บทที่ 69: ขอพร
“ขอโทษที ข้าแค่มีความสุขมากไปหน่อย ให้ข้านอนอยู่เช่นนี้สักพักหนึ่งนะ” มู่ไป๋ไป่ยังคงนอนอยู่บนพื้นเช่นเคย หลัวเซียวเซียวจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากจะต้องล้มตัวลงไปนอนข้างกาย
นั่นทำให้เสื้อผ้าของทั้งคู่สกปรก หากหว่านผินอยากจะตำหนิในตอนที่พวกนางกลับไป อย่างน้อยนางก็สามารถช่วยองค์หญิงหกแบ่งเบาได้บ้าง
“แมวอย่างข้าไม่เข้าใจมนุษย์อย่างพวกเจ้าเลยจริงจริ๊ง” เจ้าส้มที่กำลังนั่งอยู่บนกำแพงมองดูคนตัวเล็ก 2 คนกำลังกลิ้งตัวไปมาอยู่บนพื้นและแสดงท่าทีรังเกียจ
ในวังหลวงมีเรื่องเกิดขึ้นซ้ำ ๆ หลายครั้ง เริ่มต้นที่หลัวเซียวเซียวถูกผลักลงน้ำจนเกือบจมน้ำตาย จากนั้นองค์หญิงใหญ่ก็ถูกปลดออกจากตำแหน่ง เมื่อวานนี้มีข่าวว่าลี่เฟยถูกลงโทษและริบคืนตราประทับหงส์ ประกอบกับบ้านเมืองที่มีข่าวเรื่องน้ำท่วมและสงคราม
ทั่วทั้งวังหลวงจึงจมอยู่ในบรรยากาศที่หนักหน่วง
ไทเฮารู้สึกเป็นกังวลจึงได้ทูลขออนุญาตมู่เทียนฉงเสด็จไปที่วัดฮู่กั๋วเพื่อสวดมนต์ให้กับแคว้นเป่ยหลง
แคว้นเป่ยหลงมีธรรมเนียมปฏิบัติในการทำพิธีสวดมนต์ทุกปี แต่ในปีนี้ถูกเลื่อนออกไปเนื่องจากเหตุผลหลายประการ เมื่อไทเฮาออกหน้าพูดถึงในเวลานี้ มู่เทียนฉงจึงเห็นด้วยทันที
อย่างไรก็ตาม ตามกฎของราชสำนัก หากจะเดินทางไปที่วัดฮู่กั๋วเพื่อสวดมนต์ขอพร จะต้องมีพระสนมและทายาทของฮ่องเต้ร่วมเดินทางไปด้วย ในปีก่อน ๆ ตัวแทนพระสนมก็คือลี่เฟย ส่วนทายาทจะเป็นองค์หญิงใหญ่ มู่เชียน หรือไม่ก็องค์รัชทายาท มู่จวินฝาน
บังเอิญว่าปีนี้องค์หญิงใหญ่เพิ่งถูกปลดไป และองค์รัชทายาทก็ได้รับการแต่งตั้งจากมู่เทียนฉงให้เข้ามามีตำแหน่งในราชสำนักและเป็นขุนนางของแคว้นเมื่อไม่กี่วันก่อน ช่วงนี้เขาจึงยุ่งมากจนไม่มีเวลาไปสวดมนต์
สำหรับลี่เฟย แม้แต่ตราประทับหงส์ก็ยังถูกเรียกคืน ดังนั้นจึงไม่มีใครกล้าพูดถึงเรื่องนี้ต่อหน้านาง
ดังนั้นภารกิจในการพาไทเฮาไปยังวัดฮู่กั๋วเพื่อสวดมนต์ขอพรจึงตกไปอยู่ที่ตำหนักอิ๋งชุน
ขณะนี้มู่ไป๋ไป่กำลังนั่งอยู่ในสวนเพื่อหยอกล้อกับต้นโสม ตั้งแต่ที่ต้นโสมขอน้ำตาของเธอไป เธอก็ไม่ได้พูดคุยอะไรกับมันอีก ดังนั้นเธอจึงเข้ามาดูมันทุก ๆ 2-3 วัน
ด้วยเหตุนี้ ไม่นานหลังจากที่เด็กหญิงมาหาต้นโสมในวันนี้ เจ้าส้มที่กลับมาจากท้องพระโรงก็เล่าให้เธอฟังว่าพวกเธอจะได้ไปวัดฮู่กั๋วเพื่อขอพร
“ถึงฮ่องเต้จะยังไม่ได้ประกาศราชโองการออกมา แต่ไม่ว่าอย่างไรก็คงไม่มีการเปลี่ยนแปลง” แมวตัวอ้วนไปนั่งอยู่บนโต๊ะหินแล้วยกขาขึ้นก่อนจะเลียขนที่ก้นของตัวเอง
“ข้าจะได้ออกจากวังอย่างนั้นหรือ?” มู่ไป๋ไป่ผุดลุกขึ้นอย่างตื่นเต้นและลืมเรื่องต้นโสมไปทันที หลังจากทะลุมิติมาที่นี่เธอเพิ่งเคยออกจากวังหลวงเพียงครั้งเดียว แล้วตอนนั้นเธอก็อยู่บนหลังมู่จวินฝานตลอดเวลา แม้แต่แมลงสักตัวเธอก็ยังไม่เห็น ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าทิวทัศน์ภายนอกวังนั้นเป็นอย่างไร
“อย่าเพิ่งดีใจเกินไป” เจ้าส้มเงยหน้าขึ้นมองเด็กหญิงแล้วกล่าวว่า “เจ้าคิดว่าการไปสวดมนต์ขอพรเป็นการไปเที่ยวเล่นหรืออย่างไร ไต้ซือเฒ่าพวกนั้นที่อยู่ในวัดฮู่กั๋วขี้เหนียวจะตาย ตั้งแต่วันที่พวกเราเข้าไปในวัด พวกเขาก็เอาแต่หัวไชเท้าและกะหล่ำปลีมาให้ข้ากินอยู่ทุกวัน มันรสชาติห่วยแตกสุด ๆ”
ปีที่แล้วเจ้าส้มซ่อนตัวอยู่ในรถม้าขององค์รัชทายาทแล้วติดตามพระองค์ไปที่นั่น แต่หลังจากที่อยู่ที่นั่นได้ไม่ถึงวัน มันถึงขั้นทนไม่ไหวจนต้องหนีไป
ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา อาหารมังสวิรัติของวัดฮู่กั๋วก็ได้ส่งผลกระทบต่อจิตใจของมันและลบไม่ออกจนถึงปัจจุบัน
“อะไรกัน?” มู่ไป๋ไป่โบกมือเบา ๆ แบบไม่ใส่ใจนัก “ในเมื่อมีแม่ครัวอัจฉริยะอย่างข้าอยู่ที่นี่ ถ้ารสชาติมันแย่ขนาดนั้นก็ทำกินเองเลยดีกว่า ประเด็นสำคัญก็คือเราสามารถออกไปเล่นข้างนอกได้แล้ว!”
“ที่เจ้าพูดก็จริง” เจ้าส้มเริ่มรู้สึกสนใจขึ้นมา “ถ้าอย่างนั้นข้าก็จะฝืนใจไปกับเจ้าอีกครั้ง ถ้าอาหารมังสวิรัติที่เจ้าทำไม่อร่อย ข้าจะหนีออกจากบ้านทันที แล้วก็จะไม่กลับมาอีกเลย”
วันรุ่งขึ้น พระราชโองการของฝ่าบาทก็ถูกถ่ายทอดลงมา โดยมีรับสั่งให้หว่านผินกับมู่ไป๋ไป่ติดตามไทเฮาไปที่วัดฮู่กั๋ว ซึ่งมีกำหนดการออกเดินทางในอีก 7 วันหลังจากนี้
เด็กหญิงรู้สึกมีความสุขมากหลังจากได้รับราชโองการ เธอจึงรีบไปหาหลัวเซียวเซียวและเริ่มจัดเตรียมสัมภาระเดินทางของตัวเอง
แต่ก่อนที่เธอจะทันได้รู้สึกตื่นเต้น เธอก็ถูกมู่จวินฝานที่ปรากฏตัวในชุดนอนขัดขวาง
“ท่านพี่รัชทายาท?” มู่ไป๋ไป่ลุกขึ้นจากเตียงด้วยท่าทีง่วงงุน เธอก็ยังคงรู้สึกสับสนเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าจู่ ๆ ก็มีคนปรากฏตัวขึ้นในห้องของตน และแอบสงสัยว่าเธอกำลังฝันไปอยู่หรือไม่
“ข้าเอง” มู่จวินฝานถอดผ้าคลุมหน้าสีดำออก ทำให้ใบหน้าหล่อเหลาของเขาคล้ายมีรัศมีจาง ๆ ภายใต้แสงจันทร์ มันช่างงดงามและชวนฝันยิ่งนัก
“ข้าได้ยินมาว่าในอีกไม่กี่วันไป๋ไป่จะต้องออกเดินทางไปวัดฮู่กั๋วพร้อมกับไทเฮา ข้ารู้สึกเป็นกังวลเกี่ยวกับการเดินทางในครั้งนี้จึงอยากจะแวะมาอธิบายให้เจ้ารู้ล่วงหน้าสัก 2-3 ประโยค”
“หา?” คนตัวเล็กมองดูสภาพอากาศที่มืดมิดข้างนอกแล้วพูดว่า “แต่ท่านพี่ อีก 6 วันข้าถึงจะเดินทาง…”
เขามาอธิบายเร็วเกินไปหรือไม่?
นอกจากนี้ เขาช่วยเลือกมาพูดคุยในระหว่างวันไม่ได้หรืออย่างไร?
“ระยะเวลา 6 วันมันสั้นเกินไป ข้าเกรงว่าเราจะมีเวลาไม่เพียงพอ” มู่จวินฝานโบกมือให้น้องสาวราวกับว่าเขาไม่รับรู้ถึงข้อสงสัยของนาง “รีบไปเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วออกมา”
มู่ไป๋ไป่ไม่รู้ว่ามู่จวินฝานต้องการทำอะไร แต่เธอเชื่อว่าอีกฝ่ายหวังดีกับตัวเธอ ถึงใจเธอจะไม่อยากลุกจากเตียงอุ่น ๆ แต่เธอก็ต้องจำใจลุกขึ้นไปเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วเดินตามพี่ชายออกไป
เด็กหนุ่มอุ้มเด็กหญิงไว้ในอ้อมแขนก่อนจะกระโดดขึ้นลงตามกำแพงวัง จากนั้นไม่นานพวกเขาก็มาถึงพื้นที่โล่งซึ่งแม้แต่เธอก็ไม่รู้ว่ามันอยู่ส่วนไหนของวังหลวง
ทันทีที่เขาลงจอด ร่างสีขาวก็วิ่งเข้ามาต้อนรับ
“องค์หญิงหก!” หลัวเซียวเซียวเข้ามาจับมือมู่ไป๋ไป่อย่างประหม่า เห็นได้ชัดว่านางกำลังหวาดกลัว “พระองค์เป็นอะไรหรือไม่เพคะ?”
“เอ๋ เซียวเซียว เจ้าก็อยู่ที่นี่เหมือนกันหรือ?” มู่ไป๋ไป่มองมู่จวินฝานด้วยสายตาแปลกประหลาด ขณะที่เธอเอ่ยถามว่า “ท่านพี่รัชทายาท ท่านมีอะไรจะพูดกับเซียวเซียวด้วยหรือ?”
“องค์รัชทายาท?” เด็กหญิงตกใจเมื่อได้เห็นมู่จวินฝานถอดผ้าปิดหน้าออก นางจึงรีบคุกเข่าคารวะอีกฝ่ายทันที
“เวลาใกล้จะหมดแล้ว รีบลุกขึ้นเถอะ อย่าได้มากพิธี” เด็กหนุ่มยกมือให้หลัวเซียวเซียว จากนั้นเขาก็หันไปทางที่นางเดินมาแล้วพูดว่า “เจี่ยอี เจ้ายังไม่ได้อธิบายให้คุณหนูหลัวเข้าใจชัดเจนหรือ?”
ในไม่ช้าชายคนหนึ่งที่สวมชุดสีดำแบบเดียวกับองค์รัชทายาทก็เดินออกมาจากในมุมมืด นั่นคือหัวหน้าองครักษ์เงาของเขา
“ข้าน้อยประมาทไปชั่วครู่” เจี่ยอีคงคำนับให้มู่จวินฝานก่อนจะหันไปหาหลัวเซียวเซียว “ขออภัยที่ทำให้คุณหนูหลัวตกใจ”
“ไม่เป็นไร” เด็กหญิงถอนหายใจด้วยความโล่งอก เพราะก่อนหน้านี้จู่ ๆ ก็มีชายชุดดำมาปรากฏตัวในห้องของนาง เขาอุ้มนางขึ้นแล้วบินออกไปโดยไม่พูดอะไรกับนางสักคำ มันทำให้นางตกใจมากจนคิดว่าตนถูกใครบางคนลักพาตัว
“ไป๋ไป่ สถานการณ์ในท้องพระโรงตอนนี้ค่อนข้างซับซ้อน ข้ากลัวว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นระหว่างการเดินทางไปวัดฮู่กั๋ว ดังนั้นข้าจึงอยากจะสอนวิชาป้องกันตัวให้เจ้าก่อนที่เจ้าจะออกเดินทาง ในยามที่คับขันเจ้าอาจจำเป็นต้องใช้มัน”
“ท่านพี่รัชทายาท ท่านจะสอนวรยุทธให้กับไป๋ไป่หรือ?” จู่ ๆ มู่ไป๋ไป่ที่รู้สึกง่วงก็ตื่นเต็มตา ก่อนหน้านี้ตอนที่เธอถูกอวี้เซิ่งกับองครักษ์เงาพาบินไปรอบ ๆ เธอก็แอบหวังว่าสักวันหนึ่งเธอจะทำแบบนี้ได้บ้าง หากเธอมีวรยุทธ์ที่ทรงพลังเช่นนี้ เธอจะสามารถบินข้ามกำแพงวังหลวงออกไปได้อย่างอิสระ
เด็กหญิงไม่คาดคิดเลยว่าความฝันของเธอจะกลายเป็นจริงเร็วขนาดนี้
“ไม่นับว่าเป็นการสอนวรยุทธ” มู่จวินฝานเริ่มทำหน้าจริงจังบ้าง “ถึงอย่างไรเราก็มีเวลาไม่ถึง 6 วันเท่านั้น และข้าก็ไม่ได้คาดหวังว่าเจ้าจะเรียนรู้ได้ทั้งหมดในเวลาเพียง 6 วันด้วย”
“นี่เป็นวิชาบางอย่างที่ไว้ใช้เอาตัวรอดในยามคับขัน ดังนั้นไป๋ไป่จะต้องจำมันให้ได้ และอย่าได้ใช้มันเว้นแต่ว่าจำเป็นจริง ๆ มิเช่นนั้น เจ้าจะเสียโอกาสไปทันทีหากมันถูกเปิดเผย”
--------------------------------------------------
พูดคุยท้ายตอนกับเสี่ยวเถียว: ท่านพี่จะสอนวิชาอะไรให้น้องกันนะ