ตอนที่แล้วตอนที่ 41  ปีศาจหลบหนี กรงเล็บปีศาจ
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 43 เทือกเขาหยุนอู๋ 

ตอนที่ 42 คฤหาสน์ตระกูลอู๋ถูกยึด


ตอนที่ 42 คฤหาสน์ตระกูลอู๋ถูกยึด

ครึ่งชั่วโมงต่อมา

ผู้บัญชาการทั้งห้าคนมาจากทั่วเมืองหลงเจียงก็ได้มารวมตัวกันที่คฤหาสน์ของนายพลเย่หนานเทียน

ผู้บัญชาการทั้งห้ามีรูปลักษณ์ที่แตกต่างกัน

บางคนสูงและแข็งแรง ในขณะที่บางคนก็ดูผอมแห้งแรงน้อย

“ทำไมจู่ๆ นายพลถึงได้เรียกพวกเราให้มารวมตัวกันที่นี่กันน่ะ”

“ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่มันต้องเป็นเรื่องใหญ่มากแน่ๆ”

“ใช้แล้ว ทั่วทั้งเมืองมีผู้บัญชาการทั้งหมดเพียงสิบคนเท่านั้น ส่วนอีกห้าคนก็ถูกส่งตัวไปทำงานอยู่ข้างนอกถ้าไม่ใช่เรื่องใหญ่ท่านนายพลจะโทรเรียกเราที่เหลือทั้งห้าคนมาที่นี่ทำไม”

“ทหารโบกมือเรียกแล้ว รีบเข้าไปเร็วเข้า”

ไม่นานนักในห้องนั่งเล่นของคฤหาสน์นายพล ผู้บัญชาการทั้งห้าก็ได้มานั่งรวมกันที่โต๊ะด้วยท่าทางเคารพ

เย่หนานเทียนยังคงยืนอยู่ตรงหน้าพวกเขาโดยเอามือไพล่ไว้ข้างหลัง  เขาพูดออกมาด้วยท่าทางสุขุม "ฉันได้เตรียมข้อมูลไว้ให้แล้ว ลองเปิดดูสิ "

จากนั้นทั้งห้าคนก็ได้พลิกดูข้อมูลตรงหน้าของพวกเขาอย่างรวดเร็ว เอกสารข้อมูลนี้มีเนื้อหาไม่มากนัก แต่พออ่านแล้วหัวใจของพวกเขาก็ไม่สามารถสงบลงได้อีกต่อไป

“พบสิ่งมีชีวิตใต้น้ำที่มีความยาวประมาณสามสิบเมตร?”

“งั้นก็แสดงว่าครั้งล่าสุดที่เรือบรรทุกสินค้าถูกโจมตี ก็จะต้องเป็นฝีมือของสัตว์ประหลาดตัวนี้อย่างแน่นอน!”

“ตราบใดที่เราสามารถปราบสัตว์ประหลาดตัวนี้ได้ การขนส่งทางน้ำของมณฑลหลินเจียงของเราก็จะทำการขนส่งได้อย่างราบรื่น”

"กองทัพหลินเจียงของเราก่อตั้งมาเกือบแปดปีแล้ว คุณกลัวว่าเราจะฆ่าสัตว์ประหลาดตัวนี้ไม่ได้เหรอ?"

"นายพล ที่คุณเรียกพวกเรามาที่นี่ก็เพื่อหารือกันเรื่องที่จะจัดการกับสัตว์ประหลาดตัวนี้ใช่ไหมครับ?"

เย่หนานเทียนพยักหน้าอย่างสงบ "ฉันคาดว่าอย่างน้อยสิ่งมีชีวิตกลายพันธ์ตัวนี้จะต้องเป็นสัตว์พิเศษขั้นที่ 3   แต่เนื่องจากว่ามันอยู่ในน้ำ ความยากในการจัดการกับมันก็น่าจะพอๆกับสัตว์พิเศษขั้นที่ 4 ได้  ซึ่งถือเป็นเรื่องที่ยากมากที่จะฆ่ามัน แต่เราก็ปล่อยมันไปไม่ได้เหมือนกัน เพราะมันจะต้องรบกวนความมั่นคงของเมืองหลงเจียงอย่างแน่นอน งานที่ฉันจะให้พวกคุณไปทำคือก่อกวนจนกว่ามันจะกลัว โจมตีมันจนกว่ามันจะไม่กล้าเข้ามาในอาณาเขตของกองทัพหลินเจียงอีก!”

ผู้บัญชาการทั้งห้ารีบยืนขึ้นและตอบกลับอย่างเคร่งขรึม “รับทราบครับ”

...

ที่เมืองตงหู

มีร่างหนึ่งกำลังทะยานขึ้นไปในอากาศ รัศมีความชั่วร้ายปะทุออกมาจากตัวของเขา เพียงหนึ่งลมหายใจ ร่างนี้ก็ได้ไปโผล่อยู่บนยอดตึกสูงที่อยู่ห่างออกไปหลายร้อยเมตร เรียกได้ว่าเร็วปานสายฟ้าเลยก็ว่าได้

ทันทีที่เขาคว้าเสาสัญญาณ กรงเล็บแหลมคมที่เหมือนกับกรงเล็บของปีศาจก็ได้ปรากฏขึ้น จนเสาสัญญาณแตกออกเป็นชิ้น ๆ ในทันที!

ครู่ต่อมา ร่างสูงก็ได้มายืนอยู่บนยอดหอสัญญาณ ซึ่งก็ไม่ใช่ใครที่ไหน เขาคือฉู่เสวียน

ในขณะนี้เขาดูมีความสุขเป็นอย่างมาก เนื่องจากว่าเช้านี้เขาสามารถทะลวงผ่านมาอยู่ในขั้นที่ 2 ของช่วงสร้างรากฐานได้สำเร็จแล้ว ซึ่งมันก็ทำให้เทคนิคปีศาจหลบหนีและเทคนิคกรงเล็บปีศาจของเขาปรากฏขึ้นมาตามที่ได้บันทึกไว้ในพระสูตรกลั่นโลหิตปีศาจจริงๆ

แต่เทคนิคนี้ หากขับเคลื่อนด้วยพลังวิญญาณ มันก็จะมีความเร็วเพียงปานกลางเท่านั้น แต่ถ้าหากว่าใช้ปราณปีศาจเข้ามาช่วย  มันก็จะเทียบได้กับวิชาระดับสูงของผู้บำเพ็ญช่วงสร้างรากฐาน

ซึ่งทำให้ผู้บ่มเพาะส่วนใหญ่ประมาทเลินเล่อและเพิกเฉยต่อวิชานี้ เพราะคิดว่ามันเป็นแค่วิชาระดับต่ำเท่านั้น เมื่อถึงตอนนั้นฉู่เสวียนก็จะใช้ปราณปีศาจเพื่อระเบิดความเร็วที่น่าทึ่งและพลังที่น่าสะพรึงกลัวออกมา ก่อนจะฆ่าคู่ต่อสู้ได้โดยที่อีกฝ่ายไม่ทันคาดคิด!

“การที่ข้ากลับมายังดาวเคราะห์โลกาวินาศในครั้งนี้ มันทำให้ข้าสามารถพัฒนาเขตแดนการบ่มเพาะไปได้ครั้งใหญ่เลยทีเดียว”ฉู่เสวียนกล่าวออกมาด้วยรอยยิ้ม

ก่อนที่จะมาที่นี่ เขายังอยู่ช่วงกลั่นลมปราณขั้นที่ 9 เท่านั้น แต่ตอนนี้เขาเป็นผู้บำเพ็ญช่วงสร้างรากฐานขั้นที่ 2  และยังได้กลั่นอาวุธเวทย์มนตร์มาได้ชิ้นหนึ่ง นั่นก็คือเชือกยึดวิญญาณ และยังมีอาวุธเวทย์มนตร์ระดับสูงในครอบครองอย่างดาบบินเทียนกัง และโล่ไม้ทองคำ

และเขายังได้ฝึกฝนเคล็ดลับวิชาในช่วงสร้างรากฐานอย่างกรงเล็บปีศาจและปีศาจหลบหนี ที่ไม่ว่าเขาจะป้องกันหรือหลบหนี ก็รับประกันได้ว่าไม่เป็นสองรองใครอย่างแน่นอน

“ด้วยความแข็งแกร่งนี้ แม้ว่าข้าจะตกเป็นเป้าหมายของซุนซือและผู้บำเพ็ญช่วงสร้างรากฐานคนอื่นๆ อีก ข้าก็เชื่อว่าข้าจะสามารถต่อกรกับพวกเขาได้”ฉู่เสวียนยิ้มเบา ๆ

“ใกล้ถึงเวลากลับแล้ว ครั้งนี้สิ่งที่ข้าต้องการมากที่สุดเพื่อเอามาเสริมความแข็งแกร่งให้กับอาวุธเวทย์มนตร์ของข้าก็คือวิญญาณชั่วร้ายวิญญาณของผู้บำเพ็ญที่อยู่ในช่วงสร้างรากฐาน!”

จากนั้นฉู่เสวียนก็ได้กลับมาที่โรงแรมห่าวไท่ คราวนี้เขาได้ให้เสี่ยวหู่และเสี่ยวเป้าเฝ้าบ้านด้วยกัน และพาเสี่ยวหลงไปด้วยเพียงลำพัง เนื่องจากว่าเขาไว้ใจเสี่ยวหู่เป็นอย่างมากจึงตั้งใจปล่อยให้เสี่ยวเป้าอยู่กับเสี่ยวหู่ เพื่อต้องการให้เสี่ยวหู่สอนเรื่องต่างๆให้กับเสี่ยวเป้าและเปลี่ยนนิสัยที่ขี้กบฏของมัน ส่วนเสี่ยวหลงนั้น ผู้ชายคนนี้แข็งแกร่งที่สุดและมีความคิดกบฏโดยธรรมชาติ ดังนั้นฉู่เสวียนจึงต้องเก็บเขาไว้ข้างกายไม่ปล่อยให้คลาดสายตา

หลังจากที่จัดการทุกอย่างเสร็จแล้ว ฉู่เสวียนก็หยิบกระจกโลหิตออกมาจากถุงเก็บของ และทันใดนั้น เขาก็ถูกกระจกดูดร่างเข้าไป หายไปในพริบตา

เสี่ยวหู่ที่มีประสบการณ์มาก่อน จึงไม่รู้สึกแปลกใจแม้แต่น้อย  ทว่าเสี่ยวเป่านั้นกลับตกใจ และงุนงงเป็นอย่างมาก

เจ้านายหายไปไหนแล้ว? ทำไมเขาถึงรู้สึกว่าความสัมพันธ์ระหว่างเขากับเจ้านายอ่อนแอลงอย่างกะทันหันแบบนี้ ?

เป็นไปได้ไหมว่า...ดวงตาของเขาเริ่มกลอกไปด้วยความคิดบางอย่างทันที

“โฮ โฮ โฮ โฮ~ โฮ!” เสี่ยวหู่ตะคอกออกมาอย่างเย็นชา จากนั้นเขาก็ก้าวขึ้นมาเป็นผู้สั่งการแทนทันที

เสี่ยวเป่าเองก็ได้แต่ถอนหายใจด้วยความคับข้องใจสองสามครั้ง และไม่กล้าคิดถึงมันอีกต่อไป

...

ทวีปชางเสวียน ตรอกไท่ผิง

ฉู่เสวียนได้กลับมาที่นี่อีกครั้ง เทคนิคการปลอมตัวจึงถูกนำมาใช้อย่างเลี่ยงไม่ได้ คราวนี้เขาอยู่ในรูปลักษณ์ของชายหัวโล้นที่ดูแข็งแกร่ง แค่มองแวบแรกก็รู้ว่าเป็นคนดูดุร้าย ดังนั้นจึงไม่มีใครหน้าไหนกล้าเข้ามาใกล้เขาเลย

แต่เมื่อเขามาถึงตรอกไท่ผิง เขาก็รู้สึกได้ทันทีว่าบรรยากาศของที่นี่เปลี่ยนไปอย่างมาก หลังจากที่ได้ซักถามจากผู้คนแถวนั้น เขาก็ได้คำตอบว่าตระกูลอู๋ที่ควบคุมตรอกไท่ผิงแห่งนี้ถูกนิกายเสินกังเข้ามายึดคฤหาสน์ไป

เนื่องจากมีคนมารายงานว่าตระกูลอู๋กำลังซ่อนเศษเดนที่เหลือของนิกายอู๋จี๋  เมื่อนิกายเสินกังได้ส่งผู้บ่มเพาะไปสอบสวนเรื่องนี้ก็ปรากฏว่ามันเป็นเรื่องจริง ส่งผลให้สมาชิกตระกูลอู๋หลายพันคนถูกกล่าวหาว่าสมรู้ร่วมคิดกับผู้บำเพ็ญสายมาร ทุกคนจึงได้รับโทษประหารชีวิต มีเพียงอู๋เถิง บรรพบุรุษของตระกูลอู๋ และยี่เฉียนอู๋ผู้บำเพ็ญสายมารอีกคนที่สามารถหลบหนีออกไปได้

เมื่อได้ยิน ฉู่เสวียนก็รู้สึกเศร้าใจเล็กน้อย การคาดเดาของเขาถูกต้องจริงๆ เมื่อมีคนมารวมตัวกันมากขึ้น เป้าหมายก็จะใหญ่ขึ้นอย่างเลี่ยงไม่ได้ และในไม่ช้าก็จะต้องเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นที่คฤหาสน์ตระกูลอู๋ โชคดีที่เขาไม่คิดที่จะเข้าร่วมกับหลิวเจิ้งสงและคนอื่นๆในเวลานั้น มิฉะนั้นเขาก็คงจะกลายเป็นเป้าหมายของการถูกนิกายเสินกังตามล่า

หลังจากนี้พวกเขาก็จะต้องกลับมาใช้ชีวิตแบบเดิมอีกครั้ง..ต้องถูกตามล่าและหนีหัวซุกหัวซุน

ทว่าฉู่เสวียนก็ไม่ได้แสดงสีหน้าอะไรออกมา เขาเอาแต่นั่งเงียบ ๆ อยู่ข้างหน้าต่างโรงน้ำชา และดื่มชาเหมือนเมื่อก่อน

ตอนนี้เขาเป็นผู้บำเพ็ญช่วงสร้างรากฐานแล้ว เขาจึงได้ยินการสนทนาของผู้บ่มเพาะรอบๆตัวโดยไม่ต้องอาศัยความช่วยเหลือจากกู่สดับที่อยู่ในหูของเขาอีกต่อไป

ตามที่เขาคาดไว้ เวลาบนทวีปชางเสวียนพึ่งผ่านไปไม่ถึงหนึ่งเดือนเท่านั้น การหายตัวไปของโอวหยางห่าวจึงยังคงเป็นที่พูดถึงของผู้บ่มเพาะทั่วไปหลายคน

นอกจากนี้ยังมีเรื่องสำคัญอีกเรื่องหนึ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น ซึ่งดึงดูดความสนใจของฉู่เสวียนเป็นอย่างมาก

หวันอู๋อิง บรรพบุรุษที่อยู่ในช่วงแก่นปราณทองคำของนิกายอู๋จี๋ถูกรุมล้อมด้วยบรรพบุรุษแก่นปราณทองคำทั้งสามคนจากนิกายเสินกังและวัดจินหลง จนในที่สุดก็เสียชีวิตลงไป การเสียชีวิตของบรรพบุรุษแก่นปราณทองคำในครั้งนี้ถือได้ว่าเป็นเหตุการณ์สำคัญสำหรับทั้งเก้าแคว้นของอาณาจักรหยูอย่างไม่ต้องสงสัย เรื่องนี้จึงเป็นที่ถกเถียงกันอย่างดุเดือดในหมู่ผู้บ่มเพาะจำนวนมาก "ตอนที่นิกายอู๋จี๋ถูกทำลายลง มีบรรพบุรุษแก่นปราณทองคำเพียงสองคนเท่านั้นที่หนีรอดไปได้ และตอนนี้ก็เหลือเพียงคนเดียวแล้ว "

ฉู่เสวียนจิบชาแล้วถอนหายใจออกมาด้วยอารมณ์เศร้าหมอง เรื่องความเป็นพันธมิตรกันระหว่างนิกายเสินกังและวัดจินหลงนั้น เขารู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย

ในบรรดาห้านิกายสายธรรมของอาณาจักรหยูนั้น  ผู้นำคือนิกายเสินกัง ตามมาด้วยวัดจินหลง พระราชวังเหมี่ยวอิน ภูเขาหยูหลิง และภูเขาเทียนหยิน แต่ความสัมพันธ์ระหว่างสองพี่น้องที่เป็นผู้นำของสำนักทั้งสองนั้นไม่ค่อยดีนักและขัดแย้งกันมาโดยตลอด ทว่าเพื่อจัดการกับหวันอู๋อิง ​​ผู้บ่มเพาะทั้งสามจากนิกายเสินกังและวัดจินหลงจึงได้ร่วมมือกันจัดการกับผู้เฒ่าคนนี้

อย่างไรก็ตาม เรื่องที่ห้านิกายสายธรรมได้ลงมือทำในครั้งนี้ ยังถือว่าไม่ใช่เรื่องใกล้ตัวของเขาสักเท่าไหร่ ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องคิดมากเกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้

“ข้าไม่รู้ว่าจะมีการต่อสู้ครั้งใหญ่ที่ไหน แต่ข้าก็อยากจะจับปลายในน้ำขุ่น เพื่อชิงวิญญาณของผู้บ่มเพาะช่วงสร้างรากฐานมาเป็นวิญญาณชั่วร้ายใส่ลงไปในเชือกยึดวิญญาณ” ฉู่เสวียนเอามือแตะโต๊ะ และนั่งฟังอย่างระมัดระวัง

อย่างไรก็ตาม หลังจากฟังมาเป็นเวลานาน เขาก็ยังไม่ได้คำตอบ เนื่องจากว่าผู้บำเพ็ญช่วงกลั่นลมปราณเหล่านี้มักจะพูดเพียงแต่น้ำ ไม่มีเนื้อ ฉู่เสวียนจึงไม่ได้คิดจะอยู่ที่นี่อีกต่อไป เขาได้วางหินวิญญาณระดับต่ำไว้บนโต๊ะเป็นค่าน้ำชา แล้วจากไปทันที

ซึ่งเขาก็ไม่ได้ตรงไปที่คฤหาสน์ของตระกูลอู๋แต่อย่างใด  ใครจะรู้ว่าอาจมีการซุ่มโจมตีรอเขาอยู่ที่นั่นหรือไม่

ฉู่เสวียนหยิบดาบบังเหินเทียนกังออกมาแล้วมุ่งหน้าไปทางใต้ทันที

หลังจากที่เขาปรับแต่งดาบบังเหินเทียนกังแล้ว รูปร่างหน้าตาของมันก็เปลี่ยนไปจนไม่มีเค้าโครงเดิม  เว้นเสียแต่ว่าจะเป็นคนที่สร้างดาบบังเหินเทียนกังขึ้นมาด้วยมือของเขาเอง แต่มันคงเป็นไปไม่ได้ที่จะบังเอิญขนาดนั้น ที่จะรู้ได้อย่างง่ายดายว่าครั้งหนึ่งสมบัติชิ้นนี้เคยเป็นของโอวหยางห่าว

“ถ้าข้าไม่สามารถหาวิญญาณของผู้บ่มเพาะช่วงสร้างรากฐานได้  ก็คงทำได้เพียงหันไปใช้วิญญาณของสัตว์อสูรช่วงสร้างรากฐานมาเป็นวิญญาณชั่วร้ายแทน”

ฉู่เสวียนเดินไปมุ่งหน้าไปทางใต้ตลอดเส้นทาง เขาต้องผ่านหมู่บ้านและเมืองต่างๆ นับไม่ถ้วน แต่ก็ไม่มีท่าทีว่าจะหยุดเลย

วันต่อมา...เมื่อเสวียนมองออกไปข้างหน้า ก็เห็นทิวเขาใหญ่ทอดยาวนอนออกไป  ทิวเขาเทือกนี้ถูกล้อมรอบไปด้วยเมฆและหมอกสีขาวราวกับเป็นดินแดนแห่งสวรรค์ ชื่อของมันคือเทือกเขาหยุนอู๋ และเป็นเขตแดนที่กั้นระหว่างแคว้นตงโจวและแคว้นอู๋โจวของอาณาจักรหยู

ซึ่งก่อนหน้านี้ฉู่เสวียนเคยมาอาศัยอยู่ที่คฤหาสน์ชิงเหอ หนึ่งในแปดคฤหาสน์ของแคว้นตงโจว

เขาจึงรู้ว่าเทือกเขาที่เป็นดั่งดินแดนสวรรค์แห่งนี้ เต็มไปด้วยสัตว์อสูรมากมายและโดยธรรมชาติแล้ว ที่นี่ย่อมจะต้องมีสัตว์อสูรที่อยู่ในช่วงสร้างรากฐานอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

5 2 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด