บทที่ 58 สามสมบัติล้ำค่าของสำนักเทียนซือ
ความสัมพันธ์ระหว่างพุทธศาสนา ลัทธิเต๋า และสำนักขงจื๊อต่างๆนั้น ซับซ้อนเกินจะอธิบายได้ในคำไม่กี่คำ
ด้วยเหตุผลที่เกี่ยวข้องกับราชวงศ์ถัง ความสัมพันธ์ระหว่างสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของพุทธและเต๋าจึงมักจะอยู่ในสภาวะที่ตรงข้ามกับบรรดาตระกูลขงจื๊อที่ทรงอิทธิพล
ตัวอย่างเช่น สำนักเทียนซือและตระกูลหลินแห่งเจียงโจวถือเป็นศัตรูคู่อาฆาตกัน
แต่ก็มีข้อยกเว้นอยู่บ้าง เช่น ฟางเจี่ยน แห่งตระกูลฟางจากจิงเซียง ที่เข้าสังกัดภูเขาหลงหูและกลายเป็นศิษย์ของเทียนซือโดยตรง
เช่นเดียวกับ ตระกูลชู่แห่งซูโจว ที่มีบุตรหลานเข้าสู่สำนักเทียนซือเพื่อฝึกฝนอยู่ในปัจจุบัน เพียงแต่พวกเขามิได้สืบทอดวิชาจากอาจารย์เดียวกันกับเล่ยจวิน
เนื่องจากพื้นฐานของตระกูลชู่ การเลือกสืบทอดวิชาจึงต้องผ่านการพิจารณาและเจรจาเป็นอย่างดี
ชู่หยูได้บอกจุดประสงค์ของตนอย่างชัดเจนและแนะนำเด็กหนุ่มที่อยู่ข้างๆนางว่า
“นี่คือ ชู่คุน เหลนของท่านลุงเจ็ดของข้า”
เด็กหนุ่มยืนอย่างเรียบร้อยและทำความเคารพต่อเล่ยจวินและถังเสี่ยวถาง
“ชู่คุนคารวะต่อท่านทั้งสอง”
ชู่หยูยิ้มมองถังเสี่ยวถาง
แม้นางจะไม่ได้พูดอะไรถังเสี่ยวถางก็เหมือนจะเข้าใจความหมายที่ซ่อนอยู่
จริงๆแล้วในที่นี้มีเพียงเล่ยจวินเท่านั้นที่เป็นศิษย์สำนักเต๋าที่แท้จริง
ส่วนอีกคนยังไม่ถึงขั้นนั้น...
ถังเสี่ยวถางรู้สึกหงุดหงิด แต่ความสนใจของนางกลับถูกดึงไปยังอีกเรื่องหนึ่ง
“เดี๋ยวก่อน เขาเป็นเหลนของท่านลุงเจ็ดของเจ้า? งั้นเจ้าก็เป็น…”
ชู่หยูหันไปมองเด็กหนุ่มข้างๆ
เด็กหนุ่มแสดงความเคารพอย่างจริงจัง พร้อมกล่าวด้วยน้ำเสียงที่สุภาพ
"ท่านน้าทวด"
เล่ยจวินขยับกรามเล็กน้อย
เขาเคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อน ว่าคุณหนูตระกูลชู่ผู้นี้เป็นดวงใจของหัวหน้าตระกูลชู่วัยชราแม้ตัวนางจะยังเด็กแต่ก็มีศักดิ์ใหญ่ในตระกูล
ถังเสี่ยวถาง หัวเราะออกมาและกล่าวอย่างประชดประชัน
“ปกติแล้ว เจ้าก็อายุไม่น้อยแล้วนี่นะ”
ครั้งนี้ชู่หยู ดูแตกต่างจากเมื่อครั้งงานพิธีรับตำราศักดิ์สิทธิ์ที่ผ่านมา ซึ่งนางมาในฐานะแขกผู้มีเกียรติและแต่งกายเป็นสุภาพสตรี แต่ตอนนี้นางสวมชุดล่าสัตว์ดูสง่างามและเต็มไปด้วยความมั่นใจ
ความงามและอำนาจของนางฉายแสงออกมาอย่างชัดเจน
ในขณะที่เล่ยจวินมองดอกไม้สองดอกที่แข่งขันกันอยู่ตรงหน้า ความคิดหนึ่งก็แวบเข้ามาในหัวเขา...
ผู้หญิงที่ถูกขนานนามว่าอัจฉริยะอันดับหนึ่งของเจียงหนานคนนี้ อาจจะเดินบนเส้นทางการฝึกตนของขงจื๊อสายคัมภีร์หรือการยิงธนูศักดิ์สิทธิ์?
ในโลกนี้ผู้ฝึกตนในลัทธิขงจื๊อมีความหลากหลายอย่างมากในแง่ของวิธีการฝึกฝน
โดยทั่วไปแล้วลัทธิขงจื๊อในราชวงศ์ถังแบ่งออกเป็นสามสายหลัก ได้แก่ สายคัมภีร์ สายการยิงธนู และสายการร้องสวด
ไม่ว่าจะฝึกสายไหน พวกเขาล้วนมุ่งเน้นการพัฒนาพลังห้าวหาญอันบริสุทธิ์และพลังปัญญาอันล้ำค่า แต่เส้นทางและวิธีการฝึกฝนก็แตกต่างกันออกไป
ฟางเยว่ที่เล่ยจวินเคยพบมาก่อนนั้นฝึกในสายการร้องสวด ซึ่งเน้นการพัฒนาจิตวิญญาณเป็นหลัก
ในขณะที่สายคัมภีร์และสายการยิงธนูจะมีลักษณะที่แตกต่างไปมาก พวกเขามีแนวทางที่เน้นด้าน “การใช้กำลัง” มากกว่า
สายคัมภีร์เป็นสายหลักของลัทธิขงจื๊อในปัจจุบัน ตระกูลใหญ่ทั้งห้าและตระกูลสำคัญทั้งเจ็ดต่างสืบทอดวิธีการฝึกฝนจากสายนี้
ผู้ฝึกตนในสายคัมภีร์ มีวิธีที่คล้ายคลึงกับผู้ฝึกวิชาสายยันต์ ของลัทธิเต๋า ซึ่งมีลักษณะเหมือนนักรบที่ใช้ทั้งการต่อสู้ทางร่างกายและจิตวิญญาณ
ส่วนผู้ฝึกตนในสายการยิงธนูนั้น ก็ไม่ได้แตกต่างจากนักรบเลย
ตามชื่อของสายนี้ผู้ฝึกจะพัฒนาพลังห้าวหาญอันบริสุทธิ์ เพื่อเสริมพลังให้กับธนูและลูกศร
นอกจากนี้พวกเขายังฝึกจิตวิญญาณให้คมชัดและแม่นยำ ทำให้การยิงธนูของพวกเขามีทั้งระยะ ความแม่นยำ และพลังทำลายล้างที่เหนือกว่าผู้อื่น
แม้ว่าพวกเขาอาจจะไม่เก่งในเรื่องการต่อสู้ระยะประชิด แต่ในแง่ของความแข็งแกร่งทางกายภาพ พวกเขาไม่ได้ด้อยกว่านักรบทั่วไปเลย
“ที่นี่ไม่เหมาะสำหรับต้อนรับแขกนะศิษย์พี่น้อย เราควรไปหาสถานที่อื่นดีกว่ามั้ย?” เล่ยจวินกล่าว
ถังเสี่ยวถางยังคงจ้องมองคู่ต่อสู้ของนาง และนั่งลงบนก้อนหินใกล้ๆพร้อมกล่าว
“ข้าว่าที่นี่ก็ดีแล้ว มีความสงบและสวยงามตามธรรมชาติ”
ชู่หยู ยิ้มเล็กน้อยและพยักหน้าเห็นด้วยกับคำพูดของถังเสี่ยวถาง
“ข้าก็เห็นด้วย”
เล่ยจวินยินดีที่ทั้งสองตกลงกันได้ เขาจึงไม่ต้องเสียเวลาไปกับพิธีการต้อนรับอื่นๆ
ถังเสี่ยวถางหันไปพูดต่อ
“บิดาของเจ้า ชู่กั๋วเหล่าเป็นสหายรุ่นเดียวกันกับเทียนซือรุ่นก่อน ซึ่งทำให้เจ้ามีสิทธิพิเศษมากและเทียนซือคนปัจจุบันก็ไม่ถือว่าเจ้าเป็นศิษย์รุ่นเยาว์ เจ้าจึงฉวยโอกาสใช่ไหม?”
ชู่หยูตอบอย่างสุภาพ
“ข้าไม่กล้าหรอก ข้าเคารพในวิชาของ ผู้อาวุโสหยวนมาโดยตลอดหากชู่คุน มีโชคดีได้เป็นศิษย์ของผู้อาวุโสหยวน ก็จะถือว่าเขาเป็นคนของสำนักเต๋าและยกเว้นเพียงการกลับบ้านไหว้บรรพบุรุษ นอกนั้นทุกอย่างจะแยกกันตามหน้าที่”
นางหันไปมองเด็กหนุ่มข้างๆ
“หากไม่ใช่เพราะชู่คุนมีโชคชะตาเกี่ยวข้องกับ ผู้อาวุโสหยวนข้าคงไม่กล้าพาเขามาเยี่ยมเช่นนี้”
“โชคชะตา?” ถังเสี่ยวถางสงสัย
“ก่อนมาข้าก็ไม่รู้ว่าเจ้าจะอยู่ที่ภูเขาชิงเสี้ยว ดังนั้นจึงเตรียมกล่องบรรจุมาแค่สามใบ ขออภัยด้วย”
แม้คำพูดของชู่หยูจะฟังดูสุภาพ แต่ท่าทีของนางกลับไม่ได้มีความขอโทษจริงจังนัก
นางพยักหน้าให้ชู่คุน เด็กหนุ่มรีบนำกล่องผ้าไหมสามกล่องออกมาและส่งให้เล่ยจวิน
ชู่หยูกล่าวต่อ
“เล็กๆ น้อยๆ แสดงน้ำใจ หนึ่งกล่องสำหรับ ผู้อาวุโสหยวน หนึ่งกล่องสำหรับท่านเล่ยจวินและอีกหนึ่งกล่องให้ท่านช่วยนำไปมอบให้ หวังกุยหยวนศิษย์อีกคนหนึ่งของผู้อาวุโสหยวน”
กล่องบรรจุ เหล่านี้เป็นสมบัติล้ำค่าของลัทธิขงจื๊อ มีความหมายถึงการควบคุมท้องฟ้าและพื้นดิน คล้ายคลึงกับ กระเป๋าหดขนาด ของลัทธิเต๋าและของพุทธศาสนา ซึ่งเป็นสมบัติที่สามารถบรรจุสิ่งของจำนวนมากในพื้นที่เล็กๆ
สมบัติพวกนี้เป็นของที่หาได้เฉพาะในตระกูลชั้นสูงห้าตระกูลและเจ็ดตระกูลเท่านั้น
เล่ยจวิน ไม่ได้เปิดกล่องดูว่ามีอะไรข้างใน แต่เขากล่าวอย่างสุภาพว่า
“เรื่องนี้ต้องให้อาจารย์ของข้าตัดสินใจ ข้าเป็นเพียงศิษย์ยังไม่มีสิทธิ์ออกความเห็น”
ชู่หยูตอบอย่างสงบ
“ถ้าโชคชะตานำพาให้ชู่คุนได้เข้าสำนัก ข้าก็หวังว่าท่านเล่ยจวินและหวังกุยหยวน จะช่วยดูแลเขาด้วย”
เล่ยจวินตอบ
“ในสำนักของเรา ศิษย์ทุกคนต่างช่วยเหลือกันอยู่แล้ว ถือเป็นเรื่องปกติ”
“ขอบคุณมาก” ชู่หยูกล่าวขอบคุณเล่ยจวิน จากนั้นก็หันไปขอบคุณถังเสี่ยวถางด้วย
“ขอบคุณท่านถังเสี่ยวถางเช่นกัน”
ถังเสี่ยวถางขมวดคิ้ว สายตาของนางเพิ่งจะละจากชู่หยูแล้วหันไปมองเด็กหนุ่มที่อยู่ข้างๆ แทน
ในช่วงเย็นหยวนโม่ไป๋ ได้พบกับตระกูลฟางจากจิงเซียงที่เดินทางมาเยี่ยมเยียนและพบกับชู่หยูกับ ชู่คุนในเวลาต่อมา
คืนนั้นชู่หยูและชู่คุนพักอยู่ที่สำนักชิงเสี้ยวก่อนจะเดินทางต่อในวันถัดไป
ในลานที่พักของพวกเขาชู่คุนนั่งฟังคำสั่งจากคุณน้าทวดอย่างตั้งใจ
“หวังกุยหยวนและเล่ยจวิน ไม่ใช่คนธรรมดาโดยเฉพาะเล่ยจวิน หากเจ้าสามารถเข้าสำนักได้ก็ควรสนิทสนมกับศิษย์พี่ทั้งสองให้มาก”
ชู่คุนลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แต่สุดท้ายก็อดไม่ได้ที่จะถาม
“คุณน้าทวด ท่านอาของข้าเคยบอกว่าท่านดูเหมือนจะให้ความสำคัญกับเล่ยจวินเป็นพิเศษ…”
“ท่านอาของเจ้ามีสายตาที่แย่มาก เล่ยจวินสามารถผ่านการฝึกฝนและบรรลุขั้นสำคัญได้ภายในเวลาไม่ถึงห้าปี นั่นไม่สมควรได้รับความสนใจเป็นพิเศษหรือ?” ชู่หยูกล่าวอย่างไม่ใส่ใจ
เด็กหนุ่มยิ้มแห้งๆและตอบว่า
“แต่คุณน้าทวด ท่านก็ยังฝึกฝนเร็วกว่านั้นมาก...”
“เอาล่ะ ข้าจะพูดใหม่พี่ชายของข้าซึ่งก็คือท่านปู่ของเจ้าเคยประลองกับผู้อาวุโสหยวนและก็แพ้ไป”
ชู่หยูกล่าวอย่างเปิดเผย
“ข้าเองก็เคยปะทะกับ สวี่หยวนเจินและโดนเขาเล่นงานมาเหมือนกัน ดังนั้นหากหยวนโม่ไป๋และสวี่หยวนเจินต่างเห็นความสำคัญของคนๆเดียวกัน เราจะไม่ให้ความสำคัญกับเขาได้อย่างไร?”
ชู่คุนสัมผัสได้ถึงออร่าที่น่ากลัวจากคุณน้าทวดของตน เขารีบตอบทันที
“ไม่เกินไปเลยสักนิด! ข้าเห็นด้วย!”
ชู่หยูโบกมือให้เด็กหนุ่มรีบวิ่งออกไป
จากนั้นนางก็พึมพำกับตัวเอง
“นอกจากหยวนโม่ไป๋และสวี่หยวนเจินแล้ว ตอนนี้ยังต้องนับรวมถังเสี่ยวถางเข้าไปด้วยสินะ?”
ในขณะเดียวกัน ในห้องพักของหยวนโม่ไป๋เขากำลังพูดคุยกับเล่ยจวินและถังเสี่ยวถาง
“เด็กคนนั้น ตอนเกิดมีความเกี่ยวพันกับข้าอยู่บ้าง”
เขาอธิบายสั้นๆ
“ตอนนั้นข้าเดินทางท่องโลก และบังเอิญได้ข่าวเกี่ยวกับ ตราประทับเทียนซือข้าจึงออกตามหาจนได้พบกับสามีภรรยาคู่หนึ่งแห่งตระกูลชู่ และมีความสัมพันธ์ต่อกัน”
“ตราประทับเทียนซือ หรือ?”
เล่ยจวินและถังเสี่ยวถางหันมองหน้ากัน
ในฐานะศิษย์สำนักเทียนซือทั้งสองคุ้นเคยกับสิ่งนี้เป็นอย่างดี
เป็นที่รู้กันทั่วไปว่า สำนักเทียนซือมีสมบัติมากมาย
แต่ในบรรดาสมบัติทั้งหมด มีสามสมบัติที่ยิ่งใหญ่ที่สุดจนสามารถเรียกได้ว่าเป็นสมบัติสูงสุดที่สั่นสะเทือนไปทั่วแผ่นดินนั่นคือ
หนึ่งแท่นพิธี คือ แท่นพิธีแห่งหมื่นศาสตร์ ที่รวมอำนาจสูงสุดของสายยันต์ในโลก
ส่วนสามสมบัติล้ำค่านั้น ได้แก่ ตราประทับเทียนซือ ดาบเทียนซือ และเสื้อคลุมเทียนซือ ทั้งสามชิ้นล้วนเป็นสมบัติวิเศษอันทรงพลังของลัทธิเต๋า
แต่ว่า...
มีปัญหาเล็กน้อย
ก็แค่เล็กน้อยเท่านั้น
เพราะสมบัติล้ำค่าที่สุดในสามสมบัตินี้ อย่างตราประทับเทียนซือนั้น ได้สูญหายไปหลายปีก่อนแล้ว...
(บทจบ)