ตอนที่ 42 การซ้อมสอบเข้าเรียนต่อ
ตอนที่ 42 การซ้อมสอบเข้าเรียนต่อ
"รสชาติแตกต่างกันจริงๆ"
หลังจากดื่มชาร้อนที่ตัวเองเพิ่งชง รสชาติดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ไม่ใช่ต่างแค่นิดหน่อย
อึก อึก!!
การดื่มชาตอนท้องว่างไม่ดีต่อร่างกาย เซี่ยหยูลูบท้อง จิบชาต่อเนื่องอีก 2-3อึก ชิมอย่างละเอียดแล้วจึงวางแก้วชาลงอย่างเสียดาย
สายตาเป็นประกาย
ศิลปะการชงชา คือศิลปะแห่งการชื่นชมความงดงามของใบชา
นี่เป็นศิลปะในการดำเนินชีวิต มารยาทในการใช้ชีวิต และวิถีชีวิตแห่งการขัดเกลา ปลูกฝังตนเอง
ศิลปะการชงชาที่เก่าแก่ที่สุดและสมบูรณ์ที่สุด คือ พิธีชงชาแบบเจียนฉา ที่คิดค้นโดยลู่อวี่ในสมัยราชวงศ์ถัง
ก่อนหน้านี้เซี่ยหยูคิดว่าศิลปะการชงชาทั้งหมดเป็นเพียงพิธีรีตรองที่ไร้สาระ
พิธีกรรมที่ซับซ้อนเป็นเพียงเพื่อการชื่นชม แต่ใน 2ปีที่ผ่านมาด้วยการสั่งสอนของปู่ ทัศนคติของเขาได้เปลี่ยนไปแล้ว
ศิลปะการชงชาที่เข้มงวดก็เหมือนกับศิลปะการทำอาหาร
คนทั่วไปก็ทำอาหารผัดได้ ชงชาได้ แต่เมื่อเทียบกับมืออาชีพ การทำอาหารและชงชาแบบนั้นจะอิสระกว่ามาก
ทักษะใดๆ ที่ยกระดับสู่ระดับมืออาชีพ ต้องกลายเป็นความจริงจัง เข้มงวด และพิถีพิถัน
เมื่อครู่เซี่ยหยูย่อยความรู้ด้านศิลปะการชงชาที่เพิ่มเข้ามาในสมอง ราวกับเป็นดุษฎีบัณฑิตด้านชงชาที่ผ่านการฝึกอบรมมาหลายปี หลังจากชิมชาที่ตัวเองชง ก็ชูนิ้วโป้งในใจ
เยี่ยมมาก! 1,000 คะแนนชื่อเสียงนี้คุ้มค่า!
ดื่มชาร้อนไปไม่กี่อึก สมองที่เมื่อกี้ยังง่วงๆ ก็สดชื่นทันที
"ชาต้องมีขนมทานคู่กันด้วยนะ..."
เซี่ยหยูทำปากจู๋ หิวแล้ว ตักน้ำเตรียมทำอาหารเช้าให้ตัวเอง รวมทั้งส่วนของเสี่ยวหย่าและมู่เสี่ยวเย่วด้วย
ก๊อก ก๊อก! ก๊อก! มีเสียงคนเคาะประตูครัวอยู่ด้านหลัง
"มีอะไร?" เซี่ยหยูหันหลังให้ประตู ยุ่งอยู่ที่เคาน์เตอร์ครัว ตอบอย่างหงุดหงิด
"..."
ความเงียบที่แปลกประหลาด
เมื่อไม่ได้ยินเสียงตอบ จึงนึกว่าเป็นสาวแกร่งมู่เสี่ยวเย่ว
เซี่ยหยูกำลังเทน้ำร้อนลงในชามทองเหลืองที่ใส่แป้งไว้ หันไปมองด้านหลัง แล้วก็ชะงัก
ที่ประตู ไม่ใช่เสี่ยวหย่า ไม่ใช่มู่เสี่ยวเย่ว แต่เป็นสาวน้อยที่ยืนอย่างสง่างาม
โมริตะ มาคิ วันนี้ดูเหมือนจะตั้งใจแต่งตัวมาเป็นพิเศษ สวมเสื้อเชิ้ตสีขาว กระโปรงสั้นสีดำ รองเท้านักเรียนสีน้ำตาล ถุงเท้าผ้าฝ้ายสีดำสั้นถึงน่อง เต็มไปด้วยกลิ่นอายของวัยรุ่น
เธอรู้จุดเด่นในบุคลิกของตัวเองอย่างชัดเจน บางทีอาจเป็นเพราะช่วยดูแลร้านขนมของครอบครัวมาตั้งแต่เด็ก โมริตะ มาคิ จึงดูเป็นผู้ใหญ่กว่าคนวัยเดียวกัน
เสื้อเชิ้ตแขนยาวสีขาวไม่เพียงแต่ขับเส้นโค้งของร่างกายวัยสาวที่เติบโตมาอย่างดี แต่ยังเน้นความเป็นผู้ใหญ่และอ่อนโยนของเธอ
ถ้าท่อนล่างไม่ใช่กระโปรงสั้น แต่เป็นกางเกงสูทผู้หญิง เธอก็จะเป็นสาวออฟฟิศที่สวยงาม
ตาของเซี่ยหยูเป็นประกาย ในใจผิวปากเบาๆ วู้วววว
ต้องยอมรับว่าการแต่งตัวของโมริตะ มาคิ ถูกใจเขามาก
"มาแล้วทำไมไม่ส่งเสียง?" เซี่ยหยูนวดแป้ง ถามอย่างขบขัน
"เจ็บจี๊ด!"
"จี๊ดบ้าอะไรของเธอ!"
เซี่ยหยูรู้สึกเซ็ง จึงหยุดมือ ชี้ไปที่ก้อนแป้งที่ยังไม่เสร็จในชามทองเหลือง
"งั้นฝากให้เธอนวดแป้งแล้วกัน ปรมาจารย์ขนมหวาน"
"ไม่มีปัญหา!"
วันนี้โมริตะ มาคิ ดูร่าเริง เธอคุ้นเคยกับครัวของร้านอาหารเป็นอย่างดี พับแขนเสื้อเชิ้ตสีขาวขึ้น ล้างมือขาวเรียวยาวอย่างระมัดระวัง ยืนข้างๆ เซี่ยหยู
เมื่อระดับเซียนลงมือ ก็จะรู้ว่าเก่งหรือไม่
เห็นเทคนิคการนวดแป้งของโมริตะ มาคิ เซี่ยหยูจึงพยักหน้าเบาๆ
ทักษะพื้นฐานดีมาก แม้ว่าขนมสมัยใหม่จะมีเครื่องจักรทดแทนงานฝีมือมากมาย แต่ในฐานะเชฟ ไม่ควรพึ่งพาเครื่องจักรมากเกินไป ทักษะพื้นฐานที่ควรฝึกก็ต้องสะสมด้วยการฝึกฝนเท่านั้น
โมริตะ มาคิ เป็นอย่างที่พูดมาจริงๆ เธอไม่เคยละทิ้งฝีมือการทำอาหารของตัวเอง ตลอดหลายปีนี้สะสมและพัฒนามาตลอด รอแค่การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่
"ดูเหมือนเธอจะเก่งทำขนมญี่ปุ่นแบบดั้งเดิมมากที่สุด" เซี่ยหยูเอามือเท้าคาง คิด
ร้านขนมตระกูลโมริตะก็ถือว่าเป็นร้านเก่าแก่ ไม่ต้องพูดถึงฝีมือของลุงโมริตะเจ้าของร้าน ตามความทรงจำของร่างกาย ไทยากิ, ซากุระโมจิ, โดระยากิ, โมจิ และดังโงะที่โมริตะ มาคิ ทำก็ดีมาก
อาจจะใช้คำว่าช่างคิดช่างทำมาอธิบายเธอได้
อย่างไรก็ตาม ขนมหวานเป็นเพียงความเชี่ยวชาญหลัก โมริตะ มาคิ เคยเข้าร่วมการคัดเลือกเข้าเรียนชั้นมัธยมต้นของโทสึกิ สิ่งที่เธอถนัดต้องไม่ใช่แค่ขนมหวานแน่นอน
ขณะที่โมริตะ มาคิ กำลังนวดแป้ง เซี่ยหยูก็ไม่ได้อยู่เฉยๆ
เขาหยิบเนื้อหมูสดออกมาจากตู้เย็น จับมีดทำครัว
ปั้ก ปั้ก ปั้ก หั่นเป็นชิ้นแล้วสับละเอียด จนกลายเป็นหมูบดจึงหยุดมือ
ต่อไปคือการหมักใส่เกลือ ซีอิ๊ว และน้ำมันงา คลุกเคล้าให้เข้ากัน
ในขั้นตอนนี้สามารถใส่น้ำที่แช่ต้นหอมและขิงลงไปคลุกเคล้า หรือจะสับขิงและต้นหอมละเอียดแล้วคลุกเคล้าก็ได้ เซี่ยหยูใช้วิธีผสมทั้งสองอย่าง ใส่น้ำแช่ขิงกับต้นหอม แล้วใส่ต้นหอมซอยนิดหน่อยคลุกเคล้าลงไปด้วย
โมริตะ มาคิ นวดแป้งเสร็จแล้ว ถอยไปด้านข้าง จ้องมองเขาที่กำลังยุ่งอยู่ ด้วยสายตาเป็นประกาย "ทำเสี่ยวหลงเปาใช่ไหม?"
"ใช่!"
เซี่ยหยูทำไม่หยุดมือต่อไป หั่นแป้ง รีดแป้ง ใช้แผ่นแป้งห่อไส้ ไม่นานตะกร้านึ่ง 3ชั้นบนเคาน์เตอร์ก็เต็มไปด้วยเสี่ยวหลงเปา
วางตะกร้านึ่งบนหม้อนึ่งบนเตา จุดไฟ
"ฟู่ววว"
เปลวไฟสีฟ้าอมเขียวลุกโชน เซี่ยหยูล้างมืออย่างสบายๆ แล้วจึงจ้องมองสาวน้อยที่รออยู่ข้างๆ
"ยังจำที่พูดไว้เมื่อคืนได้ใช่ไหม?"
"นายจะช่วยฉันจริงๆ เหรอ?"
โมริตะ มาคิ อ้าปากเล็กน้อย พูดอย่างลังเล "แต่การสอบเข้าเรียนต่อชั้นมัธยมปลายของโทสึกิ ยากกว่าการสอบเข้ามัธยมต้นมากนะ ในผู้เข้าสอบ 100 คน อาจจะมีแค่ 1 หรือ 2คนที่ผ่าน"
นักเรียนชั้นมัธยมปลายของโทสึกิ ส่วนใหญ่แล้วจะเลื่อนชั้นมาจากมัธยมต้น ก่อนจบการศึกษา
นักเรียนมัธยมต้นกลุ่มนี้ก็ผ่านการคัดกรองมาแล้ว แม้แต่การสอบเลื่อนชั้นภายในก็ไม่ได้ง่ายนัก
เสี่ยวหลงเปายังต้องใช้เวลานึ่งอีกสักพัก เผชิญกับคำถามของสาวน้อย เซี่ยหยูไม่ได้ตอบ เพียงแต่หันไปหยิบกล่องไข่สดที่หุ้มด้วยพลาสติกใสออกมาจากที่เก็บวัตถุดิบ
"ใช้ไข่ทำอาหาร จะทำขนมหวานหรืออะไรก็ได้ ทำจนกว่าฉันจะพอใจ"
เซี่ยหยูพูดไปแบบนั้น แล้วยื่นกล่องไข่ให้สาวน้อย
"อาหาร... ที่ทำจากไข่?"
โมริตะ มาคิ เอียงคอ นิ้วแตะที่ริมฝีปากสีแดงระเรื่อ ไม่เข้าใจความหมายของเซี่ยหยูชั่วขณะ
ทำอาหารจากไข่ ให้เขายอมรับ?
แล้วยังไงต่อ? สาวน้อยไม่รู้ว่าจริงๆแล้ว เซี่ยหยูกำลังให้เธอเตรียมตัวสอบเข้าเรียนต่อล่วงหน้า พูดอีกอย่างคือ การซ้อมสอบและการอุ่นเครื่อง
เมื่อเห็นสายตาที่สงบนิ่งของเซี่ยหยู โมริตะ มาคิ คิดสักครู่แล้วพยักหน้า "ได้ค่ะ อาหยู"
"ถึงตอนนี้ฉันยังไม่รู้ว่านายคิดอะไรอยู่ แต่นายบอกว่าจะช่วยฉัน ก็ต้องกำลังช่วยฉันอยู่แน่ๆ
พูดอีกอย่าง ก็คือตั้งแต่ครั้งที่สอบตกการคัดเลือกของโทสึกิครั้งที่แล้ว นายก็ไม่ได้ลองฝีมือฉันมา 2ปีแล้ว
คราวนี้ให้นายดูความก้าวหน้าของฉันเถอะ! ฉันบอกว่าไม่ได้ละทิ้งก็คือไม่ได้ละทิ้งจริงๆ!" โมริตะ มาคิ จู่ๆ ก็ดูจริงจังขึ้นมา
เซี่ยหยู ถอยไปที่ประตูครัวเงียบๆ เฝ้ามองโมริตะ มาคิ ที่ก้มหน้าครุ่นคิดอย่างสงบ
ในใจรู้สึกอยากรู้อยากเห็นว่าเธอจะใช้ไข่ทำอาหารอะไรออกมา
ไม่ว่าจะเป็นอาหารตะวันตก ญี่ปุ่น หรือจีน ไข่ล้วนเป็นวัตถุดิบพื้นฐานที่สุด
ขนมหวาน?
เป็นไปได้มากที่สุด เพราะเป็นความเชี่ยวชาญของเธอ และไข่ สามารถทำขนมหวานอร่อยๆ ได้มากมาย
ถ้าเดินตามเนื้อเรื่องปกติ ในสนามสอบเข้าเรียนต่อมัธยมปลายของโทสึกิปลายเดือนมีนาคม นาคิริ เอรินะก็จะถือไข่หนึ่งฟองมาทำให้ผู้เข้าสอบทั้งหมดตกใจวิ่งหนี ยกเว้นโซมะ ยูคิฮิระ
เขาหวังว่าจะช่วยให้โมริตะ มาคิ ปรากฏตัวในสนามสอบนั้น และผ่านการคัดเลือกสำเร็จ
นี่ก็เป็นอีกวิธีหนึ่งในการชดเชย หรือจะพูดว่าเป็นการชำระหนี้แทนร่างเดิมก็ได้
การจบความสัมพันธ์ที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ทิ้งสาวน้อยดีๆ คนหนึ่งไว้นานขนาดนี้ เซี่ยหยูถามตัวเองว่าเขาทำไปโดยไม่ได้รู้สึกผิด ได้อย่างไรกันนะ
นอกจากนี้ การให้โมริตะ มาคิ แทนที่จะเป็นเขา ไปเรียนโทสึกิ ก็ดูน่าสนใจไม่ใช่หรือ?
เซี่ยหยูเริ่มจินตนาการ
--------------------------------
ฝากติดตาม สนับสนุน และเป็นกำลังใจให้ด้วยนะ
หากพบคำผิด แจ้งได้เลย