ตอนที่แล้วบทที่ 271-272
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 275-276

บทที่ 273-274


[แปลโดยฝีมือ...ยัก.ษา.แปร...มาติดตามได้ที่แฟนเพจหรือเพื่อติดตามเอาข่าวสารได้นะ\]

[Thai-novelจะทำการลงไวกว่าที่อื่นทุกที่ เป็นจำนวน 5 ตอน แต่เรื่องราคาแพงกว่าที่อื่นนิดหน่อย]

[หลังแปลจบ คิดว่าจะมีการเกลาคำเบื้องต้น แก้คำผิด ปรับสำนวนให้สละสลวย เทียบคำต่อคำ ซึ่งถ้าอ่านแบบเถื่อนหรือแชร์กันเยอะ หรือมีการแบ่งปัน ก็อ่านไปครับ เพราะผมจะแก้แบบแปลใหม่อีกรอบแค่ในThai-novel กับเว็บอื่น ๆ และแหล่งที่ผมแปลครับ แต่ถ้ารู้ว่าหลุดจากที่ไหน ผมก็ขออนุญาตจะไม่แก้ไขตรงเว็บนั้นครับ ส่วนคนที่อ่านที่อื่นก็จะได้อ่านแบบเวอร์ชั่นแรกไปนะครับ ต้องขออภัยด้วยครับ]

บทที่ 273 ตัวเลือก (III)

ถึงแม้โอสถเม็ดเป่ยหมิงเหล่านั้นจะมิได้มีสรรพคุณสูงส่งนัก แต่มันก็มิควรจะไร้ประโยชน์โดยสิ้นเชิง เว้นเสียแต่ว่า...

เหมิงฉียื่นมือออกไปประคองร่างของจี๋อู๋จิ่ว พาเขานั่งพิงก้อนหินใหญ่ข้างกาย มือข้างหนึ่งของนางกดลงบนหลังของเขาแผ่วเบา อีกข้างสัมผัสแผงอกแกร่ง จากนั้นเหมิงฉีก็ค่อยๆ หลับตาลง หลังจากก้าวเข้าสู่ขั้นที่สี่แห่งวิถีแพทย์ อาคมเป่ยหมิงของเหมิงฉีก็พัฒนาขึ้นสู่ขั้นที่สี่เช่นกัน โอสถเม็ดเป่ยหมิงที่นางมีอยู่ในมือล้วนเป็นโอสถที่นางกลั่นขึ้นมาก่อนหน้านี้ ขั้นของมันค่อนข้างต่ำ จึงมีผลเพียงเล็กน้อยต่อจี๋อู๋จิ่ว เมื่อเป็นเช่นนี้ ทางเลือกเดียวของนางคือใช้คาถาเป่ยหมิงโดยตรง เพื่อเติมเต็มทะเลวิญญาณของจี๋อู๋จิ่ว

"สหายเต๋าน้อย" เสียงของสตรีนางนั้นดังขึ้นอีกครา "ทะเลวิญญาณของเขาบอบช้ำเสียหาย หากเจ้าใช้อาคมเป่ยหมิงเพื่อช่วยเขาฟื้นฟู เจ้าจะหยุดกลางคันมิได้ มิเช่นนั้น ขอบเขตการบ่มเพาะของเขาจะตกต่ำลง และทะเลวิญญาณของเขาก็จะพังทลายลงโดยสิ้นเชิง เมื่อถึงยามนั้น มีเพียงผู้บ่มเพาะวิชาแพทย์ที่บรรลุขอบเขตอันล้ำลึกยิ่งขึ้นไปเท่านั้น จึงจะสามารถรักษาเขาได้"

เหมิงฉีพลันตกใจ

"เจ้าคิดไตร่ตรองให้ดีแล้วหรือ สหายเต๋าน้อย?" สตรีนางนั้นเอ่ยอย่างเชื่องช้า "พลังกั้นบนหน้าผาแห่งนี้สามารถปกป้องเจ้าได้อีกเพียงหนึ่งชั่วยาม หลังจากนั้น ปราณวิญญาณมารก็จะบุกเข้ามาบนหน้าผาได้ หากเขายังมิฟื้นคืนสติภายในยามนั้น เจ้าจะต้องตายอยู่ ณ ที่แห่งนี้กับเขา" น้ำเสียงนั้นอ่อนโยนลง "เจ้ามีพรสวรรค์ล้ำเลิศ เหตุใดจึงต้องเสี่ยงอันตรายเช่นนี้เพื่อคนผู้นั้น?"

ดูเหมือนว่าเสียงนั้นจะใกล้เข้ามาเรื่อยๆ เหมิงฉีถึงกับสัมผัสได้ถึงเสียงถอนหายใจแผ่วเบาของสตรีนางนั้น ราวกับว่านางยืนอยู่เคียงข้าง เสียงหวานนุ่มนวลนั้นดูเหมือนจะสัมผัสก้นบึ้งแห่งหัวใจ ดุจพี่สาวผู้แสนดีที่ห่วงใยน้องสาวสุดหัวใจ

"เจ้าปฏิเสธที่จะทิ้งเขาไว้เพียงลำพัง ได้ทำหน้าที่แห่งมิตรภาพต่อเขาแล้ว เจ้ายังรักษาเขา ช่วยให้เขากลับมามีปราณวิญญาณอีกครา เช่นนั้นเจ้าก็ได้ทำหน้าที่ของผู้บ่มเพาะวิชาแพทย์แล้ว" สตรีนางนั้นกล่าวอย่างอ่อนโยน น้ำเสียงของนางเต็มไปด้วยความเอ็นดู "เจ้าทำดีที่สุดแล้ว เจ้ากับเขามิได้มีสัมพันธ์อันใดใกล้ชิด หากบัดนี้เจ้าจากไป รักษาชีวิตของตนเองเอาไว้ ภายภาคหน้าเจ้าก็จะสามารถรักษาผู้คนได้อีกมากมาย ไม่มีผู้ใดจะกล่าวโทษเจ้าที่จากไปในยามนี้"

"สหายเต๋าน้อย..." สตรีนางนั้นเอ่ยแผ่วเบา "เมื่อเจ้าเลือกที่จะอยู่ ณ ที่นี้ เจ้าทำได้ดีมาก ข้ายินดีนักหนา เจ้าผ่านการทดสอบขั้นสุดท้ายบทที่สามแล้ว บัดนี้ เจ้าสามารถไปได้แล้ว"

เมื่อเสียงของนางเงียบหาย ประตูบานหนึ่งก็ปรากฏขึ้นข้างกายเหมิงฉี

เหมิงฉีเหลือบมองประตูที่ส่องประกายระยิบระยับ ครานี้ ระยะทางใกล้กว่าเดิม ผ่านม่านแสงบางๆ นางสามารถมองเห็นโลกภายนอกได้ชัดเจนยิ่งกว่าคราก่อน

ณ ที่แห่งนั้น นางเห็นใบหน้าที่เต็มไปด้วยความกังวลของซือคงซิง ขณะที่นางกำลังสนทนากับซูจุนโม่

"สหายเต๋าน้อย ขอแสดงความยินดีที่เจ้าผ่านการทดสอบขั้นสุดท้าย กลับไปเถิด มิตรสหายของเจ้ากำลังเป็นห่วงเจ้า พวกเขารอเจ้าอยู่ข้างนอก พวกเขาจักต้องมีความสุขยิ่งนักที่ได้เห็นเจ้าผ่านการทดสอบและกลับไปหาพวกเขาอย่างปลอดภัย" สตรีนางนั้นเกลี้ยกล่อมอย่างแผ่วเบา "เจ้าทำทุกสิ่งที่ควรทำแล้ว แม้ว่าเจ้าจะจากไปในตอนนี้ เจ้าก็ไม่จำเป็นต้องรู้สึกผิดแต่อย่างใด"

"ข้า..." เหมิงฉีหลับตาลง

"กลับไปเถิด" สตรีนางนั้นเอ่ยอีกครา "มีขีดจำกัดสำหรับสิ่งที่ผู้ใดจะสามารถกระทำได้ ไม่มีผู้ใดจะกล่าวโทษเจ้าในเรื่องนี้"

...

ณ เวลานี้ แวดวงแพทย์อีกฟากหนึ่งของประตูนั้นเงียบสงัดไร้เสียง อันที่จริง นับตั้งแต่สตรีนางนั้นเปิดประตูบานแรก แวดวงแพทย์ก็พลันตกอยู่ในความเงียบ ท้องฟ้าเหนือป่าดูราวกับกลายเป็นกระจกบานใหญ่ สะท้อนภาพเหมิงฉีและจี๋อู๋จิ่วอยู่บนนั้น

สองสามวันที่ผ่านมา การโต้เถียงกันว่าจะเปิดพลังกั้นแห่งการประลองครั้งยิ่งใหญ่อีกคราหรือไม่นั้น ทำให้ผู้คนแตกออกเป็นสามฝ่าย ในตอนแรก ข่าวที่ว่าเหมิงฉีและจี๋อู๋จิ่วผ่านการทดสอบครั้งที่สองของการประลองครั้งยิ่งใหญ่ได้รับการรายงานไปยังสำนักต่างๆ โดยเหล่าศิษย์ที่รอดชีวิตจนถึงที่สุด จากนั้น ข่าวก็แพร่กระจายออกไปอย่างรวดเร็วจากสำนักดาบและสำนักอาคมต่างๆ ไปยังสหพันธ์แพทย์ ไปยังสำนักแพทย์ใหญ่ในสี่แดน และในท้ายที่สุดก็ไปถึงหูของเหล่าผู้บ่มเพาะวิชาแพทย์ที่เข้าร่วมการประชุมผู้บ่มเพาะวิชาแพทย์ในเมืองซิงหลัว

ผู้คนล้วนอยากรู้อยากเห็น การประลองครั้งยิ่งใหญ่แห่งการประชุมผู้บ่มเพาะวิชาแพทย์นั้น ปกคลุมไปด้วยม่านหมอกแห่งปริศนา มีการกล่าวขานกันว่าการแข่งขันแต่ละครั้งจะแตกต่างกันออกไป ไม่มีผู้ใดล่วงรู้ว่าตนจะได้เผชิญกับสิ่งใด ก่อนที่จะก้าวเข้าสู่พลังกั้น แม้แต่ศิษย์ของสำนักดาบและสำนักอาคมที่เข้าร่วมเป็นผู้ช่วยเหลือ ก็รู้เพียงว่านี่เป็นภารกิจฝึกฝนสำนักขนาดใหญ่ที่แสนง่ายดาย ทว่าไม่มีผู้ใดสามารถอธิบายได้อย่างชัดเจนว่าภายในพลังกั้นนั้น มีสิ่งใดซ่อนอยู่

ดังนั้น เมื่อข่าวแพร่สะพัดออกไป เผ่ยมู่เฟิงและซูจุนโม่จึงร่วมมือกัน ไปยังสหพันธ์แพทย์เพื่อขอร้องให้เปิดพลังกั้นแห่งการประลองครั้งยิ่งใหญ่อีกครา เพื่อที่พวกเขาจะสามารถเข้าไปได้เช่นกัน ถึงแม้ว่าสำนักแพทย์จะมิปรารถนาจะทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างกันย่ำแย่ลง แต่พวกเขาก็ทำได้เพียงแจ้งแก่กลุ่มของซูจุนโม่ว่า ไม่มีหนทางใดที่จะเปิดพลังกั้นได้อีก ก่อนที่การประลองครั้งยิ่งใหญ่จะสิ้นสุดลง

ด้วยเหตุนี้ พวกเขาจึงโต้เถียงกันมาเป็นเวลาสองวันแล้ว แม้แต่การประชุมก็จำต้องเลื่อนออกไป

ซูจุนโม่สิ้นหวังและกระวนกระวายใจยิ่งนัก มีผู้กล่าวว่าการทดสอบครั้งที่สามนั้น อันตรายยิ่งกว่าสองครั้งก่อนหน้า หากเหมิงฉีพลาดท่า ณ ที่แห่งนั้น นางก็จะมิอาจออกมาได้อีกต่อไป เมื่อถึงยามนั้น เขาก็คงมิไกลจากความตายเช่นกัน!

ฉินซิวโม่ผู้ซึ่งรีบรุดมายังเมืองซิงหลัวก็โกรธแค้นไม่แพ้กัน เมื่อล่วงรู้สถานการณ์ของเหมิงฉี ดาบที่มาจากจิตวิญญาณของเขาวางอยู่บนคอของเสวี่ยเฉิงเสวียน โดยไม่แยแสที่จะล่วงเกินทั้งสหพันธ์เฟิงและสหพันธ์แพทย์

เสวี่ยเฉิงเสวียนส่ายหน้าด้วยสีหน้าซีดเผือด เขาพยายามอธิบายว่าดินแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งแวดวงแพทย์นั้น เป็นมรดกที่หลงเหลือจากผู้ทรงอำนาจในสมัยโบราณกาลเมื่อหลายหมื่นปีก่อน ไม่มีผู้ใดสามารถฝ่าฝืนกฎเกณฑ์ของมันได้ เมื่อพลังกั้นปิดลง ก็จะมิอาจเปิดขึ้นอีกจนกว่าการประลองครั้งยิ่งใหญ่จะสิ้นสุดลง ในท้ายที่สุด เสวี่ยเฉิงเสวียนทำได้เพียงปลอบประโลมซูจุนโม่และคนอื่นๆ โดยบอกว่าเหมิงฉีน่าจะสามารถผ่านการทดสอบและออกจากพลังกั้นได้ด้วยตนเอง

บทที่ 274 ตัวเลือก (VI)

สองวันสองคืนล่วงไป ไร้ซึ่งวี่แววของสหายร่วมสำนักของเหมิงฉี แม้แต่เงาคนเดียวก็ยังมิอาจพานพบ ซูจุนโม่และซือคงซิงร้อนใจเป็นยิ่งนัก ใบหน้าของฉินซิวโม่และฉู่เทียนเฟิงก็มืดครึ้มดุดั่งพายุโหมกระหน่ำ ดวงตาคมกริบเต็มไปด้วยเจตนาฆ่า ราวกับพร้อมที่จะบันดาลโทสะสังหารผู้คนหากเหมิงฉีมิอาจกลับมาได้อย่างปลอดภัย ในขณะเดียวกัน เผ่ยมู่เฟิงยืนสงบนิ่งอยู่เคียงข้าง สีหน้าเรียบเฉย ไร้ผู้ใดหยั่งถึงความคิดของเจ้าสำนักผู้นี้ได้

เมื่อเห็นว่าการประชุมผู้บ่มเพาะวิชาแพทย์ตกอยู่ในสภาพการณ์เช่นนี้ เสวี่ยเฉิงเสวียนก็รู้สึกสิ้นหวังและเศร้าสร้อยยิ่งนัก สองวันที่ผ่านมา เขามองย้อนกลับไปยังสิบสองยอดเขานับครั้งไม่ถ้วน บนยอดเขาทั้งหลายนั้น คือที่ตั้งของสำนักและตระกูลอันทรงอำนาจ ผู้เป็นตัวแทนแห่งเหล่าผู้บ่มเพาะวิชาแพทย์ที่แข็งแกร่งที่สุดในสี่แดน บิดาของเขาและผู้นำตระกูลอื่นๆ ผู้ก่อตั้งสหพันธ์เฟิงล้วนพำนักอยู่ ณ ที่แห่งนั้น

เสวี่ยเฉิงเสวียนรู้ดีว่า พวกเขามิได้หวาดกลัวซูจุนโม่และคนอื่นๆ หากแต่บิดาของเขาและเหล่าผู้อาวุโสล้วนมีสิ่งที่ต้องคำนึงถึง ไม่ว่าจะเป็นฉู่เทียนเฟิง เผ่ยมู่เฟิง ผู้บ่มเพาะดาบลึกลับนามฉินซิวโม่ หรือแม้แต่หญิงสาวผู้เลอโฉมนามซือคงซิง ล้วนเป็นตัวแทนแห่งสำนักใหญ่หรือตระกูลอันทรงอำนาจทั้งสิ้น ยังมิต้องเอ่ยถึงซูจุนโม่ผู้ซึ่งดูราวกับจะเป็นทูตจากอาณาจักรอสูร บิดาและเหล่าผู้อาวุโสก็เกือบจะสร้างความบาดหมางกับพวกเขาเสียแล้ว

เสวี่ยเฉิงเสวียนหลับตาลงอย่างจนใจ เหตุใดพวกเขาจึงกลายเป็นเช่นนี้เล่า? เพื่อรักษาสถานะอันสูงส่งและยิ่งใหญ่ของสหพันธ์เฟิงในแวดวงแพทย์ พวกเขาจึงจำเป็นต้องรักษาสัมพันธไมตรีที่ดีกับสำนักใหญ่ในสี่แดนเอาไว้

หรือว่า...

ท่ามกลางความสับสนวุ่นวายในใจ เสวี่ยเฉิงเสวียนก็พลันรู้สึกถึงแรงดึง ฉินซิวโม่ดึงดาบออกจากลำคอของเขาเสียแล้ว เมื่อคมดาบเย็นเยียบแนบชิดกับผิวเนื้อ เขาก็จ้องมองสบตากับบุรุษหนุ่มอาภรณ์ชุดสีดำผู้มีสีหน้าเคร่งขรึม

เขากลัวหรือไม่? บางที...อาจจะเล็กน้อย

แม้แต่ผู้บ่มเพาะก็ยังหวาดกลัวความตาย เสวี่ยเฉิงเสวียนก็เช่นกัน แต่ยิ่งไปกว่านั้น ความรู้สึกอิจฉาริษยาที่มิอาจแสดงออกก็พลุ่งพล่านขึ้นมาจากก้นบึ้งแห่งหัวใจ เสวี่ยเฉิงเสวียนอิจฉาฉินซิวโม่ ผู้ซึ่งสามารถมิแยแสต่อสิ่งใดจนถึงขั้นบ้าบิ่น และยังสามารถใช้ดาบแทนคำพูดได้ บุรุษหนุ่มผู้บ่มเพาะดาบอาภรณ์ชุดสีดำผู้นี้ ดูเหมือนจะมิได้สนใจเลยว่า การล่วงเกินบุตรชายคนโตของผู้นำสหพันธ์เฟิงคนปัจจุบัน ผู้ซึ่งเป็นผู้นำตระกูลเสวี่ยคนต่อไป จะนำภัยพิบัติใดมาสู่ตน

แวดวงแพทย์วุ่นวายเช่นนี้มาสองวันแล้ว ซูจุนโม่และคนอื่นๆ ดูเหมือนจะตัดสินใจแน่วแน่แล้ว พวกเขามุ่งมั่นที่จะไม่จากไปไหน จนกว่าเหมิงฉีจะกลับมาอย่างปลอดภัย

ไม่มีผู้บ่มเพาะวิชาแพทย์คนใดในแวดวงแพทย์สนใจที่จะดำเนินการประชุมต่อไป ทุกคนนั่งอย่างอิสระเป็นกลุ่มเล็กๆ กลุ่มละสองหรือสามคน พูดคุยกันเบาๆ ราวกับกระซิบ ขณะรอคอย อันที่จริงแล้ว พวกเขาล้วนอยากรู้อยากเห็นยิ่งนัก ทุกครั้งจะมีผู้บ่มเพาะวิชาแพทย์มากกว่าร้อยคนเข้าสู่พลังกั้นแห่งการประลองครั้งยิ่งใหญ่ แต่ครานี้มีเพียงสองคนเท่านั้น ยิ่งไปกว่านั้น ดูเหมือนว่าทั้งสองจะผ่านการทดสอบสองครั้งแรกมาได้ สิ่งนี้กระตุ้นความอยากรู้อยากเห็นของทุกคน และพวกเขาจึงตั้งตารอที่จะเห็นผลลัพธ์สุดท้ายของการแข่งขัน

ซูจุนโม่และคนอื่นๆ ก็รอคอยเช่นกัน แม้จะกระวนกระวายใจเป็นอย่างยิ่ง

ทันใดนั้น แสงสว่างเจิดจ้าก็พลันสาดส่องเหนือแวดวงแพทย์ ปรากฏร่างของเหมิงฉี ผู้ซึ่งถูกล้อมรอบด้วยทะเลปราณวิญญาณมารอันน่าสะพรึงกลัวอยู่บนท้องฟ้า มิเพียงแต่ร่างของนางเท่านั้นที่มองเห็นได้ แม้แต่บทสนทนาระหว่างนางกับสตรีนางนั้นก็ยังดังก้องกังวาน ชัดเจนแก่โสตประสาทของทุกคน

ประตูเปิดออก แต่เหมิงฉีเลือกที่จะอยู่ ณ ที่แห่งนั้น ทุกคนเห็นนางเลือกที่จะอยู่เคียงข้างจี๋อู๋จิ่ว พวกเขายังเห็นนางใช้หุ่นเชิดวิญญาณที่อัญเชิญขึ้นมาเพื่อไปหาบุรุษผู้นั้นในที่สุด เมื่อมีดเงินของนางถูกปราณวิญญาณมารกลืนกิน เสียงสูดหายใจก็ดังขึ้นทั่วทั้งแวดวงแพทย์ จากนั้น เมื่อสตรีนางนั้นเกลี้ยกล่อมเหมิงฉีอีกครา บอกแก่นางว่านางผ่านการทดสอบขั้นสุดท้ายแล้ว เหล่าผู้บ่มเพาะวิชาแพทย์ต่างก็แสดงสีหน้าอิจฉาริษยาออกมา

แม้แต่เสวี่ยเฉิง เหวินซู และผู้นำคนอื่นๆ ของสหพันธ์เฟิงก็พลันเปลี่ยนสีหน้าเป็นเคร่งขรึม ด้วยตำแหน่งแห่งที่พวกเขาดำรงอยู่ พวกเขาย่อมรู้มากกว่าผู้บ่มเพาะวิชาแพทย์ทั่วไป รวมถึงความลับที่ว่าพลังกั้นแห่งการประลองครั้งยิ่งใหญ่นั้น ที่จริงแล้ว...

ในขณะนั้น ทุกคนต่างมองเหมิงฉีด้วยความอิจฉา

นับตั้งแต่เริ่มต้นการประลองครั้งยิ่งใหญ่ ผู้เข้าร่วมทั้งหมดที่สามารถไปถึงการทดสอบขั้นสุดท้ายได้ มักจะได้รับการยอมรับจากสำนักใหญ่และเติบโตอย่างรวดเร็ว จนในที่สุดก็กลายเป็นบุคคลผู้มีชื่อเสียงในแวดวงแพทย์ บัดนี้ เด็กสาวตัวน้อยๆ ผู้ซึ่งเป็นเพียงผู้บ่มเพาะขั้นสร้างรากฐาน จะได้รับเกียรตินี้เช่นนั้นหรือ?

นี่เป็นครั้งแรกที่สาธารณชนได้เห็นเนื้อหาของการทดสอบครั้งที่สามแห่งการประลองครั้งยิ่งใหญ่

นี่อาจเป็นการทดสอบขั้นสุดท้ายที่สตรีนางนั้นกล่าวถึงกระมัง?

...

ทุกคนกำลังรอคอย บุรุษอาภรณ์ชุดสีดำนามจี๋อู๋จิ่วผู้นั้น ทำร้ายสหายของพวกเขาไปหลายคนก่อนหน้านี้ ดังที่สตรีนางนั้นกล่าว แม้ว่าเหมิงฉีจะจากเขาไป ก็ไม่มีผู้ใดจะกล่าวโทษนางได้ นางทำดีที่สุดแล้ว และทำในสิ่งที่ผู้บ่มเพาะวิชาแพทย์ควรกระทำ เมื่อนางกลับมา นางจะกลับมาอย่างมีเกียรติ กลายเป็นอัจฉริยะผู้เลอโฉมแห่งแวดวงแพทย์ในอีกสิบปีข้างหน้า ครานี้ นางเป็นเพียงผู้เดียวที่เข้าร่วมการประลองครั้งยิ่งใหญ่ และนางก็ผ่านพ้นมันมาได้ต่อหน้าทุกคน ดังนั้น ไม่ว่านางจะเข้าร่วมสำนักใด นางก็จะได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่น

ช่างน่าอิจฉา...ยิ่งนัก!

อีกฟากหนึ่งของประตู บนหน้าผาข้างทะเลปราณวิญญาณมาร

"แต่..." ในที่สุดเหมิงฉีก็เอ่ยปากตอบ "...แต่ข้าจะรู้สึกผิด!"

เหมิงฉีลืมตาขึ้นทันที ค่อยๆ กดลงบนแผงอกและหลังของจี๋อู๋จิ่วด้วยฝ่ามือทั้งสองข้าง ดวงตาของนางเป็นประกาย สดใสและแจ่มชัด "ขอบพระคุณท่านผู้อาวุโส แต่ข้าอยากลองทำอย่างเต็มกำลัง"

หลังจากที่นางกล่าวจบ แสงสีฟ้าเข้มนุ่มนวลก็ปรากฏขึ้นจากมือของนาง โอบล้อมนางและจี๋อู๋จิ่วเอาไว้ เหมิงฉีหลับตาลงอีกครา ค่อยๆ ส่งผ่านปราณวิญญาณเข้าสู่ร่างกายของจี๋อู๋จิ่ว

มนตร์เป่ยหมิงขั้นที่สี่ก่อตัวเป็นปราณวิญญาณสีฟ้าอ่อนใส พุ่งตรงเข้าสู่ทะเลวิญญาณของจี๋อู๋จิ่ว

ในแวดวงแพทย์ เหล่าผู้คนที่เฝ้ามองเหตุการณ์ทั้งหมดด้วยสายตาของตนเองก็พลันปิดปากเงียบ

ติดตามผู้แปลได้ที่แฟนเพจ:ยักษาแปร ผู้แปลลงแค่ในMy-NovelและThai-novelเท่านั้น หากอ่านที่อื่นรบกวนมาสนับสนุนทีนะครับผม หรือจะมากดไลก์แฟนเพจก็ได้ กระซิกกระซิก ;-;_

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด