ ราชันเซียนชื่อหยวนก็ตกตะลึงเช่นกัน ไม่รู้ว่าควรเอ่ยวาจาใด ๆ ออกมา
นิกายเจี๋ยมีเรื่องบาดหมางกับนิกายพุทธหรือ?
ราวกับว่ามองออกถึงความสงสัยของทั้งสอง
มหาจักรพรรดิจื่อเว่ยที่อยู่ไม่ไกลกล่าวว่า
“ในอดีต เมื่อนิกายฉ่านและนิกายเจี๋ยทำสงครามกัน มีศิษย์นิกายเจี๋ยคนหนึ่งชื่อว่าเซียนบัณฑูรอาภาหูยาว”
“เขาได้ฉวยโอกาสขณะที่ทั้งสองฝ่ายกำลังต่อสู้ ขโมยสมบัติล้ำค่าของนิกายเจี๋ยหลบหนีไป ทำให้นิกายเจี๋ยต้องพ่ายแพ้”
“ต่อมา เซียนบัณฑูรอาภาหูยาวก็ได้เข้าร่วมกับนิกายพุทธ”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ราชันเซียนทั้งสองจึงเข้าใจ
…………
และในขณะนี้
สิ่งมีชีวิตนับไม่ถ้วนในหกมหาโลก ต่างก็ตกตะลึงกับคำพูดของเทวีจินหลิง รวมไปถึงปราณอาฆาตอันไร้ขอบเขตของนาง