บทที่ 70: ออกเดินทาง
“เอาล่ะ! เรื่องนั้นช่างมันเถอะ ท่านพี่รัชทายาทรีบเริ่มเลย” มู่ไป๋ไป่เร่งเร้าอีกฝ่ายอย่างหมดความอดทน เธอแทบอดใจรอไม่ไหวที่จะกลายเป็นปรมาจารย์ตัวน้อยที่สามารถบินข้ามกำแพงได้แล้ว
นั่นทำให้มู่จวินฝานหัวเราะกับท่าทางกระตือรือร้นของเด็กน้อย เขาลูบหัวของน้องสาวแล้วพูดด้วยรอยยิ้มว่า “เรามาทำข้อตกลงให้เข้าใจกันเป็นอย่างแรก เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย เจ้าอย่าได้ร้องไห้ทีหลังก็แล้วกัน”
“ท่านพี่รัชทายาท ท่านกำลังดูถูกไป๋ไป่อยู่หรือ?” มู่ไป๋ไป่ตบหน้าอกของตัวเองเสียงดังก่อนจะเอ่ยปากว่า “ไป๋ไป่เป็นคนที่อดทนเก่งมาก!”
หลัวเซียวเซียวที่อยู่ด้านข้างเองก็พยักหน้าสำทับ “เซียวเซียวก็อดทนต่อความยากลำบากได้เช่นกันเพคะ”
มู่จวินฝานทำเพียงแค่ยิ้มโดยไม่พูดอะไร
หลังจากเวลาผ่านไปครึ่งก้านธูป เขาก็ได้ยินเสียงร้องโอดครวญของเด็กหญิงทั้ง 2 จากในมุมที่เงียบสงบ
มู่ไป๋ไป่ไม่เคยคิดว่าการเรียนกังฟูจะยากขนาดนี้ ในเวลาเพียง 6 วันช่างยาวนานเหมือนผ่านไปหลายปี เธออยากจะล้มเลิกไปหลายครั้ง แต่พอนึกถึงคำพูดที่ให้ไว้กับพี่ชาย เธอก็ได้แต่หุบปากและก้มหน้าทนรับการฝึกต่อไป
ในช่วง 6 วันนี้ ตอนกลางคืนเธอต้องไปเรียนกังฟูกับมู่จวินฝาน ก่อนจะกลับมาที่ตำหนักอิ๋งชุนในตอนรุ่งสาง และในระหว่างวันเธอต้องคอยเฝ้าดูคนในตำหนักเก็บข้าวของของเธอด้วย
หลังจากผ่านความยากลำบากมามากมาย ใบหน้าเล็ก ๆ ก็ตอบลงอย่างรวดเร็ว
หว่านผินคิดว่าเป็นเพราะเธอไม่อยากไปวัดฮู่กั๋วจึงคิดที่จะไปขอร้องมู่เทียนฉงแทนเธอ แต่โชคดีที่เด็กหญิงห้ามเอาไว้ได้ทันเวลา
วันเวลาผ่านไปจนกระทั่งถึงคืนก่อนออกเดินทาง ในที่สุดมู่ไป๋ไป่ก็ผ่านการทดสอบของมู่จวินฝานและกลายเป็นลูกศิษย์ของเขา พร้อมกับได้รับแส้หนังอันเล็กมาเป็นรางวัล
“ไป๋ไป่มีความยืดหยุ่นทางร่างกายสูง สามารถหลบหลีกและโจมตีในระยะไกลได้ดี ดังนั้นแส้เส้นนี้จึงเหมาะที่เป็นอาวุธของเจ้า” เด็กหนุ่มกล่าวพลางลูบหัวเล็ก ๆ ของน้องสาวอย่างชื่นชม “ช่วงนี้เจ้าทำผลงานได้ดีมาก”
มู่ไป๋ไป่เช็ดเหงื่อบนใบหน้าของตัวเอง จากนั้นก็ยกริมฝีปากเป็นรอยยิ้มสดใส “เป็นเพราะท่านพี่รัชทายาทที่สอนไป๋ไป่ ถึงทำให้ไป๋ไป่มีทุกวันนี้ได้”
แม้ว่าเธอจะต้องเหน็ดเหนื่อยมา 6 วัน แต่เธอก็รู้สึกถึงความสำเร็จหลังจากโจมตีมู่จวินฝานได้เมื่อครู่นี้
“องค์รัชทายาท แล้วเซียวเซียวล่ะเพคะ?” หลัวเซียวเซียวกระซิบถาม “พระองค์คิดว่าอาวุธชนิดใดเหมาะกับเซียวเซียวเพคะ?”
“เจ้าเหมาะกับสิ่งนี้” มู่จวินฝานมอบของอีกชิ้นหนึ่งที่เขาเตรียมเอาไว้ให้กับเด็กหญิง
หลัวเซียวเซียวคนนี้เกินความคาดหมายของเขาไปมาก นางมีความสามารถและเห็นได้ชัดว่ามีความซื่อสัตย์ต่อผู้เป็นนาย เมื่อนางอยู่ข้างกายมู่ไป๋ไป่ เขาก็จะรู้สึกสบายใจขึ้นมาก
“ขอบพระทัยองค์รัชทายาท” หลัวเซียวเซียวรู้สึกประหลาดใจมากขณะมองดูมีดสั้นในกล่องไม้ด้วยความรู้สึกชื่นชอบ จากนั้นนางก็หยิบมีดสั้นขึ้นมาลองถือก่อนจะพบว่ามันมีน้ำหนักเบามากจนแม้แต่เด็กอย่างนางก็สามารถใช้ได้โดยไม่มีปัญหาอะไร
“พรุ่งนี้พวกเจ้าต้องออกเดินทางกันแล้ว ดังนั้นจงระวังตัวเอาไว้ให้มาก” ในระหว่างที่พูดมู่จวินฝานก็หยิบของทรงกระบอกยาวออกมาจากกระเป๋าของเขาแล้วส่งให้มู่ไป๋ไป่ “หากเจ้าพบเจอสถานการณ์ฉุกเฉิน แค่เจ้าใช้สิ่งนี้ ข้าสร้างขึ้นมาโดยเฉพาะ แม้แต่อยู่ในวังหลวงก็สามารถมองเห็นสัญญาณนี้ได้”
จากนั้นเด็กหนุ่มก็ได้กำชับทั้ง 2 คนอีก 2-3 ประโยค ก่อนจะส่งพวกนางกลับไปที่ตำหนักอิ๋งชุนในเวลารุ่งสาง
แม้ว่าวัดฮู่กั๋วจะตั้งอยู่ใกล้เมืองหลวง แต่ขบวนเสด็จนั้นมีขนาดใหญ่มากและจำเป็นต้องผ่านถนนหลักที่เจริญรุ่งเรืองที่สุดในเมืองหลวง ซึ่งมันทำให้การเดินทางล่าช้ามากยิ่งขึ้น ดังนั้นเมื่อถึงเวลารุ่งสางก็มีขันทีมาหาที่ตำหนักเพื่อแจ้งทุกคนในตำหนักอิ๋งชุนว่าเตรียมพร้อมออกเดินทางแล้ว
บัดนี้ท้องฟ้าเริ่มสว่างขึ้นในขณะที่ดวงอาทิตย์เผยออกมาครึ่งดวง ทำให้แสงสว่างส่องลอดประตูวังหลวงเข้ามาภายใน
จากระยะไกล มู่ไป๋ไป่เห็นผู้คนจำนวนมากยืนเรียงแถวอยู่ที่ประตูวัง ซึ่งพวกเขากำลังจ้องมองไปด้านในและเห็นมู่เทียนฉงรวมถึงเหล่าพระสนมออกมารอส่งขบวนเสด็จ
คนตัวเล็กรู้สึกดีใจมาก ยังไม่ทันที่หว่านผินจะได้ห้ามเธอไว้ เธอก็กระโดดลงจากเกี้ยวแล้ววิ่งไปหาผู้เป็นพ่อ “ท่านพ่อ ทำไมท่านถึงมาที่นี่!”
มู่เทียนฉงอุ้มลูกสาวไว้ในอ้อมแขนก่อนจะตอบว่า “แน่นอนว่าเราจะต้องมาส่งเจ้า”
เมื่อพระสนมที่อยู่ด้านข้างได้ยินฝ่าบาทพูดกับองค์หญิงหกอย่างเป็นกันเอง พวกนางก็มองมู่ไป๋ไป่ด้วยสายตาริษยาทันที
พวกนางไม่เข้าใจจริง ๆ ว่าเหตุใดมู่เทียนฉงถึงได้โปรดปรานองค์หญิงหกถึงเพียงนี้ เหล่าพระสนมทั้งหลายเองก็อยากจะให้องค์หญิงที่เป็นลูกสาวของตนใช้วิธีเดียวกันเพื่อรับความโปรดปรานจากฝ่าบาท
“ท่านพ่อไม่ต้องกังวล ในครั้งนี้ไป๋ไป่จะติดตามไทเฮากับท่านแม่ไปสวดมนต์ขอพรให้กับแคว้นเป่ยหลงเองเพคะ” คนตัวเล็กพูดขึ้นด้วยสีหน้าจริงจัง “ไป๋ไป่จะขอพรให้พระโพธิสัตว์คุ้มครองแคว้นเป่ยหลงของเราให้ร่มเย็นเป็นสุขและเจริญรุ่งเรือง”
ทุกวันนี้มู่เทียนฉงแทบไม่มีเวลานอนเนื่องจากราชกิจรัดตัว ทำให้เขาดูซูบผอมลงไปมาก ก่อนที่เขาจะมาพบมู่ไป๋ไป่ในวันนี้ เขาเพิ่งทะเลาะกับขุนนางที่มีความเห็นทางการเมืองที่แตกต่างออกไป
หลังจากฮ่องเต้หนุ่มได้ฟังคำพูดของลูกสาวตัวน้อย เขาก็รู้สึกว่าความเหนื่อยล้าทั้งหมดพลันหายไปเป็นปลิดทิ้ง
“พูดได้ดี” ผู้เป็นพ่อบีบแก้มเจ้าตัวเล็กเบา ๆ “องค์หญิงหกของเราเป็นคนที่มีความสามารถ แม้แต่เสือก็ต้องยอมจำนนให้แก่เจ้า สวรรค์ช่างโปรดปรานเจ้ายิ่งนัก ขอให้คำอวยพรของเจ้ามีผลเท่าทวีคูณ”
มู่ไป๋ไป่รู้สึกขัดเขินกับคำชมนี้ เธอจึงดึงแขนเสื้อของอีกฝ่ายแล้วกระซิบว่า “ท่านพ่อ ก้มลงมาหน่อยเพคะ”
มู่เทียนฉงรู้สึกขบขันสิ่งที่คนตัวเล็กทำอีกครั้ง เมื่อเขาเห็นว่าเกี้ยวของไทเฮามาถึงแล้ว เขาก็วางลูกสาวลงและเข้าไปคุยกับไทเฮา
ทางด้านมู่จวินฝานก็ได้อาศัยช่วงเวลานี้กำชับมู่ไป๋ไป่อีก 2-3 คำพร้อมส่งถุงกระดาษอุ่น ๆ ใบเล็กให้นาง โดยบอกว่ามันเป็นของว่างที่เพิ่งอบสดใหม่จากห้องครัว ให้นางกับหลัวเซียวเซียวเก็บไว้กินระหว่างทาง
เด็กหญิงยอมรับมันมาอย่างมีความสุข เธอกล่าวคำอำลาพี่ชายก่อนจะขึ้นไปบนรถม้าของตัวเองเพื่อเดินทางออกจากวังหลวง
ปัจจุบัน หว่านผินเป็นพระสนมที่ได้รับความโปรดปรานมากที่สุดในวังหลัง
ในเหล่าขบวนพระสนม ลี่เฟยซึ่งยืนอยู่ท้ายสุดรู้สึกอิจฉาจนตาแทบลุกเป็นไฟ
ทั้งหมดทั้งมวลนี้ควรจะเป็นของนาง หากวันนั้นมู่ไป๋ไป่ไม่ได้พามู่เทียนฉงไปที่ตำหนักชิงเหอ นางก็จะเป็นคนที่นั่งอยู่บนรถม้าคันนั้นและได้รับสายตาอิจฉาของพระสนมทุกคนในวังหลัง
แต่ตอนนี้ทุกอย่างได้พังทลายลงแล้ว นอกจากนางจะถูกบังคับให้มอบตราประทับหงส์คืน นางยังไม่สามารถก้าวออกจากตำหนักชิงเหอได้อีกด้วย
ถ้าไม่ใช่เพราะว่าวันนี้เป็นโอกาสพิเศษที่ให้ทุกคนในวังหลังได้ออกมาส่งขบวนเสด็จ นางคงไม่มีโอกาสได้ก้าวออกจากตำหนัก
ลี่เฟยเขม็งมองมู่ไป๋ไป่ซึ่งกำลังยิ้มสดใสอยู่บนรถม้า พร้อมกับความรู้สึกอยากจะลุกขึ้นไปฉีกทึ้งเด็กคนนี้ออกเป็นชิ้น ๆ และกลืนกินเลือดเนื้อของมันลงท้องไปให้หมด
ความแค้นนี้ข้าจะให้นางได้ชดใช้แน่นอน!
ประตูวังหลวงสีแดงชาดค่อย ๆ แง้มเปิดออกอย่างช้า ๆ และขบวนเสด็จที่ยิ่งใหญ่ก็ค่อย ๆ เคลื่อนออกจากประตูไป
ขณะนี้มู่ไป๋ไป่กับหลัวเซียวเซียวนั่งเชิดหน้าอยู่บนรถม้าของตัวเองพลางจ้องมองถนนที่พลุกพล่านด้านนอกอย่างสนอกสนใจเพราะอยากเห็นสิ่งที่ไม่เคยพบเห็นมาก่อน
คนหนึ่งถูกเลี้ยงดูอยู่ในส่วนลึกของวังหลวง ส่วนอีกคนหนึ่งถูกเลี้ยงดูในเรือนคนรับใช้ที่อยู่ในส่วนลึกของจวนตระกูลใหญ่ ทำให้ทั้งคู่ไม่เคยเห็นโลกภายนอกมาก่อนเลย
“ช่างครึกครื้นยิ่งนัก…” มู่ไป๋ไป่มองไปยังถนนที่คลาคล่ำไปด้วยผู้คนและโคมไฟ ก่อนจะถอนหายใจเบา ๆ “ข้าอยากออกมาเดินเล่นซื้อของสักครั้งจริง ๆ”