ตอนที่ 39 อย่าเข้ามาใกล้แม้แต่ครึ่งก้าว
ตอนที่ 39 อย่าเข้ามาใกล้แม้แต่ครึ่งก้าว
หลังจากครุ่นคิดอยู่นาน หวังกังเจี้ยนก็ตัดสินใจกล่าวออกมาว่า “ฉันจะเข้าไปสังเกตบริเวณนั้นเพียงลำพังเพื่อดูว่าเกิดอะไรขึ้น หากสถานการณ์วิกฤติ เราจะอพยพทันที”
นั่นก็หมายความว่า หากว่าสถานการณ์ไม่อันตรายมากนัก ก็ไม่จำเป็นจะต้องอพยพ
ท้ายที่สุดแล้ว ผู้คนหลายร้อยคนในบริษัทรักษาความปลอดภัยเฮยเฟิงนั้นต่างก็เป็นคนตงหู และผูกพันกับที่นี่มาตั้งแต่เกิด หากว่าต้องย้ายไปอยู่ในสถานที่ที่ไม่คุ้นเคย ก็ต้องเริ่มจากศูนย์ ซึ่งเป็นเรื่องที่ยากมาก ดังนั้นหากว่าอยู่ได้ก็ควรอยู่ต่อจะดีกว่า
เมื่อเห็นว่าพวกเขาต้องการแสดงความคิดเห็นมากกว่านี้ หวังกังเจี้ยนจึงขัดจังหวะพวกเขาโดยตรง "ฉันเป็นผู้อยู่เหนือธรรมชาติขั้นที่ 2 ร่างกายของฉันก็แข็งแกร่งกว่าทุกคน ฟังที่ฉันตัดสินใจก็พอ"
เมื่อได้ยินหวังยงและอีกสามคนจึงหยุดพูดทันที
จากนั้นหวังกังเจี้ยนจึงหยิบเครื่องรับส่งสัญญาณวิทยุแล้วขับรถกลับเข้าเมืองไปอย่างรวดเร็ว
หวังหยงและอีกสามคนได้แต่มองตามแผ่นหลังของเขาจากระยะไกล ก็เกิดความรู้สึกกังวลในใจ
สองชั่วโมงต่อมา..หวังกังเจี้ยนก็มาสังเกตการณ์อยู่บริเวณใกล้ๆกับกลุ่มหมอก แต่สิ่งที่ทำให้เขารู้สึกแปลกใจคือในหมอกนั้นเงียบมากราวกับว่าไม่มีอะไรอยู่ในนั้น ถ้าพูดตามหลักเหตุผลแล้ว หากว่ามีบางสิ่งดึงดูดซอมบี้และสิ่งมีชีวิตกลายพันธ์เหล่านี้ให้ต่อสู้เพื่อแย่งชิง พวกมันก็ควรจะต่อสู้กันอยู่ในนั้นอย่างดุเดือด..แต่ทำไมเขารู้สึกว่าไม่มีการเคลื่อนไหว?
หวืด..กลุ่มหมอกกำลังกลิ้งเข้ามาใกล้เขาเรื่อยๆราวกับปีศาจที่กลืนกินสิ่งมีชีวิตเข้าไปในนั้น
หวังกังเจี้ยนรู้สึกได้ถึงอันตราย แต่เขาก็ยังคงบุกเข้าไปในกลุ่มหมอกโดยไม่กลัวความตายแม้แต่น้อย จากนั้นเขาก็มองไปรอบ ๆ และยืนอยู่หน้าหัวจ่ายน้ำดับเพลิงที่ชำรุด ก่อนจะทรุดนั่งลงไปกอดหัวจ่ายน้ำดับเพลิงด้วยแขนทั้งสองข้าง และเริ่มบิดมันอย่างแรง เพียงครั้งเดียว เขาก็สามารถคลายเกลียวหัวจ่ายน้ำดับเพลิงได้แล้ว
หลังจากควบแน่นแก่นปราณ เขาก็ได้กลายเป็นผู้อยู่เหนือธรรมชาติ ทว่าหวังกังเจี้ยนกลับไม่ได้รับพรสวรรค์ที่แปลกประหลาดใด ๆ เลย เขารู้แค่ว่าแขนทั้งสองข้างของเขาหนาและทรงพลังเป็นอย่างมากเหมือนกับแขนของกิเลน ไม่มีใครสามารถบอกได้ว่าความสามารถพิเศษนี้ชื่อว่าอะไร ดังนั้นหวังกังเจี้ยนจึงเรียกมันว่า "แขนเหล็ก"
และหลังจากที่ได้รับการเลื่อนขั้น ให้เป็นผู้อยู่เหนือธรรมชาติขั้นที่ 2 แขนทั้งสองข้างของเขาก็ทรงพลังมากยิ่งขึ้น การคลายเกลียวหัวจ่ายน้ำดับเพลิงออกด้วยแรงที่มีจึงไม่ใช่เรื่องยากเกินไป
เมื่อหวังกังเจี้ยนคำราม แขนทั้งสองของเขาก็ได้ระเบิดพลังออกมาอย่างแรง และกระแทกหัวจ่ายน้ำดับเพลิงออกทันที น้ำในหัวจ่ายน้ำดับเพลิงได้พุ่งทะลุหมอกออกไปไกลกว่า 20 เมตรจนทำให้หมอกฟุ้งกระจายออกไปส่งผลให้หวังกังเจี้ยนมองเห็นฉากข้างในได้อย่างชัดเจน
เนื่องจากหมอกได้ปกคลุมไปทั่วบริเวณ จนท้องฟ้ากลายเป็นสีเทาสลัวดูน่ากลัวเป็นอย่างมาก ไม่เหมือนกับโลกที่เขาเคยอยู่มาก่อน แต่เหมือนกับนรกมากกว่า!
ในตอนนั้นเขาก็ต้องตกใจเป็นอย่างมากเมื่อพบว่าซอมบี้และสัตว์กลายพันธ์เหล่านั้นกำลังยืนนิ่งไม่ไหวติงอยู่ข้างในหมอก
โดยมีดาบมากมายที่เกิดจากการควบแน่นของพลังงานสีดำกำลังบินไปมากลางอากาศ และแทงทะลุหัวใจของซอมบี้และสัตว์กลายพันธ์เหล่านั้นจนเสียชีวิตลงทันที ส่วนร่างของพวกมันก็ถูกดูดเลือดและกลายเป็นมัมมี่ทันทีที่ล้มลงกับพื้น
ดวงตาของหวังกังเจี้ยนเบิกกว้าง แม้ว่าเมืองตงหูจะกลายเป็นเหมือนนรกบนดินมาตั้งแต่ที่เกิดวิกฤตซอมบี้ แต่เขาก็รอดชีวิตมาได้ทุกครั้ง ทว่าเหตุการณ์ในครั้งนี้ มันทำให้เขาตกใจมาก
เกิดอะไรขึ้น ดาบสีดำที่บินไปมาในอากาศนั้นคืออะไร?
ทว่าในเวลานี้เครื่องรับส่งสัญญาณวิทยุในมือของเขาก็ดังขึ้น “หัวหน้า ดูท้องฟ้านั่นสิ! ดูขึ้นไปที่บนหัวของคุณ!”
หวังกังเจี้ยนเงยหน้าขึ้นมองอย่างรวดเร็ว ทันใดนั้นเขาก็พบว่ามีร่างร่างหนึ่งยืนอยู่บนดาบบินที่ลอยอยู่กลางอากาศ ซึ่งกำลังมองลงมาที่เขา
รูปลักษณ์ที่เฉียบคม ออร่าที่น่าดึงดูด มันเหมือนกับมือที่มองไม่เห็นกำลังบีบคอของเขาอยู่ !
แต่จู่ๆหวังกังเจี้ยนก็จำอะไรบางอย่างได้...ในวันนั้น ถังจินชวนถูกแมงมุมจำนวนมากรวมถึงแม่แมงมุมกลายพันธุ์ที่ทรงพลังอย่างยิ่งโจมตีที่บริษัทรถทัวร์ในเมืองตงหู แต่ก็มีชายหนุ่มคนหนึ่งปรากฏตัวมาพร้อมกับดาบบินเข้ามาสังหารแม่แมงมุมกลายพันธุ์และช่วยชีวิตพวกเขาเอาไว้ ซึ่งชายตรงหน้าเขาคนนี้ก็ยืนบนดาบบินและก็เป็นชายหนุ่มเช่นกัน..หรือว่านี่จะใช่คนคนเดียวกัน
ฉู่เสวียนมองลงไปที่หวังกังเจี้ยนและพูดอย่างใจเย็น "ไม่ใช่ว่าพวกเจ้าจากไปแล้วหรือ เหตุใดเจ้าถึงยังวนกลับมาที่เดิม?"
เขารู้ตั้งแต่เนิ่นๆ แล้วว่าหัวหน้าของบริษัทรักษาความปลอดภัยเฮยเฟิงกำลังจะอพยพคนออกจากเมืองตงหู เนื่องจากว่าพวกเขาอาจสังเกตเห็นคลื่นซอมบี้ที่กำลังใกล้เข้ามา จึงได้ตัดสินใจอพยพออกไปด้วยความสิ้นหวัง แต่ฉู่เสวียนไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับคนเหล่านี้ ดังนั้นเขาจึงไม่ได้เข้าไปแทรกแซง ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา ฉู่เสวียนได้แต่สังเกตการณ์อยู่บนอาคารสูงบริเวณใกล้เคียง เมื่อเขาเห็นว่าขบวนรถเคลื่อนตัวออกนอกค่ายกลยึดวิญญาณปีศาจหยินที่เขาจัดไว้แล้ว เขาก็ได้ปรากฏตัวขึ้นตามธรรมชาติ และก็ได้มาเห็นว่าบุคคลนี้กำลังก่อปัญหาอยู่
“ฉัน... เรากังวลว่าซอมบี้และสัตว์กลายพันธ์กำลังต่อสู้กันอยู่ที่นี่ ฉันจึงมาดูสถานการณ์” หวังกังเจี้ยนพูดออกมา พร้อมทั้งมีเหงื่อออกบนหน้าผากของเขาเป็นจำนวนมาก
ชายคนนี้สามารถฆ่าแม่แมงมุมกลายพันธุ์ได้อย่างง่ายดาย ดังนั้นการบดขยี้เขาให้ตายก็ไม่ต่างจากการขยี้มดหรอก เขาทำได้เพียงตอบออกมาด้วยความระมัดระวัง เพราะกลัวจะทำให้ชายนิรนามตรงหน้าเขารู้สึกขุ่นเคือง
ฉู่เสวียนมองเขาขึ้น ๆ ลง ๆ แล้วพูดอย่างใจเย็น "สิ่งมีชีวิตใด ๆ ก็ตามที่เดินเข้ามาในนี้ จะไม่มีชีวิตรอดออกไปได้ ภายในรัศมีหนึ่งพันเมตรรอบ ๆ สถานที่แห่งนี้ ไม่ได้รับอนุญาตให้ใครหน้าไหนเข้าใกล้แม้แต่ครึ่งก้าว "
จากนั้นเขาก็กระทืบดาบบังเหินเทียนกังใต้เท้าของเขา และในพริบตาเขาก็หายไปภายใต้ท้องฟ้าราวกับแสงดาบอย่างไร้ร่องรอย
ส่งผลให้ความกดดันอันหนักหน่วงที่เหมือนกับภูเขาไท่ซึ่งกดลงมาบนไหล่ของหวังกังเจี้ยนในตอนแรก ได้หายไปอย่างสมบูรณ์
ตุบ...หวังกังเจี้ยนนั่งลงบนพื้น ร่างกายของเขาแทบจะทรงตัวไม่ไหว เขามองลงไปและเห็นว่าทั้งร่างของเขาเปียกโชกไปด้วยเหงื่อเย็นที่ไหลออกมา
“แข็งแกร่งมาก ทั้งที่เขายังไม่ได้ทำอะไร แค่ดูและพูดเพียงไม่กี่คำก็ทำให้ฉันเหงื่อแตกได้แล้ว” หวังกังเจี้ยนยิ้มอย่างขมขื่น
ในตอนนั้นก็มีเสียงกรอบแกรบดังมาจากวิทยุสื่อสารอีกครั้ง
“พี่ เป็นไงบ้าง? คนๆ นั้นไม่ได้ทำอะไรพี่หรอกใช่ไหม?” หวังหยงถามออกมาอย่างรวดเร็ว
หวังกังเจี้ยนหายใจเข้าลึก ๆ ก่อนที่จะตอบไปว่า "ไม่ เขาแค่เตือนฉันว่าอย่าเข้าใกล้บริเวณหมอก เขายังกล่าวอีกว่าสิ่งมีชีวิตใดก็ตามที่เข้าไปในพื้นที่หมอก ก็จะไม่มีชีวิตออกมาได้ ซึ่งฉันก็เห็นว่าทั้งซอมบี้และสัตว์กลายพันธ์ทุกตัวที่วิ่งเข้าไปในหมอกได้ถูกฆ่าตายไปทีละตัว และส่วนที่เหลือก็น่าจะตายไปจนหมดภายในไม่กี่วันนี้ มั่นใจได้เลย"
เมื่อเขาเห็นว่าอีกฝ่ายแข็งแกร่งแค่ไหน ก็เชื่อว่าเขาคงไม่โกหกอย่างแน่นอน ซึ่งเรื่องนี้ก็ทำให้หัวใจที่ห้อยอยู่ของพวกเขากลับคืนสู่ที่เดิมอีกครั้ง
หวังกังเจี้ยนจึงกล่าวต่อว่า "รีบสั่งให้ขบวนรถวนกลับมา เราไม่จำเป็นจะต้องอพยพออกจากเมืองตงหูแล้ว คลื่นซอมบี้ที่มีซอมบี้นับหมื่นตัวกำลังถูกฝังอยู่ในสายหมอก หลังจากนี้เมืองตงหูก็จะกลายเป็นสถานที่ที่ปลอดภัยที่สุด ”
ดวงตาของหวังหยงและคนอื่นๆ เป็นประกาย นี่เป็นเรื่องจริง หากว่าซอมบี้และสัตว์กลายพันธ์ได้สูญหายไปจากเมืองตงหูและพื้นที่โดยรอบแล้ว เรื่องนี้ก็จะถือว่าเป็นข่าวดีสำหรับทุกคน ! และไม่ใช่เรื่องเกินจริงอีกต่อไปที่จะบอกว่าสถานที่แห่งนี้คือสวรรค์บนดินของดาวเคราะห์ไห่หลันชิง!
“หวังหยง ช่วยบอกให้พี่น้องของเราสงบสติอารมณ์ พวกเขาไม่ต้องกังวลอีกต่อไป หลังจากนี้เราจะไม่ได้อพยพไปไหนแล้ว” หวังกังเจี้ยนสั่ง
“ไม่ต้องกังวลพี่”
“และที่สำคัญก็อย่าทำกล่องเกมคอนโซลของฉันหาย!” หวังกังเจี้ยนกำชับออกมา
หวังหยงกล่าว "...พี่กังวลมากกว่าผมอีก "
ในค่ายกลยึดวิญญาณปีศาจหยิน ฉู่เสวียนได้บังคับดาบบังเหินเทียนกังให้บินเข้าไป เขาถือแผ่นยันต์ไว้ในมือ และดาบสีดำที่เกิดจากการควบแน่นพลังงานชั่วร้ายก็จะไม่โจมตีเขา
ฉู่เสวียนมองไปรอบ ๆ ตอนนี้ไม่มีร่างใดยังคงยืนอยู่ที่เดิม เพราะทั้งซอมบี้และสัตว์กลายพันธ์ต่างก็นอนอยู่บนพื้นเป็นจำนวนมากเหมือนกับข้าวหลังจากเกี่ยวแล้ว
ฉู่เสวียนจึงเดินตรงไปที่แกนกลางของค่ายกล มันมีหลุมลึกอยู่ที่นี่ ซึ่งเป็นหลุมที่เต็มไปด้วยพลังงานชั่วร้าย ที่ควบแน่นหลังจากการตายของซอมบี้และสัตว์กลายพันธุ์ได้มาบรรจบกันที่หลุมลึกนี้ ส่งผลให้ใจกลางหลุมมีแต่ความเย็นยะเยือกปกคลุมอยู่
ฉู่เสวียนดูมีความสุขมาก บางทีอาจเป็นเพราะวิญญาณชั่วร้ายพวกนี้แข็งแกร่งพอ พลังปีศาจหยินจึงได้ก่อตัวเร็วกว่าที่เขาจินตนาการไว้มาก ด้วยอัตราความเร็วนี้ก็จะทำให้เขาได้เหล็กปีศาจหยินคุณภาพสูงจำนวนหนึ่งมาครอบครองภายในเวลาไม่ถึงสองเดือน!