บทที่ 99 สหายเซียน ไว้พบกันใหม่!
บทที่ 99 สหายเซียน ไว้พบกันใหม่!
"เจ้าบัดซบนั่น ข้าถูกเด็กในขั้นรวมพลังหลอกเช่นนั้นหรือ?" เซวียนเทียนเลือดดูดซับพลังวิญญาณ เหมือนได้รับรู้เหตุการณ์ในฝันอีกครั้ง
เขาในฐานะเซวียนเทียนเลือด จะถูกหลอกโดยเพียงแค่คนธรรมดาเช่นนั้นหรือ?
"มนุษย์ธรรมดาเล่ห์เหลี่ยมมากมายยากจะย่างเข้าสู่เส้นทางแห่งเซียน!" เซวียนเทียนเลือดส่งเสียงเย้ยหยัน หากเขาต้องพ่ายแพ้ให้กับผู้ที่มีพลังเทียบเท่ากัน เขาย่อมไม่โมโหเช่นนี้
แต่เซวียนเทียนเลือดก็แปลกใจว่าเหตุใดพลังวิญญาณของตนถึงถูกแย่งไป
ตามหลักแล้ววิญญาณเงามืดเข้าสู่ฝันต่อให้ไม่สามารถหลอกลวงได้สำเร็จ พลังวิญญาณย่อมต้องกลับคืนมา
แม้แต่กับ เฉินซือเจี๋ยก็ยังไม่ทำให้เขาสูญเสียพลังวิญญาณ
แต่ตอนนี้กลับเสียไปเกินครึ่ง?
หากทุกคนเป็นเหมือน จ้าวซิงเช่นนี้ เขาก็คงไม่สามารถใช้วิญญาณเงามืดเข้าสู่ฝันได้อีกต่อไป คงถูกดูดจนแห้ง
ดังนั้นเซวียนเทียนเลือดต้องการรู้ถึงสาเหตุเป็นอย่างยิ่ง
เขากลั้นความโกรธเอาไว้ในใจ และอดทนดูเหตุการณ์ในฝันจนจบ
“หืม?” เซวียนเทียนเลือดเบิกตา ในช่วงสุดท้ายของความฝัน เขาสัมผัสได้ชัดเจนว่าการเข้าสู่ฝันครั้งนี้ แตกต่างจากผู้คนทั่วไป
“สามเทพมาบรรจบรวมกันเขาเป็นผู้เข้าสู่ฝันเอง?”
“กล่าวได้ว่าตั้งแต่เริ่ม... เขาเป็นผู้ควบคุมฝันนี้?”
เซวียนเทียนเลือดถึงกับตกใจ
การเข้าสู่ฝันด้วยตัวเองนั้นยากอย่างมาก
ไม่มีผู้ฝึกตนคนใดสามารถรับรองได้ว่าจะควบคุมการหลับใหลของตนให้เข้าสู่ฝันได้
แม้แต่พลังวิญญาณจะสูงเพียงใด หากไม่สามารถรวมสามจิตวิญญาณเข้าด้วยกัน ก็ไม่อาจเข้าสู่ฝันได้เอง
“การเข้าสู่ฝันด้วยตนเองถือว่ายากยิ่ง แต่การควบคุมฝันนั้นยากยิ่งกว่า”
“พลังวิญญาณต้องไม่เพียงแต่สัมผัสจิตวิญญาณฟ้าและจิตวิญญาณดิน แต่ยังต้องสามารถมีอิทธิพลต่อทั้งสองได้ในระดับหนึ่ง”
“แต่ด้วยระดับพลังของเขาที่ต่ำต้อยขนาดนี้ เขาทำได้อย่างไร?”
เซวียนเทียนเลือดขมวดคิ้ว เขารู้สึกถึงความแปลกประหลาดในเรื่องนี้
เขาทบทวนความฝันอย่างละเอียดอีกครั้ง
เซวียนเทียนเลือดไม่สนใจท่าทางเพี้ยนๆของจ้าวซิงแต่ใส่ใจกับทุกรายละเอียดยิ่งดู ใบหน้าของเขายิ่งเคร่งขรึม
“เขาไม่เพียงแค่ฝึกฝนวิญญาณ แต่ยังครอบครองวิชาลับขั้นสูง และยังมีสมบัติระดับสูงปกป้องวิญญาณด้วย!”
“วิชานี้...” เซวียนเทียนเลือดรู้สึกคุ้นเคยอย่างเลือนราง
เขาเป็นศิษย์เอกของ สำนักเซวียนเทียนตั้งแต่สมัยก่อน แต่เนื่องจากยุคสำนักสิ้นสุดลง ร่างหลักของเขาส่วนใหญ่หลับใหลพร้อมกับสำนัก รอการฟื้นคืนชีพ ทิ้งไว้เพียงเศษเสี้ยววิญญาณอยู่ในสำนักเซวียนเทียนรับการบูชาจากศิษย์สำนัก
เซวียนเทียนเลือดมีชีวิตยืนยาวมาก ก่อนราชวงศ์ต้าโจวเขาก็เป็นศิษย์เอกของสำนักเซวียนเทียนอยู่แล้ว เขามีประสบการณ์มากมาย เขารู้สึกว่า วิชาลับที่จ้าวซิงใช้นั้น คล้ายกับบางสิ่งที่เขาเคยเห็นมาก่อน
“วิชานี้เหมือนกับวิชาที่ข้าเคยเห็นมาก่อน...” เซวียนเทียนเลือดค้นหาความทรงจำของตนอย่างรวดเร็ว แต่ความทรงจำเหล่านั้นช่างเก่าแก่ยิ่งนัก ยุคสำนักสิ้นสุดลงนานนับหมื่นปีแล้ว!
“หืม? หรือว่านี่คือวิชาลับ ‘มหากาพย์แห่งดวงฝัน’ของสำนักเทพแห่งฝัน?”
เขานึกขึ้นมาได้ว่าสำนักเทพแห่งฝัน เคยเป็นสำนักชั้นนำในยุคโบราณ
สำนักที่ถูกขนานนามว่า "สำนักเทพ" ในยุคสำนักรุ่งเรืองนั้นมีเพียงสิบแห่งเท่านั้น
ต่อมาเมื่อสำนักเทพแห่งฝันตกต่ำลง เกิดการแตกแยกและเปลี่ยนแปลงวิถีการดำเนินการของสำนัก จนกลายเป็นที่รู้จักในชื่อ "สำนักฝันร้าย"แต่ถึงกระนั้น ความแข็งแกร่งของพวกเขายังคงน่ากลัว
ในยุคสำนักนั้นพวกเขาเป็นที่หนึ่ง และในยุคราชวงศ์โชคชะตา สำนักเทพแห่งฝันยังกลายเป็นศาสนาประจำชาติของราชวงศ์ต้าหลี่ที่ครองอาณาจักรได้เพียงหนึ่งเดียว
แต่ทำไมวิชาลับนี้ถึงมาตกอยู่ในมือของจ้าวซิงได้?
"เขาเป็นทายาทของสำนักเทพแห่งฝัน? หรืออาจจะเป็นการกลับชาติมาเกิดของยอดคนในสำนักเทพแห่งฝัน?"
ความคิดนี้ทำให้เซวียนเทียนเลือดสะดุ้ง การรอคอยยุคฟื้นคืนพลังวิญญาณของสำนักภายนอกนั้นมีหลายวิธี
สำนักเซวียนเทียนเลือกที่จะหลับใหล รอให้พลังฟื้นคืน แต่ก็มีวิธีที่ล้ำหน้ากว่านั้น นั่นคือการกลับชาติมาเกิดในโลกมนุษย์
ผู้ที่สามารถกลับชาติมาเกิดได้ ย่อมต้องมีความสามารถโดดเด่น ในแต่ละยุคที่เกิดใหม่ พวกเขาจะก้าวไปสู่ตำแหน่งสำคัญของยุค และบางครั้งอาจนำพายุคสมัยนั้นไปในทิศทางของตนเอง
วิธีนี้มีข้อดีคือเมื่อถึงยุคฟื้นคืนพลังวิญญาณ พวกเขาจะครองความได้เปรียบทันที!
“หรือว่าจ้าวซิงคือการกลับชาติมาเกิดของยอดคนในสำนักเทพแห่งฝัน?” เซวียนเทียนเลือดรู้สึกหนาวเหน็บกับความคิดนี้
“เป็นไปไม่ได้” แต่ในชั่วพริบตา เขาก็ส่ายหัวปฏิเสธ “หากเป็นเช่นนั้น ข้าจะเห็นได้ง่ายดายเช่นนี้ได้อย่างไร?”
จ้าวซิงอ่อนแอเกินไป หากถูกพบเห็นได้ง่ายเช่นนี้ ก็จะถูกฆ่าตายได้ง่ายดาย วิญญาณแตกสลายไป
“คงเป็นเพียงเรื่องบังเอิญ ที่เขาได้พบเจอเศษส่วนของวิชาสำนักเทพแห่งฝัน นั่นเป็นไปได้มากกว่า” เซวียนเทียนเลือดคิดในใจ
เมื่อคิดได้ดังนี้ แววตาของเขาก็เผยความโลภออกมา “วิชาของสำนักเทพแห่งฝัน...จ้าวซิง ข้าจะจดจำเจ้าไว้”
ในขณะนั้นเอง
“ผุด ๆๆๆ ~”
สระเลือดเดือดพล่านขึ้น ขัดจังหวะความคิดของเซวียนเทียนเลือด
เขาเงยหน้ามอง เห็นชายกลางคนท่าทางทรงอำนาจ มือถือดาบโค้งใส่เกราะเงิน กำลังลอยเข้ามา
ม่านแสงสีแดงรอบด้านแตกสลายถูกแสงสีทองจากร่างของชายผู้มีร่างทองขับไล่ไป
“เทพผู้ครองทะเลสาบตะวันออกหรือ?” เซวียนเทียนเลือดเห็นนักรบในชุดเกราะทอง จึงเข้าใจทันทีว่าเขาเสียเวลาในเรื่องของจ้าวซิงเล็กน้อย
ทำให้ เทพผู้ครองทะเลสาบตะวันออก ที่ปกครองเมืองกู่เฉิงตามมาทัน
“เจ้าภูตชั่วร้ายที่ไหน!” เทพผู้ครองทะเลสาบตะวันออกตะโกนเสียงดังพลางขมวดคิ้วมองเซวียนเทียนเลือด
“เจ้าเด็กตะวันออก” เซวียนเทียนเลือดส่งยิ้มเย้ยหยัน “เมื่อเทียบกับอายุ เจ้ายังต้องเรียกข้าว่าผู้อาวุโส”
“เจ้าภูตชั่ว เจ้าได้สร้างบาปมหันต์ เจ้าสมควรตาย!” เทพผู้ครองทะเลสาบตะวันออกมองดูสระเลือดตรงหน้า พลันโกรธจัด แสงสีทองพลันเปล่งประกาย
“ฮึ ข้ารับบูชาจากมนุษย์ เช่นเดียวกับเจ้า เพียงแต่วิธีแตกต่างกันเท่านั้น” เซวียนเทียนเลือดพูดอย่างใจเย็น "เจ้าลองดูสิ นี่คือสิ่งที่วิญญาณเงามืดชื่นชอบ เจ้าอยากลองชิมดูบ้างหรือไม่?"
เซวียนเทียนเลือดพยายามหลอกล่อ “ข้าใจกว้าง จะมอบของขวัญให้เจ้า!”
"ตายซะ!" เทพผู้ครองทะเลสาบตะวันออกสะบัดดาบโค้ง เปล่งแสงสีทองและทำลายกลุ่มเลือดไปในทันที
"ชี่ชี่~" ระหว่างที่ทำลายกลุ่มเลือด แสงสีทองบนดาบโค้งก็อ่อนลงเล็กน้อย
“ช่างน่าเวทนา” เซวียนเทียนเลือดมองไปยังเทพผู้ครองทะเลสาบตะวันออกด้วยความสมเพช “เมื่อมีชีวิตก็เป็นสุนัขรับใช้ของราชวงศ์ต้าโจว ตายไปก็ยังคงถูกพันธนาการ แม้จะมีจิตวิญญาณเป็นอมตะ แต่กลับไม่อาจใช้ชีวิตอิสระ ช่างน่าสงสารยิ่งนัก!”
"ฆ่า!" เทพผู้ครองทะเลสาบตะวันออกเปล่งแสงเจิดจ้าจากชุดเกราะทอง ดาบโค้งพุ่งเข้าหาเซวียนเทียนเลือด
“วิญญาณศักดิ์สิทธิ์แห่งเลือดจงตื่นขึ้น!” เซวียนเทียนเลือดสะบัดแขนเสื้อ
“กร็อกกร็อก~” ของเหลวในสระเลือดถูกดูดออกจนหมด แล้วกลายเป็นเงาเลือดเก้าร่างที่ลอยเหนือแท่นบูชา เงาเลือดเหล่านั้นเหมือนถูกสร้างขึ้นจากเลือดแท้จริง และภายในมีหัวคนเล็ก ๆ กลิ้งอยู่
เมื่อพวกมันปรากฏตัว เสียงกรีดร้องดังสนั่น พวกมันพุ่งเข้าใส่เทพผู้ครองทะเลสาบตะวันออกทันที
ส่วนวิญญาณรองของเซวียนเทียนเลือดถอยกลับไปยังส่วนลึกของแท่นบูชา
เขาไม่อาจปล่อยให้เทพผู้ครองทะเลสาบตะวันออกถ่วงเวลาเขาได้ ยิ่งถ่วงไว้นาน ร่างวิญญาณนี้ก็จะไม่สามารถหนีไปได้
“วิญญาณร่างนี้ของข้าเพียงพอที่จะจัดการกับเทพวิญญาณประจำศาลเจ้าระดับอำเภอ แต่ไม่เพียงพอสำหรับศาลเจ้าประจำมณฑล” เซวียนเทียนเลือดทะลุผ่านผืนดิน ลอยละล่องไปในค่ำคืนตามเส้นทางที่วางแผนไว้
ในขณะที่ จ้าวซิง ใช้ ตุ๊กตาหญ้าพันธนาการระดับสองสั่งให้ไปค้นศพ
“ชี่ชี่~”
ทันทีที่ตุ๊กตาหญ้าสัมผัสร่างของ อู๋เหมยเลือดที่เกาะอยู่บนตัวนางก็ส่งเสียงชี่ชี่ ก่อนที่ร่างทั้งร่างจะเริ่มละลายตัวเอง
“ตู้ม~” ตุ๊กตาหญ้าพันธนาการถูกกัดกร่อน ไม่สามารถรักษารูปร่างไว้ได้ จนร่วงลงกับพื้น กลายเป็นกองเถาวัลย์แห้งเหี่ยว
“การค้นศพสำนักเซวียนเทียนนี่มันลำบากจริง ๆ” จ้าวซิงบ่นออกมา “ตายแล้วยังไม่ให้คนอื่นค้นศพให้ดี ๆ”
เขาไม่ส่งตุ๊กตาหญ้าไปอีกครั้ง แต่รอให้ศพของอู๋เหมยละลายไปจนหมด
ถ้าหากมีสมบัติล้ำค่าหลงเหลือ มันก็จะถูกเก็บรักษาไว้ในกระบวนการละลายนี้
หากไม่มี นั่นก็แปลว่าของที่อยู่บนร่างไม่คุ้มค่า
“ไม่รู้ว่านางเป็นถึงหัวหน้าตำบลหรือรองหัวหน้าตำบลกันแน่? หากเป็นหัวหน้าตำบลนอกจากเข็มโลหิตศักดิ์สิทธิ์นางก็ควรจะมีสมบัติติดตัวมาด้วย” จ้าวซิงมองดูเงียบ ๆ แน่นอนว่าเป็นไปได้ว่าสมบัติถูกเก็บไว้ใน ‘เรือนลับปลอดภัย’ ตามเส้นทางหนี
เมื่อร่างกายละลายไปจนเผยให้เห็นกระดาษแผ่นหนึ่งที่วาดภาพชุดคลุมสีม่วงบนหน้าท้องของนาง
จากนั้นก็เห็นครึ่งหนึ่งของจี้หยกที่หน้าอกของนาง
เมื่อร่างกายละลายไปเรื่อย ๆ สิ่งที่อยู่ภายในก็เริ่มปรากฏ
ในกระเพาะของนาง มีลูกปัดสีแดงเลือดอยู่ ลูกปัดนั้นมีพลังชั่วร้ายเข้มข้น แต่พลังชั่วร้ายนี้ปนเปื้อนด้วยบางสิ่งบางอย่าง
ไม่นาน ร่างกายของอู๋เหมยก็เหลือเพียงโครงกระดูก ไม่มีเนื้อเลือดเหลืออยู่เลย
ส่วนวิญญาณของนางนั้น?
มันอยู่บนกระดาษที่วาดภาพชุดคลุมสีม่วงนั่นเอง
“ฟู่~”
ยังไม่ทันที่จ้าวซิงจะได้พิจารณากระดาษใบนั้น มันก็ลุกไหม้กลายเป็นเถ้าถ่านไปแล้ว
จากนั้นก็มีเสียงกรีดร้องดังแว่วมา
“วิญญาณแตกสลายไปแล้ว” จ้าวซิงส่ายหัว
สำนักนอกรีดอย่างอู๋เหมย หากไม่มียศถาบรรดาศักดิ์ในราชวงศ์ต้าโจว วิญญาณย่อมไม่สามารถดำรงอยู่ได้
เมื่อสิ้นชีวิต ไม่มีสิ่งใดคุ้มครอง นางย่อมพบกับจุดจบของวิญญาณแตกสลาย
“ข้าจะไม่ทำหน้าที่สายลับเด็ดขาด โดยเฉพาะการเป็นสายลับให้กับฝ่ายสำนัก มันทำให้วิญญาณแตกสลาย ไม่มีแม้โอกาสที่จะกลายเป็นวิญญาณเทพเลย” จ้าวซิงคิดในใจ
“แคร็ก~” เมื่อกระดาษเผาไหม้ จี้หยกครึ่งชิ้นนั้นก็ทนไม่ไหว แตกออกเป็นสองเสี่ยง
“จี้หยกปกปิดวิญญาณใช้ร่วมกับการปกป้องจากวิญญาณเทพแห่งสำนักเซวียนเทียนเท่านั้นจึงจะซ่อนตัวได้ แต่เมื่อการปกป้องจากวิญญาณเทพหายไป จี้หยกนี้ก็ไร้ประโยชน์”
จ้าวซิงมองดู เห็นว่าไม่มีสิ่งอื่นใดบนร่างของอู๋เหมยที่ปรากฏขึ้นอีก ไม่มีการเปลี่ยนแปลงใด ๆ เขาจึงสั่งตุ๊กตาหญ้าอีกตัวไปเก็บสมบัติ
“ลูกปัดโลหิตขั้นสี่”
เมื่อตุ๊กตาหญ้านำมาให้ จ้าวซิงจ้องมองอยู่ห่าง ๆ สองเมตร
“กรร~!”
ในลูกปัดโลหิตนั้น ปรากฏเงาของสิงโตทองคำลอยออกมา กระตุ้นพลังวิญญาณของจ้าวซิง
ทำให้เขารู้สึกอยากกลืนลูกปัดโลหิตนี้เข้าไป
“ลูกปัดโลหิตขั้นสี่สังหารวิญญาณสัตว์ระดับหก และใช้เลือดบริสุทธิ์หนึ่งหยดผสานเข้าไปในลูกปัดโลหิต จากนั้นผสมผสานพลังชั่วร้ายเข้าไปในเลือดของวิญญาณสัตว์ทำให้ลูกปัดโลหิตกลายเป็นสมบัติที่ซ่อนอยู่ในจุดพลังภายในร่างกาย ผู้ใช้งานสามารถดึงพลังต่อสู้เหนือธรรมชาติออกมาได้ อีกทั้งยังสามารถใช้พลังชั่วร้ายเป็นเกราะป้องกันตนเอง”
“แต่ข้อดีก็มี ข้อเสียก็เยอะ ผู้ใช้ต้องทนต่อการทรมานจากจิตสำนึกของวิญญาณสัตว์ภายในลูกปัด หากจิตใจไม่แข็งแกร่งพอ ทุกช่วงเวลาต้องขับไล่พลังชั่วร้ายออก มิฉะนั้นก็ต้องพิชิตจิตสำนึกของสัตว์ให้ได้เสียก่อน”
“ขายดีกว่า” จ้าวซิงตัดสินใจในทันที
“ลูกปัดโลหิตนี้ยุ่งยากเกินไป เป็นสมบัติสำหรับนักรบ หากข้าจะใช้งานลูกปัดนี้ เกรงว่าข้าต้องมีพลังถึงระดับแปดขึ้นไปจึงจะสามารถรับมือกับมันได้”
“ลูกปัดโลหิตกับเข็มโลหิตศักดิ์สิทธิ์นี่ขายได้ราคาไม่เบาเลย ข้าคงได้เงินคืนหลังจากซื้อภาพวาดสืบทอดวิชา ข้าถึงกับถังแตกอยู่ครู่หนึ่ง... สหายเอ๋ย เจ้าตายอย่างงดงามจริง ๆ” จ้าวซิงกระซิบเบา ๆ “ถ้ามีชาติหน้า เราคงได้พบกันใหม่ ข้าจะฆ่าเจ้าอีกครั้ง”
"โครม!"
เสียงระเบิดดังขึ้นจากระยะไกล แสงสว่างเจิดจ้าชั่วครู่แผ่กระจายออกมาในค่ำคืน
จ้าวซิงหันไปทางเสียงระเบิด เห็นแสงสีทองสว่างวาบผ่านไป
“นี่มันกระบวนท่าดาบเทพสายฟ้าของหลงเสี่ยวนี่ใช่กระบวนท่าควบคุมดาบทองคำหรือไม่?” จ้าวซิงพึมพำ เขาคุ้นเคยกับ “อดีตเจ้านาย” ของเขาเป็นอย่างดี กระบวนท่าดาบเทพสายฟ้าของหลงเสี่ยวมาจากเศษกระบวนท่าที่เขาค้นพบในสุสานโบราณ ซึ่งเขาได้ขัดเกลาเป็นกระบวนท่าของตนเองในภายหลัง
แม้พลังในกระบวนท่านี้จะด้อยกว่ากระบวนท่าที่ผ่านการฝึกฝนมานาน แต่ก็เพียงพอแล้วสำหรับสถานการณ์นี้ เพราะนักรบก็เป็นนักรบ ส่วนผู้ฝึกกระบวนท่าดาบก็เป็นผู้ฝึกกระบวนท่าดาบ
“ดูเหมือนว่าทุกอย่างใกล้จะจบแล้ว” จ้าวซิงมองดูปฏิทินหลีกเลี่ยงเคราะห์ ซึ่งลดระดับจากร้ายแรงเหลือเพียงระดับเล็กน้อย “แต่เทพผู้ครองทะเลสาบตะวันออกยังไม่กลับมา”
เขายืนอยู่ในลานบ้าน ใช้ความสามารถจากวิชามองเห็นยามค่ำคืนสำรวจสถานการณ์รอบด้าน จากอีกทิศทางหนึ่ง เขาเห็นเงาของคนสองคนวิ่งผ่านไป
“นั่น หลี่เฉิงเฟิงหรือเปล่า?”
แสงวูบวาบเผยให้เห็นภาพของหลี่เฉิงเฟิง เขาเดินออกจากลานบ้าน ข้างกายมีเงาดำปรากฏขึ้นเคียงข้าง
เมื่อเสียงระเบิดดังขึ้นมาอีกครั้ง เฉินเต๋อซุ่นกับหลี่เฉิงเฟิงหันไปทางต้นเสียงพร้อมกัน
ทั้งสองคนมองเห็นจ้าวซิงและร่างของอู๋เหมยที่อยู่ข้างนอก
“อะไรนะ?!” เฉินเต๋อซุ่นตกตะลึงเมื่อเห็นกระดูกขาวโพลน “เขาฆ่าอู๋เหมย หรือมีคนอื่นทำ?”
พลังวิญญาณของจ้าวซิงสั่นไหวเมื่อเห็นเฉินเต๋อซุ่น การเชื่อมโยงจากวิญญาณดินทำให้เขารู้ได้ทันทีว่าเฉินเต๋อซุ่นคือ “นักรบหญ้า” (สำนวนจีนเปรียบเหมือนสายลับที่ปรับตัวโอนเอนดังต้นหญ้า) ที่เขาพบเจอในลานตระกูลหนิว
“หลี่เฉิงเฟิง เขาถูกหลอก หรือถูกควบคุมกันแน่?” จ้าวซิงขมวดคิ้ว แม้เขาจะไม่ชอบนิสัยของหลี่เฉิงเฟิง แต่เขาก็ตะโกนออกไปอย่างกังวล
“หลี่เฉิงเฟิง! ถอยไปซะ!”
ลมเย็นจู่โจมวิญญาณพัดผ่านเฉินเต๋อซุ่น แต่เมื่อถึงตัวหลี่เฉิงเฟิง มันกลับกลายเป็นลมอ่อนหวังจะกระตุ้นจิตวิญญาณของเขาให้ฟื้นคืนสติ
เมื่อลมเย็นพัดผ่าน ร่างของหลี่เฉิงเฟิงก็ถูกลมอุ่นหอบกลับไปอีกทิศทาง
“จ้าว... จ้าวซิง...” หลี่เฉิงเฟิงหันกลับมามอง มีจุดเลือดปรากฏที่หน้าผากของเขา เข็มบางเล่มหนึ่งเสียบลึกเข้าไปถึงสามนิ้วเหนือศีรษะ
แววตาของหลี่เฉิงเฟิงเต็มไปด้วยความซับซ้อน ทั้งความกลัว ความประหลาดใจ และความเสียใจ
แต่จ้าวซิงเห็นเพียงความเจ็บปวดบนใบหน้าของเขาเท่านั้น
“ฮึ!” เฉินเต๋อซุ่นคว้าตัวหลี่เฉิงเฟิง พลังชั่วร้ายพลันขับไล่ลมเย็นออกไป จากนั้นพลังนั้นก็ม้วนตัวเข้าห่อหุ้มพวกเขาไว้ ก่อนจะหายไปในความมืด
“เขาถูกควบคุมโดยเข็มโลหิตศักดิ์สิทธิ์” จ้าวซิงส่ายหัว เขาไม่ได้ช่วยหลี่เฉิงเฟิงด้วยความหวังดี แต่เป็นเพราะเห็นแก่หน้าเฉินเต๋อซุ่น
แผนการครั้งนี้เฉินเต๋อซุ่นเป็นผู้นำ หากหลี่เฉิงเฟิงถูกจับไป ความสำเร็จของแผนการคงถูกลดทอนลงมาก
แต่เท่านี้ก็มากพอแล้ว สำหรับสถานการณ์วุ่นวายนี้ สิ่งสำคัญที่สุดคือการปกป้องตัวเอง
หลังจากที่หลี่เฉิงเฟิงและเฉินเต๋อซุ่นหายตัวไป จ้าวซิงก็เพิ่มความระมัดระวัง ถอยกลับไปซ่อนตัวอยู่หลังตุ๊กตาหญ้าผู้คุ้มกัน แล้วใช้เชือกมัดขาของตนไว้กับประตู
เขายังสั่งตุ๊กตาหญ้าของตนว่า “ก่อนฟ้าสาง จงห้ามข้าออกจากลานบ้านเด็ดขาด”
คำสั่งนี้ถูกส่งต่อไปยังแมวภูเขาด้วย
“ระวังไว้ก่อนย่อมไม่เสียหาย” จ้าวซิงพันเถาวัลย์รอบขาของเขาแน่น แล้วให้ตุ๊กตาหญ้ารายล้อมรอบตัว ก่อนจะจุดโคมวิญญาณอีกครั้งและนั่งเงียบ ๆ รอจนถึงฟ้าสาง
หลังจากอู๋เหมยตายไปได้ครู่หนึ่ง เฉินเต๋อซุ่นกับหลี่เฉิงเฟิงก็โผล่มาและหายไปอีกครั้ง
ผ่านไปอีกครู่หนึ่ง
ประตูหน้าลานบ้านมีเสียงเรียกที่คุ้นเคยดังขึ้น
“จบแล้ว ออกมาได้แล้ว”
จ้าวซิงลุกขึ้น เห็น เฉินซือเจี๋ยยืนอยู่นอกลานบ้าน
“จบแล้วหรือ?” จ้าวซิงถอนหายใจอย่างโล่งอก เขายืนขึ้นจากบันไดพลางถาม “ท่านเฉินปลอดภัยดีหรือไม่? แล้วอาจารย์ของข้าล่ะ?”
เฉินซือเจี๋ยพยักหน้า “ข้าไม่เป็นไร ศัตรูหลักของสำนักเซวียนเทียนถูกกำจัดหมดแล้ว”
“แต่ยังมีบางส่วนที่หนีไปได้ ข้าส่งทหารส่วนใหญ่ไปตามล่า ข้ากลัวว่ายังมีพวกเหลืออยู่ในที่นี้ ข้าแนะนำให้เจ้าถอยไปพร้อมเจ้าหน้าที่สำนักงานเกษตรเสีย”
จ้าวซิงที่เพิ่งปลดเถาวัลย์ออกจากขาได้ชะงัก เมื่อได้ยินเช่นนั้น สีหน้าของจ้าวซิงก็ดูเปลี่ยนไปเล็กน้อย เขาหยุดการเคลื่อนไหวทันที
"เจ้าไม่เชื่อใจข้าหรือ?"
เฉินซือเจี๋ยมองด้วยสายตาเย็นชา
จ้าวซิงหลับตาลง สูดลมหายใจลึก ๆ จากนั้นเขาค่อย ๆ ถอยหลังกลับไป ปิดหูของตนเองด้วยลมเย็นที่ห่อหุ้มร่างกาย แล้วถอยกลับไปจนถึงโต๊ะ
เขาเอื้อมมือไปสำรวจ และพบว่า…
โคมไฟวิญญาณที่จุดไว้นั้นดับลงเสียแล้ว
‘เฉินซือเจี๋ย’ ที่ยืนอยู่นอกลานบ้านเผยสีหน้าแปลกใจ เสียงหนึ่งดังขึ้นในจิตใจของจ้าวซิง: “ข้าพลาดตรงไหนงั้นหรือ?”
“เฉินซือเจี๋ยตัวจริง จะไม่เรียกตนเองว่า ‘ข้า’ ในสถานการณ์ส่วนตัวแบบนี้” จ้าวซิงลืมตาขึ้นมาและกล่าวเสียงเรียบ “เจ้านี่ช่างกล้าหาญจริง ๆ ถึงขนาดไม่ยอมหนีไป เจ้าไม่กลัวเทพผู้ครองทะเลสาบตะวันออก แล้วเจ้าไม่กลัวเจ้าเมืองหนานหยางหรือ?”
ในใจของจ้าวซิงเองก็รู้สึกประหลาดใจไม่น้อย เพราะเขาคาดไม่ถึงว่าเงาวิญญาณของเซวียนเทียนเลือดจะมายังที่นี่ด้วยตัวเอง
ตามหลักแล้ว เมื่อขั้นแรกของวิญญาณเงามืดเข้าสู่ฝันจบลง และขั้นที่สองของการจับตัวเสร็จสิ้น ทุกคนควรจะหนีไปตามแผน
แต่ไม่คาดคิดว่าเรื่องราวจะพลิกผันเช่นนี้
“เทพผู้ครองทะเลสาบตะวันออกถูกข้าถ่วงเอาไว้แล้ว” ‘เฉินซือเจี๋ย’ กล่าวด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น “แต่วิญญาณร่างนี้ของข้าคงหนีไม่รอดแล้ว เจ้าพูดถูก ข้าไม่กลัวเทพผู้ครองทะเลสาบตะวันออก แต่ข้ากลัวเจ้าเมืองหนานหยาง”
“ไม่น่าเชื่อว่าเขาจะส่งคนมาได้จริง ๆ ในเมื่อข้าหนีไม่รอด ก็เลยมาหาเจ้า”
“ข้าเป็นแค่เจ้าหน้าที่สำนักงานเกษตร เจ้ามาหาข้าทำไมกัน? หนีไปเถอะ ลองหนีดูก่อนเถอะ เผื่อเจ้าจะหนีได้!”
“ฮ่าฮ่าฮ่า” เซวียนเทียนเลือดหัวเราะเสียงดัง เขามองออกว่าจ้าวซิงกำลังหวาดกลัว
กลัว… นั่นแหละคือสิ่งที่ข้าต้องการ
เขากำลังจะกล่าวอะไรเพิ่มเติม แต่ทันใดนั้นก็มีแสงทองวูบหนึ่งปรากฏขึ้นจากระยะไกล พร้อมกับเสียงตะโกนดังลั่น:
“จ้าวซิง! อย่าเปิดประตู!”
เซวียนเทียนเลือดมองจ้าวซิงเป็นครั้งสุดท้าย “สหายเซียน ไว้พบกันใหม่”
เสียง ฮึ่ม ดังขึ้น พร้อมกับเปลวไฟลุกท่วมร่าง เขาทำลายวิญญาณร่างนี้ของตนเองลงโดยไม่ลังเล
ในขณะเดียวกัน เฉินซือเจี๋ยตัวจริงก็มาถึงทันเวลา ส่วนเทพผู้ครองทะเลสาบตะวันออกก็กลับเข้าสู่ร่างวิญญาณของตนในรูปปั้น
ฟึ่บ!
เฉินซือเจี๋ยกระโดดข้ามกำแพงเข้ามาในลานบ้าน
ในเมื่อจ้าวซิงเคยเชิญเขาเข้ามาโดยตรง ทำให้เขาสามารถผ่านเข้ามาได้โดยไม่มีข้อจำกัดใด ๆ ซึ่งนั่นพิสูจน์ได้ว่าเฉินซือเจี๋ยตรงหน้านี้เป็นตัวจริง
"เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง?" เฉินซือเจี๋ยถาม
“ข้าไม่เป็นไร” จ้าวซิงส่ายหัว “เมื่อครู่เกิดอะไรขึ้น?”
"เป็นวิญญาณเงามืดของเซวียนเทียนเลือด" เฉินซือเจี๋ยตอบสั้น ๆ "แต่ตอนนี้ทุกอย่างจบลงแล้ว"
จ้าวซิงพยักหน้า แต่ยังคงมีคำพูดหนึ่งของเซวียนเทียนเลือดที่ก้องอยู่ในใจ
“สหายเซียน” … เขาหมายความว่าอะไร?