บทที่ 54 ภาพสีหน้า
บริเวณทางทิศเหนือของทะเลสาบชิงเสี้ยวก็มีน้ำท่วมเช่นกัน
แต่น้ำเหล่านั้นไม่ได้ไหลมายังฝั่งทะเลสาบชิงเสี้ยวจึงไม่ส่งผลกระทบต่อคันกั้นน้ำและค่ายกลยันต์ที่นี่
เมื่อคิดถึงเสียงดังสนั่นก่อนหน้านี้เล่ยจวินคาดว่าเซียมซีระดับต่ำสุดที่บอกว่า"ทางตันทางทิศเหนือ"น่าจะไม่ได้เป็นการซุ่มโจมตีจากคนของตระกูลหลินแต่เป็นภัยพิบัติขนาดใหญ่ที่ยากจะต้านทานได้
ฟางเยว่โบกมือจบการสนทนาและให้ฟางหมิงหยวนกับคนอื่นๆรวมถึงหลู่เจาเชิงไปหลบภัยชั่วคราว
เขายังคงยืนอยู่บนคันกั้นน้ำของทะเลสาบชิงเสี้ยวมองไปทางทิศเหนือ
แต่ไม่มีภัยพิบัติหรือคนจากตระกูลหลินปรากฏตัว
ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานแค่ไหนจู่ๆก็มีชายหนุ่มในชุดผู้บำเพ็ญสีม่วงปรากฏตัวเหนือทะเลสาบแขวนสวรรค์โดยมีเมฆขาวลอยอยู่รอบตัว
เมื่อเขามาถึงบรรยากาศรอบข้างก็เปลี่ยนไปท้องฟ้าเริ่มปลอดโปร่งฝนหยุดตกลมพัดอย่างอ่อนโยนทุกอย่างดูสงบและมีความสุข
เขาโบกมือเบาๆทะเลสาบแขวนสวรรค์ก็ค่อยๆลดระดับลงน้ำที่เคยไหลบ่าอย่างรุนแรงก็หยุดไหลและพลังวิญญาณที่ปั่นป่วนก็สงบลง
ในพริบตาเดียวทะเลสาบชิงเสี้ยวก็กลับมาสงบเงียบเหมือนในอดีต
“ท่านคือผู้บำเพ็ญอวี้หลีจื่อแห่งภูเขาหลงหูใช่หรือไม่? ข้าน้อยฟางเยว่จากตระกูลฟางแห่งจิงเซียงขอคารวะ”
ฟางเยว่ยืดตัวตรงและทักทายอย่างนอบน้อม
ส่วนฟางหมิงหยวนตาโตมองไปยังภูเขาที่พังทลายซึ่งเผยให้เห็นเล่ยจวินและหลัวฮ่าวหรานปรากฏตัวหลังจากทะเลสาบแขวนสวรรค์สงบลง
เล่ยจวินที่ได้ยินคนอื่นเรียกชื่อ์อาจารย์ของตัวเองก็รู้สึกไม่คุ้นเคยเขาแทบจะจำไม่ได้เลยว่าคือใคร...จนกระทั่งรีบเก็บดวงตาทองคำหลบคลื่นน้ำแล้วกล่าวคารวะว่า“อาจารย์”
ผู้ที่มาไม่ใช่ใครอื่นนั่นก็คือหยวนโม่ไป๋
เขามาพร้อมรอยยิ้มที่อบอุ่นเช่นเดิมและทักทายฟางเยว่ว่า
“ที่แท้ก็คือบุตรแห่งตระกูลฟางแห่งจิงเซียงว่ากันว่าเจ้าเป็นยอดฝีมือ สมคำล่ำลือจริงๆ”
ฟางเยว่กล่าวอย่างนอบน้อม
“ข้าน้อยไม่กล้าท่านผู้บำเพ็ญเรียกข้าว่าต้วนเฟิงเถิด”
เขาหันไปแนะนำฟางหมิงหยวน
“นี่คือน้องชายข้าฟางหมิงหยวน”
หยวนโม่ไป๋ยังคงยิ้มอยู่
“คุณชายหมิงหยวนเองก็ยอดเยี่ยมไม่แพ้กัน จากที่เจอเมื่อปีที่แล้วปีนี้เจ้าดูโดดเด่นกว่าเดิมมาก”
ฟางหมิงหยวนที่เก็บอารมณ์เรียบร้อยแล้วก็ตอบอย่างสุภาพ
“หมิงหยวนขอคารวะท่านผู้บำเพ็ญ ขอให้ท่านมีสุขภาพแข็งแรงและมีอายุยืนยาว”
หลังจากทักทายแขกภายนอกแล้วหยวนโม่ไป๋จึงทักทายหลู่เจาเชิงก่อนจะหันไปหาเล่ยจวิน
“ดูเหมือนเจ้าจะผ่านเรื่องวุ่นวายมาพอสมควร”
เล่ยจวินตอบ
“ข้ายังสบายดีแต่ศิษย์พี่หลัวบาดเจ็บหนักและอาจารย์หลู่ก็เหน็ดเหนื่อยไม่น้อย”
หยวนโม่ไป๋เรียกเล่ยจวินมาพูดคุยก่อนจะโบกมือเบาๆและบินขึ้นไปหาหลัวฮ่าวหรานที่ยังคงพักฟื้นอยู่โดยไม่ต้องการรบกวนการพักผ่อนของเขา
เล่ยจวินเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้ฟังโดยคร่าวๆ
“คนของตระกูลหลิน...”หยวนโม่ไป๋ส่ายหัวเบาๆ
“ที่ภูเขาทางทิศเหนือมีบางคนเสียชีวิต”
เล่ยจวินกล่าวว่า
“ก่อนหน้านี้ข้าได้ยินเสียงดังมาจากทางทิศเหนือ”
หยวนโม่ไป๋ถอนหายใจเบาๆ
“พูดให้ถูกต้องก็คือมันเกี่ยวข้องกับข้าบางส่วนข้าไม่ได้สังหารพวกเขาโดยตรง แต่เพราะข้าพวกเขาจึงต้องตาย”
แสดงว่าภัยพิบัติทางทิศเหนือไม่ได้เป็นเพียงภัยธรรมชาติแต่ยังเกิดจากฝีมือของอาจารย์ข้าเองด้วย...
เล่ยจวินรู้สึกสงสัย
แม้แต่ฟางหมิงหยวนก็เงี่ยหูฟัง
“ก่อนหน้านี้ข้าออกไปเพราะมีนัดประลอง”
หยวนโม่ไป๋อธิบายสั้นๆว่า
“ข้าพยายามควบคุมสถานที่และทิศทางของการต่อสู้เพื่อไม่ให้กระทบถึงภูเขาชิงเสี้ยวดังนั้นข้าจึงจัดการต่อสู้ในเขตภูเขาร้าง”
“แต่ไม่ได้คาดคิดว่าพลังการต่อสู้จะส่งผลกระทบไปถึงคนของตระกูลหลินถึงแม้ข้าจะไม่ได้เป็นคนลงมือเอง...”
นั่นหมายความว่าคู่ต่อสู้ของท่านอาจารย์ต่างหากที่ทำให้คนของตระกูลหลินที่ซุ่มโจมตีทางทิศเหนือเสียชีวิต
พวกเขาตั้งใจจะซุ่มโจมตีศิษย์ที่มีพลังสองถึงสามชั้นฟ้าอย่างเล่ยจวิน
แต่พวกเขาไม่รู้ว่ามีผู้เชี่ยวชาญกำลังต่อสู้กันอยู่ในภูเขาร้าง...
เล่ยจวินพยายามกลั้นไม่ให้หัวเราะออกมา
เขาฝึกฝนอย่างเข้มงวดเพื่อไม่ให้หัวเราะในสถานการณ์เช่นนี้
หยวนโม่ไป๋เล่าเรื่องเพียงคร่าวๆก่อนจะหันไปพูดกับหลู่เจาเชิงว่า
“พี่หลู่ค่ายกลยันต์ของทะเลสาบชิงเสี้ยวไม่มีปัญหาแล้ว ที่นี่ไม่เหมาะที่จะต้อนรับแขกขอเชิญคุณชายทั้งสองไปพักที่สำนักชิงเสี้ยว”
ฟางเยว่ตอบว่า
“เช่นนั้นข้าขอรบกวนท่านด้วย”
สำนักเทียนซือกำลังอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่ชัดเจน
ศัตรูอย่างตระกูลหลินแห่งเจียงโจวก็เริ่มเคลื่อนไหวอีกครั้งพวกเขาเริ่มทดลองการกระทำเบื้องต้น
นอกจากการยุยงให้ตระกูลตงแห่งแม่น้ำชิงหลานก่อปัญหาแล้วตระกูลหลินเองก็ส่งคนมาสอดแนมในเขตเทือกเขาอวิ๋นเซียว
ผลสุดท้ายพวกเขาต้องสูญเสียอย่างใหญ่หลวง
ฟางเยว่ช่วยเพียงแค่ฉินเทาและขับไล่คนของตระกูลหลินจากทางตะวันตกเท่านั้น
แต่ทางเหนือและทางทะเลสาบชิงเสี้ยวทั้งสองฝ่ายกลับถูกทำลายอย่างสิ้นเชิง
ความขัดแย้งระหว่างตระกูลหลินแห่งเจียงโจวกับสำนักเทียนซือใกล้จะทวีความรุนแรงและนี่เพิ่งจะเป็นจุดเริ่มต้นเท่านั้น
ระหว่างทางกลับไปสำนักชิงเสี้ยวหยวนโม่ไป๋กล่าวกับเล่ยจวินว่า
“น้ำท่วมในเขตเทือกเขาอวิ๋นเซียวรุนแรงมาก แต่ข้าติดภารกิจอื่นจึงไม่ได้มาช่วยได้ทันเวลาสำนักเรากับสำนักจื่อเสี้ยวได้ส่งคนมาช่วยแล้ว”
แม้พวกเขาอาจไม่ทันช่วยน้ำท่วม
แต่การต่อสู้กับตระกูลหลินและตระกูลตงเพิ่งจะเริ่มขึ้น
คนที่มาจากสำนักของเราก็เป็นคนคุ้นเคยเช่นกัน
เนื่องจากภารกิจเบื้องต้นคือการจัดการน้ำท่วมจึงไม่ได้ส่งคนมามากนัก
ผู้นำทีมคือศิษย์ผู้รับตำราศักดิ์สิทธิ์บุตรชายคนโตของผู้อาวุโสจื่อหยาง...หลี่เซวียน
หนึ่งในศิษย์ที่มากับเขาคือฉวี่หย่งผู้ที่เคยไปสำนักย่อยเสวียนหยางกับเล่ยจวิน
เมื่อมาถึงสำนักชิงเสี้ยวทุกคนทักทายกันอย่างสุภาพและหลี่เซวียนก็ไม่ได้แปลกใจมากนักเมื่อได้ยินข่าวของตระกูลหลินแห่งเจียงโจว
เพราะพวกเขาเป็นศัตรูคู่แค้นกันมานานและรู้จักกันเป็นอย่างดี
หลี่เซวียนถามหยวนโม่ไป๋
“อาจารย์อาเราควรทำอย่างไรต่อไป...”
หยวนโม่ไป๋ตอบด้วยน้ำเสียงสงบ
“ตระกูลหลินอาจมีแผนสำรอง แต่เราไม่ต้องรีบร้อนขอเพียงอยู่ในเทือกเขาอวิ๋นเซียวอีกสักพักและส่งรายงานเรื่องนี้กลับไปยังสำนักโดยเร็วรวมถึงคุ้มครองศิษย์ที่บาดเจ็บกลับไปพักฟื้นที่สำนัก”
“นอกจากนี้ยังมีคุณชายตระกูลฟางทั้งสองที่มาพักที่นี่ เราควรเจรจากับพวกเขาเพื่อให้แน่ชัดถึงท่าทีของตระกูลฟาง”
หลี่เซวียนและศิษย์คนอื่นๆต่างเห็นด้วย
ส่วนเรื่องของฉินเทา
เขายืนรออยู่หน้าวิหารด้วยความรู้สึกสำนึกผิดและหวาดกลัว
แม้หลี่เซวียนและฟางเยว่จะไม่ได้สนิทสนมกันมากนัก แต่พวกเขาก็รู้จักกันมานาน
หลังจากที่ได้ฟังเรื่องราวที่ฉินเทาถูกตระกูลหลินจับกุม หลี่เซวียนถอนหายใจยาว
“น่าเสียดายจริงๆ”
เขาหันไปมองหยวนโม่ไป๋และหลู่เจาเชิง
“ในเมื่อเขาเป็นศิษย์ของสำนักจื่อเสี้ยว ควรส่งตัวเขากลับไปให้สำนักตัดสินโทษ”
ทั้งหยวนโม่ไป๋และหลู่เจาเชิงต่างพยักหน้าเห็นด้วย
“แบบนี้ดีแล้ว”
ฉินเทาพอจะมีความหวังขึ้นบ้าง แต่แล้วก็ได้ยินหลี่เซวียนสั่งให้ศิษย์ของสำนักเทียนซือส่งตัวเขากลับไปที่สำนักจื่อเสี้ยวและรอการตัดสิน
ซึ่งนั่นหมายความว่าเขาคงไม่สามารถหวังพึ่งความสัมพันธ์หรือความช่วยเหลือจากคนที่คุ้นเคยได้อีกฉินเทาจึงรู้สึกสิ้นหวังทันที
ทั้งหมดนี้เป็นการจัดการที่ปกติ
สิ่งที่ไม่ปกติคือการที่ทุกคนเริ่มเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่ทะเลสาบชิงเสี้ยวอย่างละเอียดให้คนอื่นฟัง
เมื่อหลี่เซวียนได้ยินเรื่องที่เล่ยจวินและพวกต่อสู้กับคนของตระกูลตงเขาก็หันมามองเล่ยจวินด้วยความประหลาดใจ
จากนั้นเขาก็หันไปจ้องฉวี่หย่งอย่างกะทันหัน
ฉวี่หย่งตกใจยิ่งกว่า จนตาแทบจะถลนออกจากเบ้า
เมื่อหลี่เซวียนจ้องมองเช่นนั้นฉวี่หย่งรู้สึกหนาวสั่นไปทั้งตัว
เล่ยจวินยังคงยืนอยู่อย่างสงบนิ่งทำเหมือนไม่ได้เห็นการเปลี่ยนแปลงของสีหน้าทั้งสองคน
แต่แล้วเล่ยจวินก็เริ่มคิดถึงคำเตือนของศิษย์พี่ใหญ่สวี่หยวนเจินจึงเริ่มสร้างภาพในหัว
ภาพแรกหลี่เซวียนและฉวี่หย่งยืนเคียงข้างกันมองด้วยความตกตะลึง
อืมภาพนี้จะตั้งชื่อว่า“ตกตะลึง”
ภาพที่สองหลี่เซวียนหันไปจ้องฉวี่หย่งด้วยความโกรธขณะที่ฉวี่หย่งแสดงความรู้สึกน้อยใจ
อืมภาพนี้จะตั้งชื่อว่า“น้อยใจ”
(บทจบ)