116 - ไม่มีต้นทุนเลย
116 - ไม่มีต้นทุนเลย
หลี่เยว่หัวเราะเบาๆ "เรื่องนี้ข้าไม่ค่อยแน่ใจนัก แต่ข้าสามารถไปถามฉินโม่ได้ แล้วจะแจ้งให้ท่านพี่สี่ทราบที่หลังเอง"
หลี่จื้อมองหรี่ตาลงเล็กน้อย "ไม่ต้องแล้ว ข้านึกว่าเจ้าน้องแปดจะรู้ แต่ในเมื่อเจ้าไม่รู้ก็ไม่เป็นไร!"
ธุรกิจไห่ตี้เหลาของฉินโม่สร้างรายได้มหาศาลทุกวัน ปัจจุบันยังค้าขายเหล้าอีกด้วย ขณะที่โรงเตี๊ยมตระกูลโม่ซึ่งเป็นบ้านภรรยาของเขากลับซบเซาไม่มีคนเข้าเลย เหล้าองุ่นที่รับมาจากเปอร์เซียก็ไม่มีใครดื่มเลย
แม้ว่าจะลดราคาลงแล้วก็ตาม แต่ก็ยังไม่มีคนซื้อ หากลดลงอีก คงต้องขายขาดทุนแล้ว
หลี่จื้ออยากรู้ว่าฉินโม่ทำการแปรรูปเหล้าได้อย่างไร
ทำไมอาหารของร้านไห่ตี้เหลาถึงอร่อยนัก? และความลับในการปลูกผักนอกฤดูกาลมีอะไรบ้าง? หากรู้สิ่งเหล่านี้ ก็ไม่ต้องกลัวเรื่องขาดเงินอีกต่อไป
"ไม่เป็นไร อีกไม่กี่วันฉินโม่ก็จะเข้าวัง ข้าจะถามเขาเอง!"
หลี่จื้อลุกขึ้นและกล่าวด้วยรอยยิ้ม "ถ้าอย่างนั้นข้าขอตัวก่อน น้องแปดไม่ต้องส่งแล้ว!"
พูดจบ เขาก้าวเดินออกไป
หลี่เยว่ยังคงเดินส่งจนถึงประตูตำหนักอันหนาน จนกระทั่งเห็นแผ่นหลังของหลี่จื้อหายไปตรงมุมหนึ่ง เขาจึงอดไม่ได้ที่จะพึมพำว่า "ไร้ยางอาย!"
เช้าวันรุ่งขึ้น ฉินโม่ยังคงหลับอยู่ แต่ถูกเสี่ยวหลิวปลุก "คุณชาย เจ้าของบ้านเช่าส่งจดหมายกลับมาแล้ว!"
ฉินโม่รู้สึกไม่พอใจนัก "วางไว้ข้างๆ อย่ามารบกวนข้าตอนนอน!"
เสี่ยวหลิวรับคำแล้วกล่าวต่อ "คุณชาย ลุงหลิวถามว่าคุณชายจะไปดูโรงงานวันนี้หรือไม่?"
ทันใดนั้นฉินโม่ก็ตื่นเต็มตา "ข้าจะลุกเดี๋ยวนี้!"
"ถ้าอย่างนั้นข้าจะไปเรียกพี่ชูรุ่ยหรือไม่?"
"ไม่ต้อง ข้าจัดการเองได้!"
ฉินโม่ขยี้ศีรษะที่ปวดหนึบ เมื่อคืนเขาดื่มเหล้ากับเฉิงต้าเป่าและพวกอีกแล้ว ซึ่งคราวนี้มีสหายมาเพิ่มอีกสองคน
หนึ่งในนั้นคือบุตรชายคนโตของจู๋กว๋อกง หลิวหรูเจี้ยน!
อีกคนคือบุตรชายคนโตของเหลียงกว๋อกงโต้วเสวียนหลิง โต้วอี้อ้าย!
หลิวหรูเจี้ยนเป็นคนที่ฉินโม่รู้จักดี แต่ไม่ค่อยได้ต่อสู้กันนัก
ส่วนโต้วอี้อ้ายนั้นเป็นคนซื่อๆ ตรงไปตรงมา อาจจะมีความคล้ายกับฉินโม่ในอดีต แน่นอนว่าพวกเขาที่เป็นทายาทของแม่ทัพนายกองล้วนมีบุคลิกเช่นนี้ทั้งหมด เพียงแต่ฉินโม่คนเดิมออกจะโง่เขลากว่าคนอื่นอยู่เล็กน้อย
โต้วอี้อ้ายยังเป็นสามีขององค์หญิงเกาเอี๋ยง ซึ่งเป็นองค์หญิงรองและไม่ค่อยได้รับความโปรดปรานมากนัก เนื่องเพราะนางมีนิสัยดุร้ายเอาแต่ใจตัวเองตั้งแต่เด็ก
โต้วอี้อ้ายถูกองค์หญิงเกาเอี๋ยงกดขี่อย่างหนัก เพียงเอ่ยชื่อภรรยาใบหน้าของเขาก็ขาวซีดไร้สีเลือดแล้ว!
ในอดีต ฉินโม่มีเครือข่ายความสัมพันธ์มากมาย หากใช้ประโยชน์ได้ถูกต้อง เขาจะสามารถทำอะไรได้มากในอนาคต
หลังจากสวมเสื้อผ้าเรียบร้อย ฉินโม่เปิดซองจดหมายอ่าน
ตอนนี้ เขาเขียนจดหมายถึงหญิงหม้ายเจ้าของบ้านทุกวัน พวกเขาจะเขียนจดหมายถึงกันและกันวันละหลายฉบับจนกระทั่งค่ำมืด
นอกจากนี้ ไฉ่จิ้งหลานยังมีความงามอย่างที่ยากจะหาใครเทียบได้ นางเป็นแม่หม้าย การที่ฉินโม่เกี้ยวนางเขาไม่ได้รู้สึกว่าเป็นปัญหาแต่อย่างใด
จากคำกล่าวของไฉ่จิ้งหลาน เขาคิดว่าเพื่อนของนางที่กำลังถูกบังคับให้แต่งงานน่าจะเป็นตัวนางเอง
แต่ฉินโม่ก็ไม่ใช่คนที่จะเข้าไปยุ่งเรื่องของใครง่ายๆ นางยังไม่ได้มาขอให้เขาช่วย เขาก็ไม่ควรเข้าไปแทรกแซง เขาเพียงแต่ให้คำแนะนำเชิงปลอบใจบางอย่างเพื่อให้กำลังใจนางเท่านั้น
ฉินโม่หยิบพู่กันขึ้นมาเขียนตอบ "มนุษย์เกิดมามีอิสระ หากไม่กล้าที่จะไล่ตามสิ่งที่ตนเองรัก ก็ไม่ต่างอะไรจากนกที่ถูกขังอยู่ในกรง
บางสิ่งอาจพอทนได้ แต่ความสุขไม่ควรทน ชีวิตนี้หากกล่าวว่ายาวก็ยาวไกลอย่างยิ่ง หากจะสั้นก็นับว่าสั้นยิ่งนัก หากไม่ได้อยู่กับคนที่มีทัศนคติเดียวกันนับว่าเป็นความทุกข์อย่างแสนสาหัส
ข้าเคยได้ยินเรื่องของซินเดอเรลล่า เรื่องนี้..."
เมื่อเขียนเสร็จ ฉินโม่เป่าให้หมึกแห้ง จากนั้นใช้ตราขี้ผึ้งปิดผนึก และเรียกเสี่ยวหลิวเข้ามา "นำจดหมายนี้ไปส่ง และบอกทางนั้นว่าวันนี้ข้ามีธุระตอนกลางวัน อาจจะตอบจดหมายล่าช้าหน่อย"
"ทราบแล้วคุณชาย!"
เสี่ยวหลิวรับจดหมายแล้วรีบวิ่งออกไป
ช่วงนี้เขาเหนื่อยล้าจนแทบวิ่งไม่ไหว เขาไม่เข้าใจเลยว่าทำไมคุณชายถึงมีเรื่องคุยกับเจ้าของบ้านเช่ามากมายขนาดนี้
หากอยากคุยกันมาก ทำไมไม่พบกันเลยล่ะ? ทำไมต้องทำให้ยุ่งยากแบบนี้ด้วย?
หลังจากฉินโม่ทานอาหารเช้าเสร็จ เขามองขึ้นไปบนท้องฟ้า พบว่าหิมะเริ่มตกเบาบางลอยละล่อง เมื่อสายลมพัดผ่าน ทำให้เขาอดไม่ได้ที่จะกระชับเสื้อผ้าบนร่างกายให้แน่นขึ้น
เมื่อนั่งรถม้าไปถึงโรงงาน ฉินโม่แทบจะอาเจียนเพราะความขรุขระของถนน
รถม้าคันนี้ ฉินโม่ก็ไม่รู้จะบ่นอย่างไรอีกแล้ว ระบบกันสะเทือนแย่มาก แถมถนนยังขรุขระเป็นหลุมเป็นบ่อ
"วันหนึ่ง ข้าจะสร้างรถม้าที่มีสี่ล้อ และจะทำถนนคอนกรีตให้สำเร็จ!" เขากล่าวกับตัวเอง
หลังจากกระโดดลงจากรถม้า ฉินโม่เดินทางไปยังภูเขาทางตะวันตก ที่นี่คือที่ตั้งของเหมืองถ่านหิน
ในฐานะเมืองหลวงราชวงศ์สืบทอดกันมานานหลายพันปี เหมืองถ่านหินในเมืองหลวงถูกนำมาใช้จนแทบหมดสิ้น
เฉิงอ๋องครอบครองเหมืองแห่งหนึ่ง ซึ่งยังคงผลิตถ่านหินได้ค่อนข้างดี นับได้ว่าเป็นเหมืองถ่านหินที่มีอยู่เพียงน้อยนิดเท่านั้น
ส่วนเตาผิง เฉิงอ๋องลงทุนสองส่วน ส่วนหนึ่งเป็นเงินทุน และอีกส่วนหนึ่งเป็นเหล็กและถ่านหิน
ด้วยเหตุนี้ ฉินโม่จึงคิดแผนการทำเงินใหม่ นั่นคือ ถ่านรังผึ้ง!
ในต้าเฉียน หนึ่งตำลึงเงินสามารถซื้อถ่านไม้ได้สี่สิบจิน(ครึ่งกิโลคือหนึ่งจิน)
และหนึ่งตำลึงเงินมีค่าเท่ากับหนึ่งพันอีแปะต้าเฉียน ซึ่งหมายความว่ายี่สิบห้าอีแปะต่อหนึ่งจิน
ฟืนมีราคาถูกกว่า โดยหนึ่งจินมีราคาประมาณห้าอีแปะ
ราคานี้ต่างกันถึงห้าเท่า
อย่างไรก็ตาม ป่าไม้รอบๆ เมืองหลวงถูกตัดทำลายจนหมดสิ้นแล้ว ส่งผลให้ปีนี้ราคาฟืนเพิ่มขึ้นจากห้าอีแปะเป็นเจ็ดอีแปะต่อจิน
ไม่ต้องกล่าวถึงการให้ความอบอุ่นในฤดูหนาวเลย แม้แต่การหาฟืนสำหรับทำอาหารยังยากมาก
หลายครอบครัวจึงต้องเบียดเสียดกันเพื่อประหยัดฟืนในช่วงฤดูหนาว
ที่เหมืองถ่านหินนี้ มีถ่านหินกระจัดกระจายอยู่เต็มไปหมด
ด้านข้างมีการสร้างเพิงไม้ และมีคนงานกว่าสองพันคนกำลังทำงานกันอย่างขยันขันแข็ง
พวกเขาใช้วิธีผสมถ่านหินที่ถูกทุบเป็นชิ้นเล็กๆ กับน้ำและดินเหนียว จากนั้นจึงใช้แม่พิมพ์ที่ช่างฝีมือของตระกูลฉินทำขึ้นเพื่อผลิตถ่านรังผึ้งที่ชื้นๆ ออกมาเป็นก้อนๆ
ฉินโม่จ้องมองด้วยสายตาเต็มไปด้วยความคิดถึง
ในชาติก่อน แม้แต่ในสังคมที่พัฒนาแล้ว หลายหมู่บ้านก็ยังใช้ถ่านรังผึ้งอยู่
ถ่านรังผึ้งมีพลังงานสูง เสถียร และติดไฟได้นาน
ถ่านรังผึ้งหนึ่งก้อนสามารถเผาไหม้ได้นานถึงหกชั่วยาม (สิบสองชั่วโมง) หนึ่งวันจึงต้องเปลี่ยนเพียงแค่สองก้อนเท่านั้น
เมื่อเทียบจากค่าแรงต่อวันของผู้คนในยุคนี้ที่อยู่ประมาณสามก้วน(สิบก้วนเป็นหนึ่งตำลึง)ต่อครอบครัวจึงไม่เป็นปัญหาที่พวกเขาจะซื้อถ่านรังผึ้งเป็นจำนวนมาก แม้ว่าถ่านรังผึ้งจะมีราคาค่อนข้างถูกแต่มันก็เป็นสินค้าที่ได้มาเปล่าๆ โดยที่ฉินโม่จ่ายเพียงค่าแรงเท่านั้น!
"คุณชาย ทำไมไม่พกร่มมาด้วยล่ะ? อากาศหนาวเย็นเช่นนี้ ถ้าท่านป่วยจะแย่เอาได้!" หยางหลิวเกินรีบนำร่มกระดาษน้ำมันมาให้
ฉินโม่หัวเราะ "พวกเขาเริ่มชำนาญงานแล้วหรือยัง?"
"พวกเขาเริ่มคล่องแคล่วแล้ว ความเร็วค่อนข้างมาก คนหนึ่งสามารถทำถ่านรังผึ้งได้ประมาณสองร้อยก้อนต่อวัน ที่นี่มีสองพันคน ดังนั้นในหนึ่งวันเราผลิตถ่านรังผึ้งได้ถึงสี่แสนก้อน!"
อย่างไรก็ตาม หยางหลิวเกินมีท่าทีลังเลเล็กน้อย "แต่คุณชาย ถ่านรังผึ้งเยอะขนาดนี้ เราจะขายได้หมดหรือ?"
คนงานสองพันคนไม่เพียงแต่ต้องจัดหาอาหารสามมื้อให้พวกเขา แต่ยังต้องจ่ายค่าจ้างสิบก้วนต่อวัน(ก่อนหน้านี้แปลผิดนะครับค่าจ้างต่อวันจะอยู่ที่สิบก้วนหรือหนึ่งตำลึงเงินต่อคนไม่ใช่สิบตำลึง) หนึ่งคนต้องจ่ายเงินถึงสามสิบตำลึงต่อเดือน
สองพันคนเท่ากับหกหมื่นตำลึง
ค่าใช้จ่ายรวมทั้งหมดต่อเดือนคือหกหมื่นตำลึง รวมถึงค่าอาหารสามมื้อด้วย คงต้องเสียเงินถึงหนึ่งแสนตำลึงต่อเดือนเป็นอย่างน้อย
หยางหลิวเกินรู้สึกเสียดายเงิน และที่นี่เป็นเพียงโรงงานเดียวเท่านั้น ตระกูลฉินมีคนงานทั้งหมดหกพันคน เดือนหนึ่งจึงต้องเสียเงินไปอย่างน้อยสามแสนตำลึง ถ้าขายของไม่ได้รับรองว่าต่อให้ร่ำรวยกว่านี้ก็ต้องล้มละลายภายในเดือนเดียวเท่านั้น เขารู้สึกว่าต่อให้จ่ายค่าแรงน้อยกว่านี้สิบเท่าผู้คนก็ยังคงทำงานอย่างขยันขันแข็งอยู่ดี
"แน่นอนว่าขายได้! ถ่านฟืนมีราคาแพง ถ่านรังผึ้งที่มีคุณภาพดีกว่าจะขายไม่ออกได้อย่างไร"
ฉินโม่กล่าว "เราจะตั้งราคาถ่านรังผึ้งก้อนละสามอีแปะ ก้อนหนึ่งสามารถเผาไหม้ได้นานถึงหกชั่วยาม (สิบสองชั่วโมง) ในขณะที่ถ่านไม้ต้องใช้สิบจินเพื่อเผาไหม้ได้นานเท่านี้ และฟืนก็ต้องใช้ถึงสามสิบถึงสี่สิบจิน!"
"วันหนึ่งต้องเสียเงินมากกว่าร้อยอีแปะ เจ้าว่าพวกเขาจะเลือกใช้ถ่านรังผึ้งหรือฟืน?"
"แต่ค่าแรงเราสูงมาก!"
"แต่ต้นทุนวัตถุดิบของเราไม่มีเลย!"
………….