บทที่ 73: ไม้แข็งไม้อ่อน
มู่ไป๋ไป่มองดูเด็กหนุ่มตรงหน้าอย่างตั้งอกตั้งใจ จนกระทั่งรู้สึกถึงความเจ็บปวดบริเวณหน้าผากของตน “โอ๊ย! ท่านตีข้าทำไม?”
“ใครอนุญาตให้เจ้ามองข้ากัน” เซียวถังอี้หรี่ตาลงเป็นสัญญาณอันตรายและเตือนว่า “ในอดีตคนที่กล้าจ้องหน้าข้าแบบเดียวกับเจ้าหัวหลุดออกจากบ่าไปนานแล้ว”
“ทำไม ข้าจ้องหน้าท่านแล้วมันจะทำไม?” เด็กหญิงหัวเราะเยาะเย้ยพลางรู้สึกว่าคนผู้นี้นอกจากจะมองไม่ออกแล้ว เขายังเป็นคนที่แปลกมากอีกด้วย “ท่านมีดอกไม้บานอยู่บนหน้าหรืออย่างไร มันแปลกมากจนไม่อยากให้คนอื่นเห็นอย่างนั้นหรือ?”
มันไม่สมเหตุสมผลเลยที่คนเราจำเป็นต้องมาหัวเสียเพราะมีคนมองเพียงครั้ง 2 ครั้ง
“เจ้าเด็กนี่ เจ้ายังไม่โตเลยทำไมปากถึงได้คมยิ่งนัก” เซียวถังอี้ลุกขึ้นยืนแล้วตัดสินใจว่าจะไม่สนใจเด็กคนนี้อีก “ข้าไม่ต้องการให้เจ้าตอบแทนบุญคุณข้าแล้ว เจ้าอยากทำอะไรก็เชิญเลย”
แล้วท่าทีที่เปลี่ยนไปอย่างกะทันหันของเด็กหนุ่มก็ทำให้มู่ไป๋ไป่ตกใจ หลังจากที่เข้าใจว่าอีกฝ่ายหนึ่งหมายถึงอะไร เธอก็ลุกขึ้นยืนเท้าเอวบนโต๊ะ แต่มันแทบไม่สามารถชดเชยความต่างของส่วนสูงระหว่างทั้ง 2 คนได้เลย “ท่านเป็นคนพาข้ามาที่นี่ ท่านก็ต้องรับผิดชอบพาข้ากลับไปสิ!”
ทว่าเซียวถังอี้กลับทำเป็นหูทวนลมไม่ได้ยินคำพูดของเธอ เขาล้มตัวลงนอนบนกองฟางข้าง ๆ และหลับตาพักผ่อนทันที
“นี่ท่าน!” มู่ไป๋ไป่ไม่ได้รู้สึกโกรธใครเช่นนี้มาเป็นเวลานานแล้ว เธอจึงคิดที่จะดึงแส้หนังเล็ก ๆ ของตัวเองออกมาจากเอวโดยหมายจะฟาดคนผู้นั้นเพื่อระบายความโกรธ แต่ก็ต้องล้มเลิกความคิดดังกล่าวไปหลังจากคิดถึงวรยุทธของคู่ต่อสู้ที่สูงส่งพอ ๆ กับอวี้เซิ่ง
ทันใดนั้นก็มีเสียงดังก้องไปทั่วห้อง
โครกคราก~
“เสียงอะไรน่ะ?” เด็กน้อยกะพริบตาปริบ ๆ พลางมองไปรอบ ๆ ในที่สุดก็ไปหยุดอยู่ที่คนที่กำลังนอนอยู่ “ท้องของท่านร้องหรือ?”
เซียวถังอี้ลืมตาขึ้นอย่างง่วงงุน “เจ้าเด็กน้อย ถ้าเจ้ายังไม่ยอมไป ข้าจะกินเจ้าซะ”
มู่ไป๋ไป่ไม่เชื่อคำพูดไร้สาระที่แกล้งหลอกให้เด็กอายุ 3 ขวบตกใจกลัวของเขา เธอใช้แขนขาสั้น ๆ ปีนลงจากโต๊ะก่อนจะวิ่งไปหาอีกฝ่าย จากนั้นก็หยิบห่อบางอย่างที่เปื้อนน้ำมันออกมาจากกระเป๋าของตัวเองอย่างระมัดระวัง
เมื่อกลิ่นหอมของอาหารอบอวลไปทั่วห้อง ดวงตาของเซียวถังอี้ก็จับจ้องไปยังมือเล็ก ๆ ของเด็กหญิง
“นี่ ท่านหิวแล้วใช่หรือไม่ บังเอิญข้ามีซาลาเปาติดตัวมาด้วย” มู่ไป๋ไป่ยิ้มขณะเปิดห่อแล้วยื่นไปตรงหน้าเด็กหนุ่มเพื่อเป็นการยั่วเย้าอีกฝ่าย
ก่อนหน้านี้เธอเพิ่งซื้อซาลาเปาลูกนี้มาจากเตาร้อน ๆ ดังนั้นเวลาผ่านไปเพียงไม่นานมันจึงยังอุ่นอยู่ มันถูกยัดไส้ด้วยหมูและต้นหอม พอกัดเข้าไปแล้วมันก็อบอวลอยู่ในปาก
“แล้ว?” เซียวถังอี้ไขว้มือไว้ด้านหลังศีรษะพลางมองดูเด็กหญิงเหมือนไม่รู้สึกอะไร
“ก็ไม่มีอะไรหรอก” มู่ไป๋ไป่ยิ้มแบบมีเลศนัย “ขอเพียงแค่ท่านส่งข้ากลับไปที่เดิม ข้าก็จะมอบซาลาเปาลูกนี้ให้แก่ท่าน ตกลงหรือไม่?”
เด็กหนุ่มทำเพียงแค่ยิ้มมุมปากมองเด็กตรงหน้า แต่ก็ไม่ได้ตอบอะไรออกมา
เมื่อมู่ไป๋ไป่เห็นว่าเขาไม่มีปฏิกิริยาใด ๆ เลย หัวใจของเธอก็เต้นรัว เธอรีบแบ่งซาลาเปาลูกใหญ่ออกเป็น 2 ส่วนแล้วมอบให้กับเซียวถังอี้ “เอาน่า วีรบุรุษหนุ่ม ชิมสักคำแล้วค่อยพาข้ากลับ”
“ท่านแค่ก้าวไม่กี่ก้าว ใช้เวลาไม่นานหรอก วีรบุรุษหนุ่ม”
“พอท่านส่งข้ากลับแล้ว ท่านแม่ของข้าจะตกรางวัลให้ท่านอย่างงามแน่นอน แบบนี้การลงแรงของท่านก็จะไม่สูญเปล่า”
ในชั่วพริบตานั้นก็มีประกายรอยยิ้มแวบขึ้นมาในดวงตาของเซียวถังอี้ พร้อมกับที่เขารู้สึกว่าเด็กหญิงคนนี้เป็นคนตลกมาก ดังนั้นเขาจึงอดไม่ได้ที่จะหยอกล้อนางสักหน่อย “ถ้าข้าไม่ตกลงล่ะ?”
“...”
มู่ไป๋ไป่ไม่เคยพบคนเช่นนี้มาก่อน
“ท่านจะไม่ทำใช่หรือไม่?” เด็กหญิงหรี่ตาลง ในขณะที่มีแสงแวววับปรากฏขึ้นในดวงตาของเธอ “ข้าจะบอกความจริงบางอย่างให้ท่านฟัง ข้าได้วางยาพิษไร้สีไร้กลิ่นใส่ท่านแล้ว”
“ภายใน 1 วัน ถ้าท่านไม่ได้รับยาถอนพิษ อวัยวะภายในของท่านก็จะค่อย ๆ เน่าเปื่อยและร่างกายของท่านก็จะระเบิดตาย”
“ถ้ายังอยากมีชีวิตอยู่ให้รีบส่งข้ากลับไปเดี๋ยวนี้”
“ไม่อย่างนั้น… เอ่อ...”
“น่ากลัวจังเลย~” เซียวถังอี้ลุกขึ้นนั่ง หากมู่ไป๋ไป่เห็นสีหน้าภายใต้หน้ากากของเขา เธอก็จะพบว่ามันกำลังแสดงความรู้สึกสนใจมากกว่าหวาดกลัว “ดูเหมือนว่าครั้งนี้ข้าจะต้องทำตามที่เจ้าบอกแล้วสินะ”
คนตัวเล็กถอนหายใจด้วยความโล่งอกทันที พลางคิดกับตัวเองว่าตนช่างอัจฉริยะยิ่งนัก พอใช้ไม้อ่อนแล้วไม่ยอมก็จำเป็นต้องใช้ไม้แข็ง
“เร็วเข้า” มู่ไป๋ไป่ดึงมือที่ถือซาลาเปากลับพร้อมกับพูดเร่งอีกฝ่าย “ครอบครัวของข้าต้องเดินทางไปที่วัดฮู่กั๋วอีก อย่าทำให้ข้าเสียเวลาไปมากกว่านี้เลย”
พอเซียวถังอี้ได้ยินคำว่า ‘วัดฮู่กั๋ว’ เขาก็เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย
“ถ้าอยากให้ม้าวิ่ง ก็ต้องให้อาหารมัน” เด็กหนุ่มหยิบซาลาเปาในมือของเด็กหญิงมาแล้วพูดว่า “ข้าจะกินมันให้หมดก่อน”
ในตอนที่มู่ไป๋ไป่ถูกเซียวถังอี้พาตัวกลับมาส่ง ขบวนเสด็จก็ตกอยู่ในความโกลาหลแล้ว
ทันทีที่ซูหว่านกับไทเฮาได้ยินว่ามู่ไป๋ไป่ถูกลักพาตัวโดยบุคคลปริศนา ทั้งคู่ก็เป็นกังวลกันมาก พวกนางถึงกับเตรียมส่งคนไปที่วังหลวงเพื่อรายงานมู่เทียนฉงและขอให้เขาส่งทหารรักษาพระองค์ออกไปตามหาองค์หญิงหกทั่วเมือง
ในตอนนั้นเอง ก็มีคนพบเห็นมู่ไป๋ไป่ลอยลงมาจากฟ้าโดยมีชายคนหนึ่งที่สวมเสื้อผ้าลึกลับจับเอาไว้
“ท่านแม่! ท่านย่าไทเฮา!”
เมื่อเท้าเล็ก ๆ แตะพื้น เด็กน้อยก็วิ่งไปขอโทษแม่และย่าของตนพร้อมกับอธิบายเรื่องนี้จนชัดเจน
พอหว่านผินเห็นว่าลูกสาวปลอดภัยดี นางก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก ส่วนไทเฮาเดินเข้าไปกอดหลานสาวและปาดน้ำตาที่หางตาเบา ๆ พร้อมกับเตือนว่าในอนาคตอย่าได้ประมาทเช่นนี้อีก
มู่ไป๋ไป่ทำได้เพียงรับปากซ้ำ ๆ ก่อนจะนึกถึงเด็กหนุ่มที่เพิ่งมาส่งเธอกลับ และกำลังจะขอให้ซูหว่านกับไทเฮามอบรางวัลให้เขาเป็นค่าตอบแทนที่เสียเวลามาส่งเธอ แต่พอหันกลับไป เธอก็ไม่เห็นแม้แต่เงาของเขา
นี่เขาไม่รอรับยาแก้พิษจากเธอหรือ?
“ไป๋ไป่ เจ้ากำลังมองอะไรอยู่น่ะ?” ซูหว่านอุ้มเด็กน้อยขึ้นมาบนรถม้า ไม่นานขบวนเสด็จก็เคลื่อนตัวต่อไป
หลังจากที่ใช้เวลาตามหามู่ไป๋ไป่กับเจ้าส้มอยู่นาน ขบวนเสด็จก็เริ่มออกเดินทางทันทีที่พวกเธอกลับมา
“ไป๋ไป่กำลังมองหาพี่ใหญ่ที่มาส่งไป๋ไป่กลับ ไป๋ไป่ยังไม่ได้ขอบคุณเขาเลย” เด็กหญิงคิดว่าแม้ชายคนนั้นจะนิสัยแปลกประหลาดไปสักหน่อย แต่เขาก็ยังยอมมาส่งเธอกลับ แล้วเธอก็คิดในใจว่า
หากมีโอกาส เอาไว้ค่อยไปขอบคุณเขาคราวหน้า
“ไป๋ไป่…” ซูหว่านนึกถึงร่างที่มาส่งลูกสาวเมื่อครู่ ดูเหมือนว่านางจะเคยเห็นหน้ากากบนใบหน้าของบุคคลนั้นที่ไหนสักแห่ง แต่นึกอย่างไรก็นึกไม่ออกสักที
“มีอะไรหรือเพคะท่านแม่?” มู่ไป๋ไป่เงยหน้าขึ้นถามหลังจากได้ยินเสียงเรียกอย่างลังเลของผู้เป็นแม่
“ไม่มีอะไร” หว่านผินปกปิดความสงสัยแล้วยิ้มให้คนตัวเล็ก “แม่แค่คิดว่าสถานะของเจ้าไม่ใช่คนธรรมดา อีกทั้งพวกเจ้าไม่เคยรู้จักกันมาก่อน ดังนั้นในอนาคตควรติดต่อกับเขาให้น้อยลงจะดีกว่า”
มู่ไป๋ไป่เอียงคอคิดอยู่ครู่หนึ่ง เพราะเธอรู้สึกว่าสิ่งที่ซูหว่านพูดนั้นสมเหตุสมผล เธอจึงพยักหน้าและหันกลับมาเพื่อจัดการสั่งสอนเจ้าส้ม
จากนั้นการเดินทางที่เหลือก็เป็นไปอย่างราบรื่น จนกระทั่งทุกคนเดินทางมาถึงวัดฮู่กั๋วก่อนกำหนดการ
เมื่อเจ้าอาวาสทราบข่าวว่าไทเฮาเสด็จมาพร้อมกับพระสนมและองค์หญิง เขาก็ได้มารอรับอยู่ที่ตีนเขาด้วยท่าทางนอบน้อม
วัดฮู่กั๋วนั้นตั้งอยู่บนภูเขาในเขตชานเมืองของเมืองหลวง ทิวทัศน์ที่นั่นงดงามสะอาดตา ซึ่งเป็นทิวทัศน์ที่ดึงดูดใจทุกคนให้ออกไปเดินเล่นเยี่ยมชมทันทีที่ก้าวลงจากรถม้า