บทที่ 239 หากมีวันพรุ่งนี้ ขออวยพรให้เธอที่รัก
เวลา 20.00 น.
รายการ เพลงพเนจร ตอนที่ 4 ออกอากาศตรงเวลา
จ้าวฮุ่ยถิง รีบเปิดทีวีที่บ้านเพื่อรับชมผ่านแอปเพนกวินวิดีโอ
ปัจจุบันนี้ ทีวีในบ้านหลาย ๆ หลังเป็นทีวีอัจฉริยะ ซึ่งต้องติดตั้งแอปเหมือนกับโทรศัพท์มือถือ
สิ่งนี้ไม่ค่อยเป็นมิตรกับคนรุ่นพ่อแม่
พ่อของจ้าวฮุ่ยถิงก็ไม่ถนัดเรื่องพวกนี้ เวลาจะดูโทรทัศน์เขาก็แค่เปิดดูรายการโทรทัศน์ไปเรื่อย ๆ จนเจอแต่โฆษณาเต็มไปหมด
และที่น่าหงุดหงิดคือ บัญชีสมาชิกของแอปในทีวีกับโทรศัพท์มือถือยังใช้ร่วมกันไม่ได้อีกด้วย
โชคดีที่รายการ เพลงพเนจร สามารถรับชมได้แม้ไม่มีสมาชิก แค่ต้องดูโฆษณาสักหน่อยเท่านั้น ซึ่งก็ไม่ได้รบกวนอะไรมากนัก
จ้าวฮุ่ยถิงนั่งดูโทรทัศน์บนโซฟาคนเดียว
ส่วนพ่อของเธอนั่งอ่านหนังสืออยู่ข้าง ๆ เขาไม่ค่อยสนใจรายการวาไรตี้เท่าไหร่ เพียงแค่อยากฟังเพลงของสวี่เย่ที่ลูกสาวชอบเท่านั้น
พอถึงตอนที่สวี่เย่ปรากฏตัว จ้าวฮุ่ยถิงก็หัวเราะคิกคัก
พ่อของเธอมองไปที่ทีวีด้วยความสงสัย “หัวเราะอะไรเหรอ?”
จ้าวฮุ่ยถิงรีบตอบ “พ่อไม่คิดเหรอว่าตอนที่สวี่เย่ออกมาเขาตลกดี?”
ทุกวันนี้เพียงแค่สวี่เย่ปรากฏตัว ก็ทำให้หลายคนหัวเราะได้แล้ว
ทั้งที่เขาหล่อมาก แต่กลับไม่มีใครให้ความสนใจในความหล่อของเขาสักเท่าไหร่
พ่อของจ้าวฮุ่ยถิงมองไปที่สวี่เย่ในโทรทัศน์
“พ่อเมื่อก่อนก็ดูดีพอ ๆ กับเขานะ”
จ้าวฮุ่ยถิงร้องออกมาอย่างไม่เชื่อ และดูรายการต่อไป
พ่อของเธอก้มลงอ่านหนังสือต่อ แต่ไม่นานเขาก็ได้ยินเสียงตะโกนดังลั่นจากในรายการ
“ทุกคน มองมาที่ฉัน!”
เสียงนี้ดังมากจนพ่อของเธอต้องเงยหน้าขึ้นมามองทีวี
ภาพที่เห็นคือสวี่เย่กำลังยืนอยู่กลางถนน คอยโบกรถและจัดการจราจร
“เจ้านี่มันบ้าจริง ๆ” พ่อของจ้าวฮุ่ยถิงพูดด้วยความทึ่ง
รายการนี้เห็นชัดว่าอัดสดจากข้างถนน ไม่ได้จัดเตรียมไว้ล่วงหน้า
คนที่กล้าทำแบบนี้ ต้องมีอะไรสักอย่างไม่ปกติแน่ ๆ
จ้าวฮุ่ยถิงหัวเราะไม่หยุด “ไม่ทำให้ผิดหวังจริง ๆ เลยค่ะท่านผู้อำนวยการ!”
ต่อมา เมื่อสวี่เย่พูดว่า “จะให้ฉันนั่งดูนายใช้เงินซื้อของให้เราเฉย ๆ ได้ยังไง” จ้าวฮุ่ยถิงก็หัวเราะออกมาอีกครั้ง
เธอใช้มือถือแชตกับเพื่อน ๆ ไปด้วยในขณะดูโทรทัศน์
เสียดายที่ทีวีส่งข้อความแชตสดไม่ได้ ไม่เช่นนั้นเธอคงพิมพ์อะไรลงไปแล้ว
ในขณะที่ดูรายการ พ่อของจ้าวฮุ่ยถิงก็เริ่มละสายตาจากหนังสือและหันมาดูโทรทัศน์บ้าง
รายการนี้มันสนุกจริง ๆ
สวี่เย่เป็นคนที่มีเอกลักษณ์ไม่เหมือนใคร
เมื่อถึงตอนที่สวี่เย่เล่าเรื่องที่เขาเกือบเสียชีวิต พ่อของจ้าวฮุ่ยถิงก็หัวเราะออกมาเช่นกัน
“เจ้าเด็กคนนี้คิดไม่เหมือนคนทั่วไปเลยสักนิด”
พ่อของจ้าวฮุ่ยถิงคิดว่ารายการนี้ดูแล้วไม่น่าเบื่อเลย
และเรื่องราวของหลิวจื้อหยวนก็เป็นบทเรียนที่ดีสำหรับคนหนุ่มสาว
พ่อของจ้าวฮุ่ยถิงพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า “อย่ามัวแต่หัวเราะฟังไปหัวเราะไปสิ ดูหลิวจื้อหยวนสิ ถึงเขาจะเป็นนักศึกษา แต่ก็ยังต้องทำงานหนักมากนะ พ่อบอกเลยว่าการเรียนเป็นสิ่งที่หยุดไม่ได้ ถึงหนูจะเข้าเรียนมหาวิทยาลัยแล้วก็ยังต้องขยันต่อไป ถ้าอยากสบายในอนาคตก็ต้องพยายามให้มากตอนนี้”
จ้าวฮุ่ยถิงไม่ได้สนใจคำพูดของพ่อมากนัก จึงตอบเพียงว่า “หนูรู้แล้วค่ะ”
หลังจากนั้นไม่นาน หลิวจื้อหยวนเล่าเรื่องราวความรักที่ไม่สมหวังของเขา และสวี่เย่พูดขึ้นว่า “นายดูสามก๊กไหม? รู้จักโจโฉไหม?”
ในตอนที่ทีมงานตัดต่อกำลังเตรียมรายการ พวกเขาถามอวี๋เวยว่าควรตัดประโยคนี้ออกหรือไม่
อวี๋เวยจึงไปถามความเห็นของสวี่เย่
สวี่เย่ตอบกลับว่า “ตัดออก? ถ้าตัดออก ฉันพูดไปก็เปล่าประโยชน์สิ”
อวี๋เวยได้แต่พูดไม่ออก
“หมอนี่จะไม่อยู่ในวงการบันเทิงแล้วรึไง?”
สุดท้าย ประโยคนั้นก็ไม่ได้ถูกตัดออก
ฉากที่มาหลู่เอามือปิดปากสวี่เย่ก็ปรากฏในรายการเช่นกัน
จ้าวฮุ่ยถิงหันไปถามพ่อว่า “พ่อคะ พ่อบอกให้หนูตั้งใจเรียน แล้วทำไมตอนที่สวี่เย่พูดถึงโจโฉ มาหลู่ถึงปิดปากเขาล่ะ? โจโฉทำอะไรผิดเหรอ?”
พ่อของจ้าวฮุ่ยถิงหน้าเขียวทันทีและเริ่มพูดติดอ่าง
จะตอบยังไงดีล่ะ?
ในฐานะพ่อ จะบอกลูกสาวได้ยังไง?
สุดท้ายพ่อของเธอก็ตอบว่า “เด็ก ๆ อย่าถามมากนัก”
พ่อของเธอยิ่งไม่ตอบ จ้าวฮุ่ยถิงก็ยิ่งสงสัย
ช่วงนี้รายการพักโฆษณา จ้าวฮุ่ยถิงจึงหยิบมือถือขึ้นมาแชตกับเพื่อน ๆ
ไม่นานเธอก็ได้คำตอบ
ตอนนี้เธอเป็นนักเรียนชั้นมัธยมปลายปีที่ 2 แล้ว อายุเท่านี้รู้มากพอสมควร
มีเพื่อนผู้ชายในกลุ่มที่อธิบายอย่างละเอียด
“ไม่ทำให้ผิดหวังจริง ๆ ผู้อำนวยการ!”
“โจโฉ: ข้าชอบภรรยาคนอื่น”
“แบบนี้ก็ออกอากาศได้เหรอ?”
จ้าวฮุ่ยถิงรู้สึกเขินเล็กน้อย เธอเดาว่าพ่อของเธอคงรู้แต่ไม่กล้าบอก
“ผู้อำนวยการนี่ทำเรื่องวุ่นวายเก่งจริง ๆ!” จ้าวฮุ่ยถิงคิดในใจ
จากนั้นรายการก็ดำเนินไปสู่ช่วงการสังเกตของกลุ่มอื่น ๆ เมื่อสิ้นสุดลงก็เข้าสู่ช่วงร้องเพลง
จ้าวฮุ่ยถิงตั้งใจดูนักร้องแต่ละคนที่ขึ้นแสดง
เธอไม่ได้ชอบนักร้องเหล่านั้นเป็นพิเศษ แต่ดูเพื่อที่จะได้ไปคุยกับเพื่อน ๆ ในห้องแชต
เวลาที่ทุกคนพูดถึงสวี่เย่ว่าเก่งแค่ไหน เธอจะได้พูดเสริมว่าทำไมเขาถึงเก่ง
นักร้องสามคนแรกทำได้ดีมาก
ส่วนพ่อของเธอก็หันมาดูช่วงเพลงด้วย
มีนักร้องหญิงสองคนที่สวยมาก ใส่ชุดกระโปรงและรองเท้าส้นสูง โชว์เรียวขาขาว ๆ
ถึงจะไม่ได้ฟังเพลง แต่แค่ดูไปก็เพลินตา
ผู้ชายก็เหมือนกันหมดแหละ
พอถึงคราวที่มาหลู่ขึ้นแสดง จ้าวฮุ่ยถิงก็หันไปบอกพ่อว่า
“เพลงที่หนูเปิดให้พ่อฟังตอนกลางวัน เพลง พันธมิตรอกหัก เขาร้องกับสวี่เย่และตงอวี้คุนนี่แหละค่ะ”
พ่อของเธอพยักหน้า “หมอนี่ใช้ได้เลย”
หากจ้าวฮุ่ยถิงเปิดฟังก์ชันแชตสด เธอคงเห็นข้อความที่ทุกคนพิมพ์กันว่า “ยินดีต้อนรับวงมาหลู่!”
หลังจากจบเพลง แรงดึงดูด จ้าวฮุ่ยถิงก็อึ้งไป
“เพราะมาก! เพราะจริง ๆ!”
ไม่ใช่แค่ผู้ชายที่ถวิลหาความรัก ผู้หญิงก็เช่นกัน
สาวน้อยมัธยมปลายเห็นผู้ชายที่ชอบก็ใจเต้นได้เหมือนกัน
ความรู้สึกในวัยเยาว์ มันดีจริง ๆ
หลังจากนั้นพอถึงคิวของเฉิงเทียนเล่ยขึ้นแสดง พ่อของจ้าวฮุ่ยถิงก็พูดขึ้นว่า “คนนี้พ่อรู้จัก เฉิงเทียนเล่ย พ่อก็รู้จักเพลงของเขาหลายเพลงนะ สวี่เย่จะชนะเขาได้เหรอ?”
จ้าวฮุ่ยถิงรีบพูดว่า “ต้องชนะอยู่แล้ว!”
หลังจากเฉิงเทียนเล่ยแสดงจบ พ่อของจ้าวฮุ่ยถิงก็หัวเราะ “สมกับที่เป็นนักร้องระดับตำนาน ร้องได้ดีจริง ๆ สวี่เย่จะชนะได้เหรอ ยากมากเลยนะ”
ในเวลานี้ ผู้ชมส่วนใหญ่ที่ดูรายการก็มีความคิดแบบเดียวกัน
เฉิงเทียนเล่ยมีความสามารถที่ไม่ธรรมดาเลย
ตอนนี้ทุกคนยิ่งเฝ้ารอการแสดงของสวี่เย่
เมื่อสวี่เย่ถือกีต้าร์ขึ้นเวที จ้าวฮุ่ยถิงก็ตะโกนออกมา
พ่อของเธอพูดขึ้นอย่างไม่พอใจ “อย่าตื่นเต้นไปหน่อยเลย ก็แค่เล่นกีต้าร์ ทำตัวนิ่ง ๆ หน่อย”
ไม่นานนักเสียงเพลงก็ดังขึ้น
“นั่นคือฉัน...”
เมื่อสวี่เย่ร้องท่อนสุดท้ายว่า “หากมีวันพรุ่งนี้ ขออวยพรให้เธอที่รัก” เพลงก็จบลง
ตัวหนังสือบนหน้าจอก็ปรากฏขึ้น
จ้าวฮุ่ยถิงยิ้มกว้างและพูดว่า “เพราะมาก! อยู่ดี ๆ ก็เริ่มเห็นว่าสวี่เย่หล่อแล้วสิ!”
เธอหันไปมองพ่อของเธอ
แต่เธอกลับพบว่าพ่อที่มักทำหน้าตึงอยู่เสมอ ตอนนี้กลับมีน้ำตาคลออยู่ในดวงตา
“พ่อคะ เป็นอะไรไป?” จ้าวฮุ่ยถิงถาม
คนในวัยต่างกัน เมื่อฟังเพลง เด็กหนุ่มชรา ก็ย่อมมีความรู้สึกที่แตกต่างกันไป
จ้าวฮุ่ยถิงเข้าใจเพียงแค่ผิวเผิน
เธอเข้าใจเพียงแค่ความรู้สึกโหยหาวัยเยาว์
แต่เธอยังอยู่ในช่วงวัยเยาว์ ทำให้เธอไม่สามารถรู้สึกได้มากนัก
ส่วนพ่อของเธอนั้นต่างออกไป
บางสิ่งต้องสูญเสียไปแล้วถึงจะรู้จักคุณค่าที่แท้จริง
เช่น วัยเยาว์
เช่นวันที่เขาลืมที่จะจูงมือใครคนนั้นไว้
พ่อของจ้าวฮุ่ยถิงรีบตอบว่า “ไม่มีอะไรหรอก ตาแค่คันนิดหน่อย พ่อเผลอไปขยี้น่ะ”
เขารีบหยิบกระดาษทิชชู่มาเช็ดตา
แต่ไม่ว่าจะเช็ดแค่ไหน ดวงตาก็ยังคงแดงอยู่ดี
พ่อของเธอวางทิชชู่ลงและพูดขึ้นเบา ๆ ว่า “เฉิงเทียนเล่ยแพ้แล้ว”
พูดจบ เขาก็ลุกขึ้นไปห้องน้ำ
เขาคือ เด็กหนุ่มชรา แต่เขาก็เป็นพ่อคนเช่นกัน
ผู้ชายจะเป็นเด็กหนุ่มไปจนตาย
แต่เมื่อเด็กหนุ่มคนนี้กลายเป็นพ่อ เขาย่อมมีภาระหน้าที่หลายอย่างที่ต้องแบกรับ
เขาไม่อยากให้ลูกสาวเห็นด้านอ่อนแอของเขา
เมื่อเข้ามาในห้องน้ำแล้ว พ่อของเธอก็เปิดก๊อกน้ำล้างหน้า
เขามองดูใบหน้าของตัวเองในกระจก
ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ที่เส้นผมทั้งสองข้างเริ่มมีสีขาวแซมแล้ว
หลังจากล้างหน้าเสร็จ เขาเดินเข้าไปในห้องทำงาน เปิดตู้หนังสือและหยิบสมุดบันทึกเก่า ๆ เล่มหนึ่งออกมา
เมื่อเปิดสมุดบันทึกเล่มนั้นออกมา ข้างในเต็มไปด้วยบทความที่เขาเขียนด้วยลายมือ
มีทั้งบทความสั้น บทความเชิงบรรยาย และบทกวี
ครั้งหนึ่งพ่อของจ้าวฮุ่ยถิงก็เคยเป็นคนหนุ่มสายศิลป์ ความฝันของเขาคือการเป็นนักเขียน
เมื่อเห็นตัวอักษรที่เริ่มเลือนลางไปตามกาลเวลา เขาเปิดไปที่หน้าว่างหน้าสุดท้ายของสมุดบันทึก
ครั้งสุดท้ายที่เขาเขียนลงในสมุดเล่มนี้ คือเมื่อสิบกว่าปีก่อน ตั้งแต่ลูกสาวของเขาเกิดมา เขาก็ไม่ได้เขียนอะไรอีกเลย
แต่ครั้งนี้ หลังจากได้ฟังเพลง เด็กหนุ่มชรา เขาก็รู้สึกอยากจะหยิบปากกาขึ้นมาเขียนอีกครั้ง
ถึงเวลาที่เขาจะต้องบอกลาความฝันในอดีตแล้ว
เขาหยิบปากกาออกมาและเขียนท่อนหนึ่งของเพลง เด็กหนุ่มชรา ลงไป
“หากมีวันพรุ่งนี้ ขออวยพรให้เธอที่รัก”