บทที่ 727 ผู้มาเยือนจากหุบเขาเมฆหมอก
“แม้สำนักมั่วไถจะพัฒนามาหลายปี แต่ยังอยู่ในช่วงเริ่มต้น เมื่อเทียบกับเหล่าแม่ทัพท่านอื่นๆท่านยังขาดสิ่งสำคัญคือเวลา” เนี่ยหยวนจือกล่าวขณะพูดถึงหัวข้อนี้
“หลี่หลันและเจียงเซิ่งฮว่าทั้งสองเป็นผู้มีพรสวรรค์ สามารถฝึกตนจนถึงขั้นทองในดินแดนแร้นแค้นทางตอนเหนือได้ ทั้งยังได้รับตำแหน่งเจ้าสำนัก พวกเขาเหล่านี้ล้วนเป็นบุคคลที่มีคุณสมบัติที่ดี ขณะนี้สำนักมั่วไถต้องการคน ถ้านำพวกเขามาร่วมงานก็ไม่เสียหาย แต่อย่างไรก็ตามทุกอย่างขึ้นอยู่กับความเห็นของท่านแม่ทัพ”
เฉินโม่ฟังพร้อมพยักหน้าอย่างครุ่นคิด
สำหรับเจียงเซิ่งฮว่า ข้าไม่ใส่ใจมากนัก เพราะบุญคุณที่มีมาจากเจ้าสำนักท่านก่อนของสำนักเซียนอู่
แต่หลี่หลันและผู้อาวุโสแห่งสำนักสิบค่ายกลอย่างหยู่เซิ่งกงกลับช่วยเหลือเฉินโม่อย่างมากในช่วงฝึกขั้นสร้างรากฐาน
หากไม่ได้ความช่วยเหลือจากพวกเขา ก็คงไม่ได้เปิดเส้นพลังวิญญาณขั้นสี่เพื่อให้พวกเขาสร้างสำนักเซียนขึ้นใหม่
เฉินโม่ครุ่นคิดแล้วกล่าวว่า
“เอาแบบนี้ก็แล้วกัน ให้พวกเขาเข้ามา แต่ต้องเริ่มจากระดับศิษย์รุ่นที่สามก่อน”
“ตกลง” เนี่ยหยวนจือยิ้มตอบ
“ข้าได้เตรียมใจพวกเขาไว้แล้ว”
หลี่หลันและเจียงเซิ่งฮว่าเป็นเพียงเหตุการณ์เล็กๆที่ไม่ได้ขัดขวางงานเลี้ยงของเฉินหู่และพรรคพวกที่กำลังดื่มกินกันอย่างสนุกสนาน
งานเลี้ยงผ่านไปอย่างราบรื่น ทุกคนต่างอิ่มเอมใจกับอาหารจากท้องทะเล
ยิ่งไปกว่านั้น อาหารวิญญาณชั้นสูงอย่างปลาวิญญาณและปูวิญญาณที่พวกเขากินนั้นมีพลังวิญญาณเต็มเปี่ยม การกินอาหารพวกนี้ไปนานๆอาจจะมีผลเทียบได้กับยาวิญญาณเซียนเสริมพลังแต่เป็นแบบที่อ่อนกว่า
ข้อดีคืออาหารพวกนี้ไม่ต้องผ่านการปรุงแต่งใด ๆ
โดยเฉพาะสำหรับจางเหลียงที่ได้ใช้ประโยชน์จากการเสริมพลังร่างกายที่บกพร่องฟื้นฟูพลังและกลับเข้าสู่เส้นทางแห่งการฝึกตนอย่างรวดเร็ว
เซียนนั้นสามารถเลี่ยงการกินได้ แต่ถ้าทั้งฝึกตนและเพลิดเพลินกับอาหารอร่อยได้จะไม่ทำก็ดูเสียโอกาสเปล่าๆ
เฉินโม่วางแผนไว้ว่าทุกปีจะต้องไปไห่ผิงโจวสักครั้ง
ทรัพยากรในทะเลแทบจะไม่มีที่สิ้นสุดสำหรับเขา
ตราบใดที่ไม่ได้ใช้ ประตูมังกร เขาสามารถจับปลาวิญญาณและปูวิญญาณได้ทุกเมื่อ
“พวกที่ไห่ผิงโจวมีสัญลักษณ์แปลกๆบนตัวพวกเขามันคืออะไร?” เฉินโม่คิดถึงเรื่องนี้ขึ้นมา
ภาพเหตุการณ์ในวันนั้นยังค่อนข้างชัดเจน ผู้คนเหล่านั้นเพิ่มพลังของตัวเองในช่วงเวลาสั้นๆราวกับใช้วิชาเก้ากลายพลังโลหิต
บางทีอาจเกี่ยวข้องกับสัตว์อสูรทะเลก็เป็นได้
แต่ถ้าต้องการความจริง คงต้องเสี่ยงเข้าไปสำรวจให้ลึกขึ้น
แต่ความเสี่ยงนั้นเขาคงไม่คิดจะเสี่ยงด้วยตัวเอง
หลังงานเลี้ยงจบลง เนี่ยหยวนจือสั่งให้เนี่ยซิน ทำความสะอาด เนี่ยซิน ผู้ที่สืบทอดจากสกุลเนี่ยในสำนักมั่วไถ ตั้งแต่เริ่มก่อตั้งตอนนี้บรรลขั้นทองตอนปลายแล้ว
นับว่าเป็นความก้าวหน้าที่รวดเร็วมาก
แต่แม้จะก้าวหน้าได้เร็วแค่ไหนในสายตาของเฉินโม่นางก็ยังดูเขินอายอยู่
ถึงจะมีความในใจ แต่นางก็ยังไม่ได้ก้าวเข้าไปในชีวิตของเขา
...
กลับมาที่วิหารใหญ่
ต้นข้าวหยกสวรรค์หน้าวิหารนั้นสุกแล้ว
เฉินโม่เก็บต้นข้าวแล้วปอกเปลือกพร้อมเดินไปยังห้องลับด้านหลังวิหาร
เมื่อเขามาถึงมือของเขาก็เต็มไปด้วยกลิ่นหอมของสุรา
แม้ยังไม่ผ่านกระบวนการหมักดอง กลิ่นที่ได้ก็ชัดเจนมากดังที่ฉินซีกล่าวไว้ ข้าววิญญาณชนิดนี้เกิดมาเพื่อใช้ทำสุราโดยแท้
เฉินโม่นับดูพบว่ามีทั้งหมด 32 เมล็ด
หากเป็นคนทั่วไป พวกเขาอาจจะประสบความสำเร็จแค่สองถึงสามเมล็ดในการเพาะพันธุ์ แต่ตอนนี้ที่ความสามารถ ฟ้าประทาน ได้ถูกเปลี่ยนเป็นพลังวิเศษความสำเร็จเพิ่มขึ้นถึงสิบเท่า!
สำหรับพืชวิญญาณที่มีระดับไม่เกินขั้นสาม สามารถแปลงเป็นเมล็ดพันธุ์ได้โดยไม่มีการสูญเสีย
ส่วนพืชวิญญาณขั้นสี่ก็มีโอกาสสูงถึงสองต่อหนึ่ง
เฉินโม่จึงได้เมล็ดพันธุ์วิญญาณ 17 เมล็ด
เขาไม่เสียเวลาเล่นกับมัน และนำเมล็ดพันธุ์เหล่านั้นไปปลูกที่หน้าวิหารโดยปรับ ค่ายกลฟ้าฝนเป็นใจให้เหมาะสมกับอุณหภูมิและแสงสว่าง จากนั้นจึงปลูกลงไปอีกครั้ง
ตามแผนนี้เมื่อครบสามปี เขาก็จะสามารถเก็บเกี่ยวได้ในปริมาณมากและนำไปหมักสุราได้แล้ว
เฉินโม่ถึงกับส่งคนไปเรียนรู้วิธีการหมักสุราอู๋ชิงและสุราเงาฝันแล้ว
สุราเหล่านี้เหมาะอย่างยิ่งสำหรับใช้ต้อนรับแขก
ในขณะเดียวกันขณะที่เฉินโม่เร่งฝึกตน เขาก็แบ่งเวลาหนึ่งในสามเพื่อดูแล นาวิญญาณ
เมื่อเจอพืชวิญญาณที่เกิดการกลายพันธุ์ เขาจะคอยสังเกตหากเห็นว่ามีศักยภาพ เขาจะเก็บเกี่ยวและให้ฉินซีทำการพัฒนา
นอกจากนั้นตั้งแต่เกิดเหตุการณ์ของมู่เถาเฉินโม่ก็เริ่มระวังตัวมากขึ้น
เขาจะใช้ดวงตาวิญญาณสื่อสารกับต้นไม้โบราณบนยอดเขาหยานอวิ๋นเป็นระยะ
เวลาผ่านไปกว่า 20 ปี
ต้นไม้ธรรมดาที่เคยเห็นบนยอดเขาหยานอวิ๋น ตอนนี้ได้กลายเป็นต้นไม้ที่ใหญ่ที่สุดและทรงพลังที่สุดบนภูเขาแล้ว
ต้นไม้ต้นนี้สามารถดูดซับพลังวิญญาณได้และแม้ว่ามันจะไม่ออกผลผลิตใดๆให้เฉินโม่แต่แม่ทัพซือกวงหยวนกลับมองว่ามันเป็นสมบัติล้ำค่าและเขาได้ตัดต้นไม้อื่นๆรอบๆต้นไม้นี้ออกเพื่อไม่ให้รบกวนการเจริญเติบโตของมัน
แต่สิ่งที่เขาไม่รู้คือ รากของต้นไม้วิญญาณนี้ได้แผ่ขยายครอบคลุมยอดเขาหยางอวิ๋นหุบเขาเมฆหมอกทั้งหมด
ทุกการเคลื่อนไหวของซือกวงหยวนและเหล่าทหารผู้พิทักษ์ล้วนตกอยู่ในสายตาของต้นไม้นี้
และเฉินโม่ก็สามารถมองเห็นทุกอย่างผ่านต้นไม้วิญญาณนี้ได้
จากต้นไม้นี้เฉินโม่ได้รับรู้ถึงความลับของซือกวงหยวน
ในตอนแรกเขายังสงสัยว่าทำไมคนอย่าง กู่เซียนจือ ที่งดงามเช่นนั้นถึงได้เลือกเว่ยอีชายแก่คนนั้น
จนเมื่อคิดได้ว่าถ้าแม่ทัพตายนางก็จะได้เป็นแม่ทัพแทน
ทั้งหมดนี้เป็นแผนที่เขาวางไว้ร่วมกับจางเจี๋ยซึ่งกู่เซียนจือไม่รู้ว่าจางเจี๋ยทำไปเพื่อทดแทนบุญคุณที่มีต่อซ่งหยุนซี
และแน่นอนว่าวิธีการของซือกวงหยวนเกี่ยวข้องกับวิชาที่เขาฝึกอยู่
เป็นวิชา หยวนหยางหนึ่งพลัง ที่เน้นการสะสมพลังหยวนหยาง หากต้องการความก้าวหน้าในการฝึกต้องไม่สูญเสียพลังหยวนหยาง
หรือพูดอีกอย่างก็คือ เขาไม่สามารถฝึกตนร่วมกับผู้อื่นได้
นี่จึงเป็นสาเหตุของความสัมพันธ์แปลกๆระหว่างเขากับกู่เซียนจือ
เฉินโม่มักจะดูละครน้ำเน่าของหุบเขาเมฆหมอกและใช้โอกาสนี้เพื่อควบคุมการเคลื่อนไหวของซือกวงหยวนพร้อมกับสนองความอยากรู้อยากเห็นของเขาเอง
และในวันหนึ่งได้มีผู้ฝึกตนมาเยือนยอดหยานอวิ๋นและหุบเขาเมฆหมอก
สิ่งที่ทำให้เฉินโม่ประหลาดใจก็คือ ผู้มาเยือนนั้นมีระดับพลังถึงขั้นเปลี่ยนจิต!
ผิงตูโจวเป็นเพียงสถานที่เล็กๆคล้ายกับตอนที่เฉาหลิงยวิ่นมาเยือน แต่ทุกคนที่เป็นผู้ฝึกตนในขั้นเปลี่ยนจิตที่มาที่นี่ล้วนมีจุดประสงค์บางอย่าง
“คารวะท่านซางเตี้ยนหลี่!”
ต่อหน้าผู้มาเยือนซือกวงหยวนแสดงความเคารพอย่างที่สุด อำนาจและบารมีที่เคยแผ่ออกไปนั้นหายไปหมดสิ้น
เขาดูประหม่ามาก
“ทหารหัวมังกรอาจจะมีการเคลื่อนไหวใหญ่ในเร็วๆนี้”
ผู้มาเยือนพูดด้วยสีหน้าซีดขาวราวกับศพ
แต่คำพูดของเขาเต็มไปด้วยอำนาจที่ไม่อาจปฏิเสธได้
(จบบท)